13 เม.ย. 2022 เวลา 15:10 • ความคิดเห็น
ขอสติจงอยู่กับตัว
-----------------------------------------------
อีกหนึ่งเรื่องที่หลายต่อหลายคนมักมองข้ามไปคือการรู้เท่าทันความคิด ความรู้สึก และการกระทำของตนเองให้มากที่สุด
ผมอยากเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามง่ายๆ ถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันของทุกคนสัก 3 เรื่อง
“เคยขับรถเลยทางเข้าบ้านหรือที่ทำงานหรือไม่”
“เคยเสียเงินไปโดยใช่เหตุ เพียงเพราะฟังสารที่อีกฝ่ายพูดไม่ละเอียดหรือไม่”
“เคยระเบิดอารมณ์ใส่ใคร แล้วสุดท้ายตัวเองต้องมารู้สึกผิดตอนหลังหรือไม่”
จริงๆ แล้ว ทั้ง 3 เหตุการณ์ตัวอย่างข้างต้นนั้น เคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้วทั้งนั้น
เรื่องการขับรถเลยที่หมายเกิดขึ้นเพราะขณะที่ขับรถ ใจผมลอยไปนึกถึงเรื่องอื่นๆ จนเมื่อรู้ตัวอีกทีก็พบว่าขับเลยทางเลี้ยวเข้าบ้านหรือที่ทำงานมาไกล
แถมมีครั้งหนึ่งผมเคยตั้งใจจะส่งเพื่อนที่หมู่บ้านของเขา ซึ่งผมและเพื่อนคนนั้นก็ชวนคุยเพลินๆ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง จนสักพักก็เห็นป้ายหมู่บ้านตรงกระจกมองหลัง (เพราะขับผ่านมาแล้ว)
สำหรับเรื่องการสูญเสียค่าใช้จ่ายแบบงงๆ เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ผมเพิ่งเข้าทำงานในปีแรกๆ ซึ่งขณะนั้นมีบริษัทแห่งหนึ่งโทรมาเสนอสินค้ารายการหนึ่ง แล้วผมก็ฟังไม่ละเอียด จนเผลอไปตอบตกลง
สุดท้ายแล้วในครั้งนั้นผมต้องสูญเสียเงินไปกว่า 3,000 บาท (ซึ่งสำหรับคนที่มีฐานเงินเดือนแบบเด็กจบใหม่ ปริมาณเท่านี้ถือว่าหนักหนาพอตัว)
หรือแม้กระทั่งเรื่องของการไม่ระมัดระวังเรื่องการเก็บอารมณ์ก่อนจะพูดอะไรออกไป ผมเองก็เคยเหวี่ยงหรือพูดจาไม่ดีกับคนที่ใกล้ชิดสนิทสนม สุดท้ายตอนอยู่ในห้องนอนคนเดียว ก็มัวแต่นั่งครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง
ยิ่งไปกว่านั้นพอคิดมาก แต่สิ่งที่ผมเลือกทำคือการตัดพ้อและบ่นพึมพำในหัว แทนที่จะเลือกโทรศัพท์หรือเดินไปหาอีกฝ่ายเพื่อกล่าวคำว่า “ขอโทษและจะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น”
เชื่อไหมว่าทั้งหมดทั้งมวลมันเกิดขึ้นจากการที่ผมละเลยเรื่องใหญ่ในชีวิตเรื่องหนึ่งที่เรียกว่า “สติ”
และจริงๆ แล้วก็คงไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่หลงลืมที่จะให้ความสำคัญกับการมีสติรู้เท่าทันตนเองในขณะที่กำลังคิดหรือตัดสินใจลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เคยมีพี่ชายคนหนึ่งพูดว่า “ถ้าเรามีสติ เราจะไม่เสียสตางค์”
ครั้งแรกที่ได้ยิน ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกอินหรือเชื่อแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามมีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่เคยเกิดขึ้นกับตัวที่ทำให้ผมเข้าใจเลยว่า “การมีสติกับทุกๆ การคิดและการกระทำคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยทำให้ชีวิตของเราไม่ต้องพบเจอกับความยากลำบากที่ไม่ควรเผชิญ”
เพียงแต่ว่าในเหตุการณ์วันนั้นที่ทำให้เกิดการฉุกคิดขึ้นมาได้ มันเกิดขึ้นเพราะการเหม่อลอยหรือขาดสติเพียงชั่วขณะของคนอื่น
เพราะว่าเมื่อ 3 ปีก่อน ขณะที่ผมกำลังจอดรถติดไฟแดงอยู่กลางสี่แยกแห่งหนึ่ง จู่ๆ ก็มีรถเก๋งคันหนึ่งพุ่งเข้ามาชนรถของผมอย่างจัง ส่งผลให้รถยนต์ทั้ง 2 คัน เกิดความเสียหายในระดับที่ยับเยิน
ในครั้งนั้นโชคดีที่ไม่มีฝ่ายใดได้รับบาดเจ็บหนัก
