9 เม.ย. 2022 เวลา 08:25 • ประวัติศาสตร์
ว่าด้วยเรื่อง"หวาน-คาว ของชาวสยามสมัยกรุงศรีอยุธยา"........
...คนในกรุงศรีอยุธยากินอะไรบ้าง?...
คงไม่มีนักประวัติศาสตร์หรือนักโภชนศาสตร์คนไหนตอบได้หมด แต่มีร่องรอยอยู่ในเอกสารจากหอหลวงชื่อ คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม บันทึกว่าเฉพาะบริเวณที่อยู่ภายในกำแพงพระนครศรีอยุธยามีตลาดขายของชำ 21ตำบล และมีตลาดขายอาหารสดที่ติดตลาดทุกเช้า-เย็นอีก40ตำบล
ตลาดใหญ่ที่สุดเรียกตลาดใหญ่ท้ายพระนครที่ถนนย่านในไก่ อยู่เชิงสะพานประตูจีนไปถึงเชิงสะพานประตูในไก่ มีตึกกว้านร้านจีนตั้งตึกทั้งสองฟากถนนหลวง มี
พ่อค้าแม่ขายไทยจีนนั่งร้านขายสรรพสิ่งของเช่น มีเครื่องสำเภา เครื่องทองเหลือง ทองขาว กระเบื้อง ถ้วยโถโอชาม มีแพรสีต่างๆอย่างจีน และไหมสีต่างๆมีเครื่องมือเหล็กและสรรพเครื่องมาแต่เมืองจีนครบ
ที่สำคัญมีของกินเป็นอาหารและผลไม้มาแต่เมืองจีนแล้วยังมีอาหารสดๆขายทุกเช้า-เย็น คือ หมู เป็ด ไก่ ปลาทะเล ปลาน้ำจืด ปู หอยต่างๆหลายอย่าง
มีตลาดใหญ่แล้วต้องมีตลาดน้อย
ตลาดน้อย อยู่ถนนย่านสามม้า ตั้งแต่เชิงสะพานในไก่ตะวันออกไปถึงหัวมุมพระนคร ที่ชื่อตำบลหัวสาระภา บริเวณช่องประตูกุดท่าเรือจ้างข้ามไปวัดพนัญเชิง ตรงนี้มีพวกจีนตั้งโรงทำเครื่องจันอับและขนมแห้งจีนต่างๆหลายชนิดหลายอย่าง
ตลาดขนมจีน อยู่ถนนย่ามขนมจีน มีร้านโรงจีนทำขนมเปี๊ยะ ขนมโก๋ เครื่องจันอับ ขนมจีนแห้งด้วย
ที่มา : dek-d.com #เรื่องเล่าบันทึกโลก
ที่ตลาดแลก หน้าวัดมหาธาตุ มีศาลาห้าห้อง มีจีนมานั่งต่อศาลานั้นไปเป็นแถวคอยเอาข้าวพอง ตังเม มาแลกของต่างๆ
รอบๆพระราชวังหลวงนับตั้งแต่ประตูดินไปจะมีพวกอาหารสดๆมาวางขายเป็นประจำ เช้า-เย็น ให้พวกชาววังซื้อไปหุงหาอาหารการกิน โดยเฉพาะที่ตลาดหน้าวังตราอยู่ย่านหน้าวัง จะมีข้าวแกงขายคนราชการด้วยเพราะเป็นย่านสถานที่ราชการ
ตลาดป่ามะพร้าว อยู่ถนนย่านป่าขนม ชาวบ้านย่านนี้ทำขนมขาย นั่งร้านขายขนมชะมด กงเกวียน สามเกลอหิน ฝนทอง ขนมกรุง ขนมพิมพ์ถั่ว ขนมสำปันนี และขนมแห้งต่างๆ
ตลาดเสาชิงช้า หน้าโบสถ์พราหมณ์ อยู่ถนนย่านชีกุนขายสุราเข้มสุรากะแช่ด้วย
นอกจากนั้น ก็มีชาวมอญ พม่า แขก เป็นพวกฆ่าเป็ดฆ่าไก่ขาย ครั้นถึงแผ่นดิน
สมเด็จพระบรมโกศ โปรดให้ตรากฎหมายว่า "ห้ามปรามมิให้ฆ่าเป็ดไก่ขายแก่ฝ่ายคนที่นับถือพระพุทธศาสนา แต่พวกมิจฉาทิฎฐิจะฆ่าก็ตามยถากรรมแห่งสัตว์.."
