11 เม.ย. 2022 เวลา 14:50 • ความคิดเห็น
การทุจริตและคอร์รัปชันไม่ได้ไกลตัวอย่างที่คิด
-----------------------------------------------
ในตอนที่ยังเป็นเด็ก ผมมักจะคิดเสมอว่าเรื่องบางเรื่องมันไกลตัว ถ้าเลี่ยงได้ก็ไม่ควรไปยุ่ง
บางครั้งเวลาที่เห็นคนอื่นเก็บเงินจำนวน 100 บาทที่ไม่มีเจ้าของและตกอยู่บนพื้น ผมก็เพิกเฉยหรือไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร
จริงอยู่ว่าบางคนอาจเก็บเพื่อไปตามหาเจ้าของ แต่ผมก็เชื่อว่ามีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่จะเลือกนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว (ทั้งที่ไม่ใช่เงินหรือรายได้ที่มาจากตนเอง)
ถ้ามองผิวเผิน เราทุกคนอาจคิดแค่ว่ามีคนเก็บเงินแค่ 100 บาท ที่ไม่มีเจ้าของ ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย
แต่หากลองคิดในมุมกลับกันล่ะ ถ้าเงินจำนวนนั้นไม่ใช่ 100 บาท แต่เป็นหลักหมื่นหรือหลักแสน หรือถ้ามีคนจำนวนกว่าล้านคนในสังคมของเราเลือกที่จะเก็บและเพิกเฉยต่อความถูกต้อง คิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นในภาพกว้าง
หรือสมัยเรียนหนังสือ หลายต่อหลายคนก็มักจะปล่อยให้เพื่อนลอกข้อสอบ ภายใต้การคิดเข้าข้างตัวเองว่า “เอาหน่า ถือว่าช่วยเพื่อนไป”
ทั้งที่ในความเป็นจริงมันอาจจะเป็นการทำร้ายให้เพื่อนไม่สามารถคิดวิเคราะห์และเรียนรู้จากสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นจริงได้ในอนาคต รวมถึงถ้าถูกคุณครูจับได้ ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็คงต้องสอบตกและถูกตราหน้าว่าเป็นคนทุจริต
อีกสถานการณ์หนึ่งที่เคยพบเห็นคือ มีบางคนที่คอยหลบอยู่ตามมุมต่างๆ แล้วรีดไถเงินของคนอื่น
ถ้าคิดแค่เอาตัวเราเองรอด ก็แค่อาจจะเดินหนีหรือไม่เข้าไปเฉียดใกล้
แต่ถ้าคนที่รีดไถคนทั่วๆ ไปของสังคมคือ ผู้มีอำนาจในองค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐที่ใช้กลอุบายอันแยบยลเพื่อล่อลวงประชาชนคนธรรมดา ปัญหาจะยังคงเล็กอยู่ไหม
เรื่องบางเรื่องแม้จะดูเล็กน้อย แต่หากสะสมเข้าเรื่อยๆ จากเล็กก็กลายเป็นใหญ่ ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นปัญหาระดับสังคมและชาติได้ด้วยซ้ำ
และก็ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ที่เกิดขึ้นกับชีวิตทั่วๆ ไปของทุกคน
เชื่อไหมว่าเรามักจะไม่รู้สึกว่าปัญหาการทุจริตและคอร์รัปชันมันใกล้ตัว จนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับตัวเอง
เราอาจไม่รู้สึกว่าการเพิกเฉยละเลยต่อหน้าที่ในที่ทำงานจากพนักงานสักคนหนึ่ง มันจะส่งผลกระทบต่อองค์กรที่เราทำงานได้ จนกระทั่งการปล่อยผ่านของเขาคนนั้น ทำให้เราเดือดร้อนจนไม่สามารถทำงานให้บรรลุเป้าหมายได้