ต่อมาพี่คนขับรถคันด้านหลังก็เปิดประตูออกมาแล้วรีบยกมือไหว้ขอโทษผม
ซึ่งเอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้ติดใจหรือโกรธเคืองอะไรหลังจากที่พี่คนนั้นแสดงออกถึงความรับผิดชอบแล้ว
สิ่งที่ผมทำต่อมาคือถามกลับกับพี่คนนั้นว่า “รถผมก็จอดติดมาสัก 30 วินาทีนะครับ ทำไมจู่ๆ รถพี่ถึงพุ่งเข้ามาแรงขนาดนั้น”
คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ “อ่อ พอดีพี่มองโทรศัพท์ เลยไม่เห็นว่าน้องกำลังจอดติดไฟแดงอยู่”
จริงอยู่ว่าเวลาที่พี่คนนั้นมองโทรศัพท์มันอาจจะเป็นแค่เพียงไม่กี่วินาที แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากนั้นมันรุนแรงมากพอที่จะทำให้ รถยนต์ของทั้ง 2 ฝ่าย ต้องถูกนำไปซ่อมที่ศูนย์บริการเป็นเวลากว่า 1 เดือน
เรื่องตลกต่อมาก็คือในช่วงที่ผมไม่มีรถยนต์ขับไปไหนมาไหน ต้องคอยอาศัยเพื่อนๆ เพื่อมาลงหน้าปากซอยเข้าหมู่บ้าน ปรากฎว่าผมเจอพี่คนนั้นที่เป็นคู่กรณีข้างต้น ลงจากรถตู้บริการแล้วทักผมว่า “อ้าวน้องเองหรอ เป็นไงบ้างสบายดีไหม รถยนต์ใกล้จะซ่อมเสร็จยัง”
ผมก็ตอบกลับไปแค่ “สบายดีครับ หวังว่ารถยนต์ของผมจะซ่อมเสร็จไวๆ นะครับ”
จากวันนั้นจนวันนี้ผมพยายามบอกตัวเองเสมอว่า “จะพยายามมีสติกับความคิดและการกระทำของตัวเองให้มากที่สุด”
ถามว่ามีพลั้งเผลอไปบ้างไหม คำตอบคือ “มีบ้างครับ”
แต่ที่มั่นใจแน่ๆ คืออัตราการเกิดความเสียหายเรื่องต่างๆ ในชีวิตจากการขาดสติลดลงมากกว่าวันที่ผมยังเด็กกว่านี้
ไม่ว่าจะเป็นเวลาทำงาน หรือตอบข้อสอบในช่วงที่เข้าเรียนปริญญาโทแล้ว ผมจะมีสติในการอ่านเนื้อหาและรายละเอียดที่อยู่ในคำสั่ง เพื่อป้องกันการทำโจทย์หรือเนื้องานผิดวัตถุประสงค์
อีกประโยคเด็ดที่ผมจำแม่นมากๆ และสอดคล้องกับเรื่องเรียนหรือการทำงานคือ “ถึงแม้จะตั้งใจทำงาน ขยันขันแข็งแค่ไหน แต่ถ้าทำผิดโจทย์ สุดท้ายผลลัพธ์ที่ดีก็ไม่เกิด”
หรือในเวลาขับรถ ช่วงหลังๆ ก็จะพยายามใจเย็นลง และตั้งสติกับตัวเองเสมอว่าจะต้องขับไปที่ใด
แม้กระทั่งเวลาที่พบเจอกับสถานการณ์ที่ชวนตกใจ ก็จะพยายามดึงสติตัวเองกลับมา แล้วพิจารณาว่าสิ่งใดที่ควรทำก่อนทำหลัง มากกว่าการตกใจตื่นตูมจนไม่ลงมือทำอะไรที่ควรจะทำ
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่าหลายต่อหลายคนเข้าใจสัจธรรมเรื่องนี้คือ “หากมีสติอยู่กับตัว การตัดสินใจของเราย่อมมีประสิทธิภาพ”
และจริงๆ ประโยคนี้ก็มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ที่ว่า “ก่อนตัดสินใจให้คิดเยอะๆ และหลังตัดสินใจไปแล้ว อย่าคิดหรือกังวลจนมากเกินไป”
ซึ่งถ้าเรามีสติและคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจแล้ว สุดท้ายเราก็จะไม่ต้องกลับมาคิดมากกับเรื่องที่ไม่จำเป็น
ถึงตรงนี้แล้วผมขอสรุปปิดท้ายด้วยความหมายของคำว่า “สติ” ตามความเข้าใจของผมง่ายๆ ว่า “การรู้ตัวหรือรู้เท่าทันว่าตนเองกำลังคิด รู้สึก และลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง”
ฉะนั้นแล้วหวังว่าทุกคนจะมีสติอยู่กับตัวให้มากที่สุด ยิ่งถ้าเกิดขึ้นตลอดเวลาได้จะยิ่งดีมากๆ
เพราะเมื่อใดก็ตามที่เรามีสติ สิ่งดีๆ ที่ควรเกิดขึ้นก็ย่อมจะเกิด และความผิดพลาดง่ายๆ ที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับตนเองก็จะไม่เกิด
หรืออย่างน้อยๆ ที่สุด การมีสติที่ดีจะช่วยจำกัดความเสียหายไม่ให้บานปลายเกินกว่าที่ควรจะเป็น
📝 POTR
สามารถติดตาม Huatoa - หัวโต ได้อีกช่องทางบน
โฆษณา