เรื่องการฆ่าสัตว์นี้ ลาลูแบร์-ราชทูตฝรั่งเศสที่เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ฯ บันทึกว่า ในพระนครศรีอยุธยาไม่มีโรงฆ่าสัตว์ "สมเด็จพระเจ้ากรุงสยามโปรดพระราชทานเป็ดไก่และสัตว์ที่ยังเป็นๆอยู่ให้เรา เลยเป็นภาระของพวกเราที่จะต้องเชือดคอและทำอาหารบริโภคกันเอง"(จดหมายเหตุลาลูแบร์ฉบับสมบูรณ์ เล่ม1-สันต์-ท.โกมลบุตร แปล-สำนักพิมพ์ก้าวหน้า2510)
ลาลูแบร์ย้ำว่าชาวสยามในพระนครศรีอยุธยาไม่บริโภคเนื้อวัว"แต่ถ้าจะบริโภคก็พอใจแต่ลำไส้และเครื่องในทั้งหลายบรรดาที่พวกเราไม่ชอบบริโภคกัน ในท้อง
ตลาดสยามมีตัวแมงต่างๆปิ้งบ้าง ย่างบ้าง วางขาย แต่ไม่เห็นมีร้านขายเนื้อย่างหรือโรงฆ่าสัตว์แต่สักแห่ง"
ลาลูแบร์จึงบ่นต่อไปว่า"แต่โดยทั่วไปแล้วเนื้อสัตว์ทุกชนิดนั้นเหนียว ไม่ค่อยฉ่ำและย่อยยาก ซึ่งในที่สุดพวกชาวยุโรปเองที่เข้ามาอยู่ในประเทศสยามก็ค่อยๆเว้นบริโภคเนื้อสัตว์จนกระทั่งงดเอาเสียเลยทีเดียว"
ส่วนเอกสารของคณะทูตจากเปอร์เซีย(อิหร่าน)บันทึกว่า ชาวสยามในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯกินข้าวเป็นอาหารหลัก ไม่เติมเกลือ เนื้อ หรือเครื่องเทศ แต่เขากินกับหัวปลาต้ม นอกจากนั้นยัง "กินแย้ปิ้งและงู จะเห็นมีวางขายตามตลาด แทนที่จะเห็นเนื้อแกะ อาหารอีกชนิดหนึ่งคือเนื้อเต่า ชาวสยามไม่เว้นกินสัตว์ทะเลหรือสัตว์ป่า"(สำเนากษัตริย์สุลัยมานThe ship of Sulaimanดิเรก กุลสิริสวัสดิ์ แปล สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ พิมพ์เมื่อ2517)
ตอนนี้ก็สอดคล้องกับบันทึกของลาลูแบร์ที่บอกว่า อาหารหลักของชาวสยาม คือข้าว กับปลา โดยเฉพาะปลาร้า ปลาแห้ง ปลาเค็ม นอกจากนั้นยังกินไข่ตายโคม ตั๊กแตน หนู(พุก) แย้ ตัวด้วง ตัวแมลงต่างๆ งู น้ำพริก กุ้งเคยเน่า(กะปิ) และในท้องทะเลมีหอยนางรมตัวเล็กๆรสชาติดีมาก เต่าขนาดย่อมเนื้อรสดี กุ้งทุกขนาด
พิจารณาดูรายการอาหารแล้ว ชาวสยามกรุงศรีอยุธยาอาจจะมัวแต่รบกับพม่า จนไม่มีเวลาใช้สติปัญญาพัฒนาวิธีปรุงอาหารให้เอร็ดอร่อย
ถ้าราชทูตฝรั่งเศสกับราชทูตเปอร์เซียสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯอุบัติใหม่เป็นนักท่องเที่ยว แล้วเข้ามาเที่ยวเมืองไทยสมัยนี้ล่ะก็..พับผ่าเถอะ
คงต้องพากันเขียนบันทึกเล่มใหม่ว่าอาหารหวาน-คาวของชาวสยามสมัยไทยแลนด์นี้แสนวิเศษจริงๆ ผลหมากรากไม้ก้อเพียบจนน่าอิจฉา....
โฆษณา