หรืออาจไม่รู้สึกว่าการลักเล็กขโมยน้อยภายในห้างร้านต่างๆ มันส่งผลเสียอย่างไร จนกระทั่งวันที่เราเป็นเจ้าของแล้วรู้ว่าตัวเองต้องสูญเสียสิ่งของที่มีมูลค่ารวมสูงพอตัว
เมื่อพูดถึงคำว่า “คอร์รัปชัน” เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะผูกโยงไปกับเรื่องการเมือง ซึ่งก็ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด เพียงแค่มันยังไม่ได้ครอบคลุมทุกมิติเท่านั้น
เพราะจริงๆ แล้วการคอร์รัปชันก็อาจเกิดขึ้นได้ในภาคธุรกิจและเอกชนเช่นกัน
พอได้ยินคำว่า “คอร์รัปชัน” เราอาจคิดว่ามันดูเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ถ้าลองเจาะไปที่เหตุผลลึกๆ ของคำนี้นี้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งในระดับบุคคล องค์กร หน่วยงาน ไปจนกระทั่งระดับประเทศ
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า “คอร์รัปชัน” คืออะไร
ตามที่ Investopedia ได้ระบุไว้ “คอร์รัปชัน หมายถึง การที่ผู้มีอำนาจในหน้าที่ทั้งในส่วนงานของราชการ หรือภาคธุรกิจ จงใจกระทำการหรือแสดงออกถึงพฤติกรรมบางอย่างที่มิชอบ”
ซึ่งในคำว่า มิชอบ อาจหมายรวมถึง พฤติกรรมการติดสินบน การฉ้อโกง การเบียดบังทรัพย์สิน การฟอกเงิน การบิดพริ้วข้อมูลให้ผิดจากความเป็นจริง และอื่นๆ อีกมากมายที่เป็นพฤติกรรมที่สอดคล้องกับการกระทำทุจริต
เชื่อไหมว่าสิ่งที่เป็นปัจจัยตั้งต้นของการทุจริตและคอร์รัปชันก็มักจะมาจากจุดเล็กๆ ที่เรามักจะปล่อยให้เกิดขึ้น
เคยไหมที่มีบางเหตุการณ์ที่เรารู้สึกว่า ไปทำธุระกับหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งภาคเอกชนหรือราชการ ทำไมต้องเสียเวลารอนาน
สิ่งที่บางคนเลือกทำคือ หาคนรู้จักในหน่วยงานนั้นๆ หรือยอมเจียดเงินเล็กๆ น้อยๆ ให้กับพนักงานเพื่อซื้อความสะดวกสบาย
เมื่อใดก็ตามที่เราเป็นคนได้ประโยชน์ จุดนี้เราอาจจะหลับหูหลับตาสักข้าง และแกล้งไม่สังเกตหรือทำเป็นไม่เห็นได้
แต่หากกลับกลายเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ เราอาจต้องเก็บความคับแค้นข้องใจไว้คนเดียว หรือเต็มที่ก็คงทำได้แค่บ่นพึมพำ เพราะกลัวภัยอันตรายที่อาจจะมาถึงตัวได้
อีกเหตุการณ์ที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำในองค์กรต่างๆ คือ เวลาที่จะจัดทำโครงการต่างๆ ผู้ที่มีอำนาจลงนามในสัญญาต่างๆ ก็มักที่จะวางกระบวนการต่างๆ เพื่อให้คนสนิทใกล้ชิด (บางครั้งก็อาจถึงระดับเป็นญาติหรือนามสกุลเดียวกัน) ชนะการประมูล และเข้ามาทำงานร่วมกัน
เชื่อไหมว่าบางคนแม้จะรู้ว่าเหตุการณ์แบบนี้เข้าข่ายการขัดกันทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) แต่ก็เลือกที่จะไม่ทักท้วงและปล่อยผ่าน
หรือแม้กระทั่งการสร้างวัสดุอุปกรณ์ตามพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐ ที่หลายๆ คนดูแล้วรู้สึกไม่ชอบมาพากลหรือไม่สมเหตุสมผล แต่เราก็เลือกที่จะรับรู้โดยไม่ได้เก็บมาใส่ใจหรือคิดว่าสิ่งที่ถูกที่ควรเป็นคืออะไร
