Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ข่าวชายขอบ
•
ติดตาม
6 เม.ย. 2022 เวลา 12:31 • ข่าวรอบโลก
ผู้หนีภัยการสู้รบวอนรัฐไทยอย่าเร่งรีบผลักดันออก เผยชีวิตสุดลำบากหลังกองทัพพม่าโจมตีหมู่บ้านต่อเนื่อง-ขาดแคลนน้ำสะอาดขั้นวิกฤต ศูนย์สั่งการชายแดนตากระบุข้ามมาฝั่งไทยด้านอุ้มผางแล้วนับพัน
transbordernews.in.th
ผู้หนีภัยการสู้รบวอนรัฐไทยอย่าเร่งรีบผลักดันออก เผยชีวิตสุดลำบากหลังกองทัพพม่าโจมตีหมู่บ้านต่อเนื่อง-ขาดแคลนน้ำสะอาดขั้นวิกฤต ศูนย์สั่งการชายแดนตากระบุข้ามมาฝั่งไทยด้านอุ้มผางแล้วนับพัน
ขอบคุณภาพข่าวจากเพจ Friends Without
เมื่อวันที่ 1 เมษายน ซอบอบะ ผู้เชี่ยวชาญชาวกะเหรี่ยงที่ติดตามสถานการณ์การสู้รบบริเวณชายแดนไทย-พม่า เปิดเผยถึงสถานการณ์การสู้รบระหว่างกองทัพพม่ากับกองกำลังปลดปล่อยประชาชนกะเหรี่ยง (Karen National Liberation Army-KNLA) ของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union- KNU) และฝ่ายต่อต้านรัฐประหารในพม่า ว่าขณะนี้มีประชาชนหนีภัยจากการสู้รบมาหลบอยู่ตามแนวชาวแดนไทยด้านอำเภออุ้มผางราว 5-6 พันคน และอีกส่วนหนึ่งหลบอยู่ตามริมแม่น้ำเมยในอำเภอแม่สอด ซึ่งขณะนี้เครือข่ายชาวบ้านในแต่ละพื้นที่พยายามให้การช่วยเหลือกันเอง
ขณะที่เมื่อคืนวันที่ 31 มีนาคม 2565 ศูนย์สั่งการชายแดนไทย-เมียนมา จังหวัดตาก ได้เผยแพร่เอกสารข่าวถึงสถานการณ์บริเวณพื้นที่ชายแดนจังหวัดตากว่า ในห้วงที่ผ่านมารเกิดการปะทะระหว่างทหารเมียนมากับกองกำลังชนกลุ่มน้อยเชื้อสายกะเหรี่ยง/กลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมาบริเวณอำเภอเมียวดีและอำเภอเล่ย์ใหม่ จังหวัดเมียวดี ลึกเข้าไปในฝั่งเมียนมา 20-30 กิโลเมตร ด้านตรงข้ามอำเภอพบพระและอำเภออุ้มผาง ไม่ปรากฏการรุกล้ำอธิปไตยเข้ามาในดินแดนไทย โดยปัจจุบันมีผู้หนีความไม่สงบที่มีความกังวลจากสถานการณ์ในพื้นที่ได้เดินทางเข้ามาฝั่งไทยเป็นการชั่วคราวจำนวน 1,759 คน
ทั้งนี้ชาวบ้านที่หลบหนีการสู้รบได้พักอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว 4 แห่งประกอบด้วย 1.บ้านห้วยน้ำนัก อ.พบพระ 102 คน 2.อำเภออุ้มผาง 3 แห่งคือบ้านซอทะ ต.หนองหลวง 645 คน บ้านหนองหลวง ต.หนองหลวง 260 คน และบ้านเลตองคุ ต.แม่จัน 752 คน
ศูนย์สั่งการชายแดนฯระบุด้วยว่า คณะทำงานของศูนย์สั่งการฯได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวอย่างทั่วถึงและพอเพียงต่อการดำรงชีพภายใต้การดำเนินการของภาครัฐ และสนับสนุนพาหนะในการเคลื่อนย้ายให้ผู้หนีภัย และยังคงดูแลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการไม่สนับสนุนให้ใช้พื้นที่ประเทศไทยเป็นพื้นที่สนับสนุนผลประโยชน์ของกลุ่มตนเอง
