6 เม.ย. 2022 เวลา 13:30 • ไลฟ์สไตล์
เคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมเราถึงเจอแต่ ‘ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ’ (Toxic Relationship)
เคยถามตัวเองบ้างไหมว่าทำไม่เจอความรักดีๆ สักที
หรือว่าทำไมเราถึงยอมทนอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ปฏิบัติต่อเราไม่ดี
2
เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ หลายคนมักจะมองว่าเป็นเพราะเรา ‘โชคร้าย’ ‘ดวงซวย’ หรือ อาจหนักถึงขั้นมองว่าเป็นกรรมในชาติก่อน ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก เราจำใจยอมให้เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับว่าเราคือเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายในละครชีวิต
และน่าเศร้ายิ่งกว่าที่หลายคนทำเพียงแค่ตัดพ้อ โดยไม่คิดจะหาคำตอบจริงจังว่า ‘ทำไม’ เราต้องเผชิญกับความสัมพันธ์เหล่านี้ซ้ำๆ
“Why do I, and everyone I love, pick people who treat us like we’re nothing?”
(ทำไมฉันและทุกคนที่ฉันรัก ถึงเลือกคนที่ทำกับเราเหมือนว่าเราไม่มีค่า)
1
เมื่อ 10 ปีก่อน หนัง Coming of Age เรื่อง ‘The Perks of Being a Wallflower’ ได้กลายเป็นหนังขวัญใจของใครหลายๆ คน โดยเฉพาะเหล่าวัยรุ่นที่ต้องเจอประสบการณ์ว้าวุ่น เช่น เรื่องเพื่อน ตัวตน ความรัก สุขภาพจิต และครอบครัว เหมือนกับ ‘ชาร์ลี’ ตัวเอกของเรื่อง
และแม้ ‘วัยรุ่น’ ในวันนั้นได้กลายมาเป็น ‘ผู้ใหญ่’ ในวันนี้ ก็ยังจำความรู้สึกที่ได้รับจากหนังได้ดี โดยเฉพาะประโยคคำถามด้านบน และ ประโยคคำตอบจากชาร์ลีที่แทงหัวใจใครหลายๆ คน
“We accept the love we think we deserve.”
(เพราะเรายอมรับความรักที่คิดว่าเราคู่ควร)
4
#เราคู่ควรกับความรักแบบไหนและใครเป็นคนกำหนด
คนเราทำความเข้าใจต่อโลกผ่านสัมผัสทั้ง 5 เราเรียนรู้ว่าสามเหลี่ยมหน้าตาเป็นแบบไหน เพราะเคยมองเห็นหรือเคยสัมผัส เรารู้ว่าน้ำหอมเป็นอย่างไรเพราะเคยได้กลิ่น และเรารู้ว่าเสียงเพลงเป็นเช่นไรเพราะเคยได้ยิน อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เป็นนามธรรมอย่าง ‘ความรัก’ เราต้องเก็บเกี่ยวและเรียนรู้เองจากประสบการณ์
1
ตั้งแต่เด็ก เราเรียนรู้ความรักผ่านวิธีที่พ่อแม่แสดงออกต่อกันและกัน ไม่ก็ผ่านวิธีที่พ่อแม่แสดงออกต่อเรา เราเติบโตมาพร้อมกับความคุ้นเคยต่อความรักเหล่านี้ เลยตามหาคนรักที่มี ‘คุณลักษณะ’ หรือ ‘ให้ความรู้สึก’ แบบเดียวกับที่เราเคยได้รับในตอนเด็ก นักจิตวิทยาหลายคนที่เชื่อในทฤษฎีความผูกพัน (Attachement Theory) มองว่าภาษารักที่เราได้รับในวัยเด็ก จะกลายมาเป็นวิธีแสดงออกต่อความรักในตอนโต