ทั้งที่ในความเป็นจริง หากงบประมาณส่วนนั้นถูกเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย สุดท้ายแล้วผลประโยชน์ก็จะกลับมาสู่เราไม่ช้าก็เร็ว
และจุดเล็กๆ ที่เรามักจะปล่อยให้เกิดขึ้น ก็ไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่เลย เพราะมันก็เป็นเพียงแค่คำว่า “ไม่เป็นไรหรอก นิดเดียวเอง ไม่ได้เกี่ยวกับเรา”
การไม่เป็นไรไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่การไม่เป็นไรให้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้องคือเรื่องที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นอย่างยิ่ง และการที่เราเลือกที่จะไม่ตัดไฟแต่ต้นลม สุดท้ายแล้วผลเสียที่บานปลายไปถึงระดับสังคมก็จะย้อนกลับมาหาเราอยู่ดี
ผมไม่ได้ชี้ชวนให้ทุกคนจะต้องลุกขึ้นชี้นิ้วหรือสั่งให้คนที่ข้องเกี่ยวกับการคอร์รัปชันโดยเฉพาะในระดับองค์กรและระดับประเทศหยุดในฉับพลัน
เพียงแต่อยากชวนให้ทุกคนลองดึงเรื่องเหล่านี้ให้มาใกล้ตัวขึ้น และหาวิธีที่จะแสดงออกถึงการไม่ยอมต่อการทุจริตหรือคอร์รัปชันมากยิ่งขึ้น
สิ่งแรกที่ทำได้คือเมื่อเห็นเหตุการณ์อะไรที่ไม่ชอบมาพากล ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ควรจะส่งเสียงบ้าง
เอาง่ายๆ เมื่อใครสักคนกำลังพยายามแซงคิวคนอื่น ก็ให้ลองพูดกล่าวตักเตือนให้เขาเหล่านั้นหยุดได้
แม้กระทั่งหัวหน้างานของเรากำลังเพิกเฉยละเลยต่อหน้าที่บางอย่าง ก็อาจจะเริ่มจากการเข้าไปพูดคุยและสอบถามถึงเหตุการณ์ที่ส่อเค้าผิดปกติบ้าง
หรือเมื่อพบเจอข่าวการก่อสร้างที่ผิดแปลกจากความเป็นจริง เราก็แค่หยิบมือถือแล้วแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ตามเพจต่างๆ ที่รับเรื่องร้องเรียน จากเพียงแค่เริ่มต้นจากหนึ่งคนขยายวงไปสู่คนอีกหลายต่อหลายคน สุดท้ายก็กลายเป็นกระแสสังคมและเรื่องที่ทุกคนจับตามองได้
ไม่แน่ว่าแค่การเริ่มต้นลงมือทำสิ่งเล็กๆ ของเรา อาจทำให้ใครคนหนึ่งได้รับสิทธิที่พึงจะได้ หรือโครงการที่ส่อเค้าการทุจริตหรือเชื่อมโยงวงจรคอร์รัปชันต้องหยุดชะงักลง ด้วยพลังเล็กๆ จากหลายต่อหลายคนที่ไม่ยอมเพิกเฉยต่อความไม่ถูกต้อง
หากคาดหวังถึงสังคมที่ดีและปราศจากการทุจริตคอร์รัปชัน ไม่จำเป็นต้องรอให้มีผู้วิเศษมาบันดาลให้เกิด ขอให้เชื่อมั่นและเริ่มทำสิ่งเล็กๆ อย่างถูกต้อง และเชื่อมั่นว่า “ทุกอย่างเริ่มต้นที่เราได้”
และอย่าเพิกเฉยหรือปล่อยให้เรื่องทุจริตต่างๆ และปัญหาการคอร์รัปชันที่ไกลตัว เกิดขึ้นต่อเนื่องและสม่ำเสมอจนกลายเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวสุดๆ
📝 POTR
-----------------------------------------------
สามารถติดตาม Huatoa - หัวโต ได้อีกช่องทางบน
สามารถติดตาม Huatoa - หัวโต ได้อีกช่องทางบน
โฆษณา