“ศูนย์สั่งการชายแดนฯขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ งดการเดินทางเข้าพื้นที่ดังกล่าวเพื่อปฎิบัติมาตรตามการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวมถึงขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนและทุกภาคส่วนในการตรวจสอบข่าวสาร ข้อเท็จจริงก่อนที่จะนำไปเผยแพร่ให้ประชาชนเพราะข่าวสารที่ไม่เป็นความจริงนั้น จะสร้างความแตกตื่นและความหวาดกลัวให้กับประชาชนในพื้นที่”ศูนย์สั่งการชายแดนฯระบุ
ด้านเพจ Friends Without Borders Foundation ได้รายงานว่า 1 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ตลอดแนวชายแดนไทย-พม่า ก้าวไปสู่สภาพที่ความรุนแรง การเข่นฆ่า การทรมาน สังหารโหด เผาทำลาย ทิ้งระเบิด ฯลฯ กลายเป็นสิ่งที่เกิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันชาวบ้านพลัดถิ่นแถบนี้ซึ่งมีจำนวนรวมกันหลายแสน คือผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ ‘ฉุกเฉิน’ หากเป็นความฉุกเฉินที่ ‘ยืดเยื้อ’ อีกทั้งภายในความฉุกเฉินนั้น ก็ยังมีความ ‘ฉุกเฉินยิ่งกว่า’ หรือ ‘ฉุกเฉินในความฉุกเฉิน’ ซ้อนทับไปอีก เช่น ในภาวะที่พลัดถิ่นอยู่แล้ว ยังมีการทิ้งระเบิดลงพื้นที่พักพิงฯ หรือมีการสู้รบหนักจนผู้พลัดถิ่นฯที่หลบซ่อนอยู่ต้องหนีต่อข้ามพรมแดนมาฝั่งไทย เป็นต้น
หลังรัฐประหาร กองกำลังของกลุ่มการเมืองทั้งกะเรนนีและกะเหรี่ยง เดินหน้ายุทธการการเรียกคืนพื้นที่ ตัดเส้นทางขนส่งเสบียง บุกโจมตียึดฐานทัพพม่าเพื่อผลักดันให้ออกไป ขณะที่ยุทธการของกองทัพพม่าก็คือการระดมกำลังเข้าชายแดน การยิงปืนใหญ่อย่างสุ่มเข้าหมู่บ้านทุกหนแห่ง โดยเชื่อว่าเป็นการทำลายที่หลบซ่อนและผู้สนับสนุนทหารกลุ่มชาติพันธุ์ และเมื่อใดก็ตามที่กองทัพพม่าสูญเสียหรือใกล้จะสูญเสีย ก็มักระดมยิงปืนใหญ่เข้าชุมชนเพื่อแก้แค้น และอาจนำเครื่องบินรบกับเฮลิคอปเตอร์ออกปฏิบัติการทิ้งระเบิดกับกราดยิงปืนกล
ปี 2565 แนวโน้มคือการที่ชาวบ้านชาติพันธุ์จะกลายเป็นผู้พลัดถิ่นในประเทศ (IDPs) อย่างยืดเยื้อ และเพิ่มจำนวนขึ้น ค่ายพัก IDPs ทั้งขนาดย่อมและใหญ่เกิดขึ้นหลายแห่งแล้ว รวมถึงริมขอบแดนติดไทยสำหรับผู้ที่หวังจะวิ่งหนีข้ามพรมแดนมาเมื่อจำเป็น แม้ว่าจำนวนผู้ลี้ภัยที่เข้ามาในประเทศไทยอาจลดลงจากปี 2564 เพราะเป็นที่รู้ดีว่า รัฐไทย “ไม่ต้องการต้อนรับผู้ลี้ภัย”