ตัวอย่างเช่น หากเราถูกเลี้ยงดูมาอย่างอบอุ่นมากๆ เราก็จะรักคนรักของเราในแบบเดียวกัน เราจะพูดจาดีๆ แสดงออกถึงความห่วงใย และไว้ใจอีกฝ่าย ในขณะเดียวกัน หากเราเติบโตมาโดยการเลี้ยงดูแบบห่างเหิน ถูกดุด่า และลงโทษอยู่บ่อยครั้ง เราอาจเข้าใจว่าการไม่ใส่ใจ ใช้ถ้อยคำรุนแรง หรือทำร้ายร่างกาย เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงว่ารัก และยอมทนอยู่ในความสัมพันธ์เป็นพิษเช่นนี้ เพราะเข้าใจว่าคือเรื่องปกติ
1
เพราะนิยามของความรัก ขึ้นอยู่กับรักที่เคยได้รับ
6
ด้วยเหตุนี้ หลายคนเลยตกอยู่ในวังวนของความสัมพันธ์เป็นพิษ เพราะพวกเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดี เลยไม่รู้ว่าหน้าตาของมันเป็นอย่างไร หรือซ้ำร้าย หลายคนมองว่าตัวเอง ‘ไม่คู่ควร’ กับรักดีๆ
#6สัญญาณที่กำลังบอกว่า เราสมควรได้รับความรักที่ดีกว่านี้
ความจริงที่ทุกคนควรทราบคือ แม้เราจะเติบโตมากับครอบครัวที่ไม่อบอุ่น หรือ เคยเจอความสัมพันธ์ที่มีแต่เป็นพิษ เราก็สามารถมีความสัมพันธ์ที่ดี (Healthy Relationship) ได้เช่นกัน แต่เราต้องรู้ตัวก่อนว่า เรากำลังอยู่ในสถานการณ์นี้หรือเปล่า
[ ] ความสัมพันธ์ที่มีอยู่ทำให้ต้องแลกความต้องการของตัวเอง เพื่อความต้องการของอีกฝ่าย (เช่น เปลี่ยนแปลงรูปร่าง หน้าตา การแต่งกาย เป้าหมาย และความฝัน เพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับ)
[ ] เราให้ความสำคัญต่อความรู้สึกของอีกฝ่ายโดยไม่สนใจความรู้สึกของตัวเอง ในขณะที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกเราเลย
[ ] ถูกทำร้าย ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย หรือ ใช้คำพูดในการทำร้ายจิตใจ
[ ] ทำให้เราสูญเสียอะไรหลายๆ อย่าง เช่น ความเป็นตัวเอง ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับครอบครัว หรือ ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเพื่อน
[ ] ถูกปฏิบัติแย่ๆ แม้เราจะให้อภัยซ้ำแล้วซ้ำเล่า สถานการณ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม
[ ] ไม่เชื่อใจกัน อิจฉา และหึงหวงเกินเหตุ
[ ] เรารู้สึกแย่ ไม่มีความสุขเพราะการกระทำของอีกฝ่าย
หากเราพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ การถอยออกมาจะดีต่อตัวเรามากที่สุด (แม้ช่วงแรกๆ เราอาจเสียใจไม่น้อย) และแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเดินออกมา โดยเฉพาะในกรณีที่อีกฝ่ายใช้ความรุนแรง หรือ มีอำนาจเหนือกว่ามาก อาจต้องขอความช่วยเหลือจากคนรอบตัวหรือผู้เชี่ยวชาญ
#ถึงเวลาออกจากวังวนเดิมๆ ของความสัมพันธ์เป็นพิษ
การอยู่ในความสัมพันธ์เป็นพิษ ไม่เพียงแต่ทำให้สุขภาพจิตและสุขภาพกายย่ำแย่ แต่มันยิ่งทำให้เราออกจากวังวนนี้ยากอีกด้วย! ความมั่นใจ (Self-esteem) ของเราต่ำลง เพราะเรามองว่า ‘ที่คนอื่นทำกับเราแบบนี้ เป็นเพราะเราไร้ค่า’
อย่างที่ชาร์ลีบอกว่า ‘เรายอมรับความรักที่คิดว่าเราคู่ควร’ ดังนั้นหนทางเดียวที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีได้ คือเราต้องมองว่าตัวเองคู่ควรเสียก่อน โดยการ…
1) มี Self-Awareness
เราคงจะเปลี่ยนอะไรไม่ได้ หากเราไม่รู้ตัวเองว่าเราอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ดังนั้นการมี Self-Awareness จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก
2) เผชิญกับความเสียใจ
ตระหนักถึงสิ่งที่เรารู้สึกและยอมรับมันโดยการปล่อยมันออกมา ไม่ว่าจะเป็นความเสียใจเพราะอีกฝ่ายทำร้ายเรา ไม่ได้รักเราแบบที่เราคิด หรือความเสียใจที่เรากำลังจะยุติความสัมพันธ์
3) ให้อภัย
ให้อภัยเรื่องราวในอดีต ให้อภัยครอบครัวที่ไม่ได้รักเราในแบบที่เราสมควรได้รับ ให้อภัยตัวเองที่ยอมให้คนอื่นทำร้าย และให้อภัยตัวเองที่ก่อนหน้านี้ เราอาจรักตัวเองไม่มากพอ
4) เยียวยา
ไม่ว่าจะบาดแผลทางกายหรือทางใจ จงเยียวยาตัวเองราวกับว่าเราเป็นคนรัก เช่น พูดจาดีๆ ปลอบโยน ชื่นชมข้อดีของตนเอง ดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจให้ดีเท่าที่จะทำได้ พาตัวเองไปกินอะไรอร่อยๆ ไปเจอคนหรือสถานที่ที่ทำให้เรามีความสุข เป็นต้น
3
5) เรียนรู้ที่จะรักตัวเอง
การรักตัวเองทำได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่เลิกต่อว่าตัวเอง เลิกคิดกับตัวเองในแง่ลบ ตระหนักถึงข้อดีและความสามารถของตนเอง ขอบคุณสิ่งที่มีในชีวิต ให้ความสำคัญกับตัวเองก่อนเสมอ ไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบหรือว่าล้ำเส้น รู้จักคุณค่าของตัวเอง และอย่าเอาคุณค่าของตัวเองไปผูกกับความคิดเห็นของผู้อื่น เป็นต้น
1
ฝึกรักตัวเองกันตั้งแต่วันนี้ เพราะเราเองก็คู่ควรกับรักดีๆ ไม่แพ้ใครนะ
หากถามคำถามเดียวกับในตอนต้นอีกครั้ง ว่า ‘ทำไมเราถึงเลือกคนที่ทำกับเราเหมือนเราไม่มีค่า’ ตอนนี้เราคงรู้คำตอบแล้วว่า เป็นเพราะว่าที่ผ่านมาเราไม่คิดว่าเราคู่ควรกับรักดีๆ นั่นเอง แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าหนทางในการออกจากวังวนนี้ทำได้อย่างไร แม้การรักตัวเองจะไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นการเดินทางที่ยาวไกล มีขึ้นมีลง และมีอุปสรรคบ้าง แต่เชื่อเถอะว่าเราทำได้หากตั้งใจ และมันคุ้มค่าแน่นอน
เพราะตัวต้านทานความสัมพันธ์เป็นพิษที่ดีที่สุด คือ ความรักที่เรามีให้ตัวเอง
1
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
- แด่คนที่ฉันควรรักมากที่สุด: ตัวฉันเอง >> https://bit.ly/3CKU19R
- ยิ่งเจ็บก็ยิ่งรัก? เข้าใจ ‘Trauma Bonding’ กับเหตุผลที่บางคนยอมทนอยู่ในความสัมพันธ์แย่ๆ >> https://bit.ly/3DEZfoq
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#inspiration
โฆษณา