7 เม.ย. 2022 เวลา 11:19 • ปรัชญา
เราสวดมนต์ทุกคืนค่ะ สารภาพว่าสมัยเมื่อแรกเริ่มสวด ก็ทำตามแม่ เราก็สวดไปอย่างนั้น ด้วยเหตุที่บ้านใหญ่ ซึ่งเป็นบ้านแม่ จะมีห้องพระใหญ่มาก และแม่ก็พูดเสมอว่า บ้านเรามีห้องพระจึงควรต้องสวดมนต์ทุกวัน ท้ายที่สุดเมื่อเรามีบ้านเป็นของตัวเอง เราก็เลยต้องทำห้องพระโดยเฉพาะ สำหรับไหว้พระและนั่งสมาธิเท่านั้นจริงๆ
สารภาพต่อไปอีกว่า สมัยนั้น เราไม่เคยใส่ใจจะค้นหาความหมายของบทสวดเลย เราคิดแค่ว่า "สวดแล้วได้บุญ" ซึ่งต่อมาเมื่อเราสนใจศึกษาจริงๆจังๆ จึงได้เข้าใจว่า การคิดยึดติดว่า "อยากได้บุญ" ก็ยังเป็นการหลงยึดอยู่ดี จากนั้นเราก็สืบค้นความหมายบทสวด แล้วก็ฟังการสาธยายของครูอาจารย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฆราวาสที่ศึกษาค้นคว้าบาลีอย่างจริงจัง และจากตรงนี้ มันก็เลยทำให้เราเริ่มวางจิตให้เกิดความซาบซึ้งในบทสวด ก่อนเริ่มต้นบทสวด เราจะสวดบทชุมนุมเทวดาให้มาฟังทุกครั้ง และสวดออกเสียงเพื่อให้ตรง ชัดเจนและไม่ผิดเพี้ยน ซึ่งจะช่วยในเรื่องการวางจิต ให้มั่นคงสงบเย็น เพราะเราจะจินตนาการว่ามีเหล่าเทวดามาร่วมฟังบทสวดค่ะ คิดเสมือนว่าเราสวดเพื่อการบูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ เป็นการถวายความนอบน้อม มันส่งผลให้เราเป็นคนปราณีต และจิตใจละเอียดอ่อนขึ้น จากปกติที่เป็นคนใจร้อน ทำอะไรต้องไวไปหมดทุกเรื่อง
2
สวดมนต์จบ ยืดเหยียดร่างกายแล้วต่อด้วยนั่งสมาธิ มันจะเกิดความต่อเนื่องเสมือนเข้าสู่กระแสพระนิพพานค่ะ ....เราคิดแบบนี้นะ เราไม่สนใจว่าคิดถูกผิด เราสนใจเพียงการวางจิต ฝึกการเจริญสติค่ะ
โฆษณา