“ปีก่อนที่ต้องไปอยู่แบบไม่มีน้ำ ไม่มีส้วม คนเอาอาหารเข้ามาช่วยก็ไม่ได้ แล้วเข้ามาปุ๊บก็จะให้กลับ มันทำให้เรารู้สึกว่า ถ้ายังไม่ได้จะตายลงตรงนั้น ก็ไม่อยากข้ามไป” หญิงอดีตผู้ลี้ภัย 2564 กล่าว “เราแค่อยากขอให้รัฐบาลไทยรับเด็ก ๆ กับคนแก่ แล้วไม่ต้องรีบไล่ให้กลับ เพราะจะแบกหามข้ามสาละวินไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่สำหรับเราที่แข็งแรง ก็จะพยายามไม่ไป”
เพจ Friends Without Borders Foundation ยังได้สัมภาษณ์หญิงสาวจากค่ายพักผู้พลัดถิ่นในรัฐกะเรนนี โดยระบุว่าเธอได้กลับมาจากฝั่งไทยได้ 2 เดือนกว่าแล้ว แต่หลังจากที่เครื่องบินกองทัพพม่าทิ้งระเบิดครั้งใหญ่ การสู้รบทางด้านตะวันออกของแม่น้ำสาละวินก็ไม่เคยเงียบ เสียงปืนเล็กเป็นเรื่องปกติที่คนในค่ายได้ยิน และเมื่อไรที่มีเสียงปืนใหญ่ พวกเราก็จะหนีลงไปหลบอยู่ในบังเกอร์ ดีที่คนแก่ส่วนหนึ่งได้เข้าไปนอนในฝั่งไทยแล้ว การจะวิ่งหนีไปจึงมีห่วงน้อยลง และหนีได้เร็ว
หญิงสาวระบุด้วยว่า “ฉันยังกลัวอยู่กับเสียงพวกนี้ แต่ไม่ถึงกับใจสั่นมื้อเท้าเย็นทำอะไรไม่ถูกแบบคราวก่อน ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จะไม่มีใครวิ่งเข้าฝั่งไทยแล้ว เราจะส่งแต่คนแก่และเด็กเล็กเข้าไปเท่านั้น นี่คือทางปฏิบัติของเราตอนนี้”
หญิงสาวที่หนีภัยการสู้รบกล่าวว่า ค่ายพักของเราจัดการเป็นระเบียบขึ้นกว่าตอนแรก จัดแบ่งเป็น 4 เซ็คชั่น เพราะมีคนรวมกันกว่า 2 พันคน ชาวบ้านยังค่อย ๆ ทยอยมาสมทบ แต่ก็มาถึงได้ทีละน้อย เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะข้ามแม่น้ำสาละวินและเดินทางมาจนถึง คนจำนวนมากจึงติดอยู่ข้างใน หรือตัดสินใจอยู่กันตามค่ายพักใหญ่ ๆ ที่มีอยู่หลายแห่งในอ.เดมอโซและพรูโซ
“น้ำกำลังเป็นปัญหาสำคัญของทุกที่ ผู้พลัดถิ่นไม่ว่าจะอยู่กันเป็นค่ายพักใหญ่ หรือหลบอยู่ตามป่า ก็เข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดได้ยากอยู่แล้ว ตลอดปีที่ผ่านมา มีคนที่เจ็บป่วยเพราะน้ำไม่สะอาดเยอะมาก ถึงตอนนี้ น้ำหาได้ยาก น้ำภูเขาเริ่มแห้ง ที่ค่ายของเราก็เหมือนกัน ตลอดเดือนที่ผ่านมา ไม่มีน้ำใกล้ ๆ ที่พักแล้ว เราต้องตื่นออกเดินกันตั้งแต่ตีสาม เพื่อเดินไปบ่อน้ำในหมู่บ้านกะยาห์ที่ชายแดน และแบกน้ำจากนั่นกลับมาใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง ถ้าหากเราไปสาย น้ำก็จะขุ่นจนใช้ดื่มกินไม่ได้ ถ้าเราตื่นสาย วันนั้นคือไม่มีน้ำใช้และกิน”หญิงสาวระบุ
พม่า
ข่าวพม่า
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย