14 เม.ย. 2022 เวลา 05:56 • ความคิดเห็น
เรื่องการครองผ้ากาสาวพัสตร์ ที่พระพุทธเจ้าประทานให้ นั้นเป็นเครื่องหมายของธรรม ที่ช่วยให้มีการประพฤติปฏิบัติธรรม หนีเวรกรรม ให้จิตตนพ้นทุกข์ ไม่ต้องไปวิตกกังวลเรื่องราวทำมาหากินเช่นฆราวาส จะมีแต่ญาติโยม เข้ามาอุปถัมภ์ค้ำชู ด้วยเข้าปลาอาหารที่ ญาติโยมนำมาถวาย ด้วยปรารถนาให้เกิดเป็นบุญ เนื่องด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรมของผู้ที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ เดินไปตามรอยพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รอยที่พระสิทธัตถะกระทำก่อนตรัสรู้นั้นมีมั้ย
ไม่ใช่แค่ห่มผ้าเหลืองแล้วจิตจะเป็นพระเลยเมื่อไหร่ ก็ยังมีเรื่องราวอารมณ์มากมายโลภโกรธหลง ที่ตนเองต้องชำระสะสางออกไปจากกายจากจิต พฤติกรรมของกิริยากายวาจาใจ บ่งบอกมาเอง ว่าทำได้หรือไม่ได้ เป็นที่ประจักษ์แก่ญาติโยม ที่มีสติสัมปชัญญะจะพิจารณากันได้ เราพิจารณามิได้เพื่อไปติเตียน พิจารณาว่าเราไม่ควรประมาทในเรื่องราวของอารมณ์โลภโกรธหลงเลย ขนาดเค้ามาครองผ้ากาสาวพัสตร์ ก็ไม่พยายามกระทำ
มีผู้ทีพูดให้ฟังว่า เมื่อครองผ้ากาสาวพัสตร์เครื่องหมายของธรรมแล้ว จิตใดไปกระทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม จิตนั้นจะได้แต่เลือดกับหนอง มีพระที่นับถือ ท่านบอกว่า สถานที่เมืองนรก นั้นมีราวเหล็กใหญ่มาก เมื่อนักบวชที่มาครองผ้ากาสาวพัสตร์ แล้วทำไม่ดี เมื่อจิตนั้นละจากสังขาร สถานที่จะไปก็คือนรก ก่อนลงนรก เค้าก็ให้ถอด ไตรจีวร พาดที่ราวเหล็กขนาดใหญ่ ท่านบอกว่า ขนาดที่ว่าราวเหล็กท่อนใหญ่ ยังแอ่น โน้มลงไปด้วยน้ำหนักของผ้าที่นำมาพาดราวเหล็กนั้นมากมายก่ายกอง ผู้ที่ลงนรกก็ลงไปแต่ตัวล่อนจ้อน ท่านบอกว่า ฉันลงไปดูที่เมืองนรก ก็เดินสวนกับพระอเสขะ ที่เป็นตัวแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลงไปโปรดสัตว์นรก เพื่อจะได้ผ่อนคลายทุกข์ ให้คลายร้อน ร่มเย็น นายนิรบาลหยุดทรมาน ชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี
เมื่อผู้ที่บวช ครองผ้ากาสาวพัสตร์ กระทำดี ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เดินไปตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชำระสะสางให้จิตของตนไม่มี กรรมด้วยโลภโกรธหลง จิตของผู้ที่ครองก็ได้รับในสิ่งที่ดีเกิดขึ้น ร่างกายจิตใจ ก็เปลี่ยนมีสง่าราศีขึ้น นั่นก็ด้วยกระแสของธรรม ที่ช่วยส่งเสริมให้จิต มีกุศลบารมี พระที่นับถือ ท่านคอยบอกเตือนเสมอ ว่าให้นึกถึงต้นตอของศาสนา ท่านทำอย่างไร คือ ให้พยายามศึกษาเรื่องราวของรอยพระเวสสันดร องค์พระสิทธัตถะ ที่หนีเวียงวัง ทำไมท่านถึงหนี เมื่อท่านไปอยู่ป่า ท่านปฏิบัติอย่างไร มีผู้ที่ที่เล่าให้ฟังว่า ท่านนั่งตากแดกตากฝน บางครั้งฝนตกน้ำไหลลงมาท่วมตัว ท่านก็ยังดำรงสติ นั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน พระวรกายเลย นั้นก็เป็นเรื่องของจิตที่มีขันติบารมีมากๆ
แล้วเราก็โชคดีที่เจอพระที่ท่านกระทำได้ ท่านยืนนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนเลย ควบคุมกายให้นิ่งเฉยครั้งหนึ่ง ก็หกชั่วโมง ท่านบอกว่าที่จริงท่านทำได้มากกว่านั้น เรื่องของกสิณ ท่านบอกว่าท่านทำได้ ถามว่าทำอย่างไร ท่านก็บอกว่า อย่าไปเอามันเลย มันเป็นเรื่องของฤทธิ์ ไม่ได้พาพ้นเวรกรรม อะไรเลย เพราะไม่ได้ไปศึกษา ลดละเรื่องราวของอารมณ์เรื่องราวของกรรม ที่ติดอยู่กับธาตุทั้งสี่เลย ชึ่งเรื่องราวเหล่านี้ เราก็เปรียบเทียบกับเทวทัตได้ ที่ก็เก่ง ทำเรื่องราวของฤทธิ์โลกีย์ได้ แต่ก็ต้องตกนรก เพราะสร้างแต่กรรม นั่นก็เป็นเรื่อวราวที่ต้องศึกษาเตือนสติของตน มิให้เผลอไปเดินตามรอยเทวทัต
ในส่วนของเรื่องประเพณีการบวช ทดแทนคุณพ่อแม่นั้น ถามว่าทำไม จึงเกิดเป็นกุศลทดแทนพระคุณพ่อแม่ มีอยู่เรื่องราวหนึ่ง คือ เรื่องราวของธาตุที่ต่อถึงกัน เมื่อบุตรได้นำเรือนกายของคุณบิดามารดาที่สงเคราะห์ให้จิตได้มาอาศัยชั่วขณะหนึ่ง นำเรือนกายของคุณบิดามารดา มาประพฤติปฏิบัติธรรม ด้วยกิริยาทั้งสี่ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน รักษาจิตให้อยู่กับพระ ภาวนาพุทโธขึ้น เมื่อจิตของผู้ที่บุตร มาประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้น สิ่งที่เรียกว่า แสงของธรรม(ที่เรายังมองไม่เห็นหรอก เพราะจิตของเรามันปกปิดไปด้วสีดำ ปกปิดจนมองไม่เห็นแสง เหมือนตอนที่เราหลับตานั้นแหละ) นั้นก็มาช่วยเหลือ คลี่คลายบรรเทา สิ่งสกปรกรกรุงรังติดกับธาตุทั้งสี่ที่อาศัย ธาตุทั้งสี่ที่อาศัย ก็ได้มาจากธาตุทั่งสองของพ่อแม่ผสมกัน
เมื่อนำกายนี้ธาตุนี้มาประพฤติปฏิบัติธรรม ให้กายมีบุญ จิตมีธรรม เกิดขึ้น ธาตุที่ลูกอาศัย ก็เชื่อมต่อไปถึงพ่อแม่ กายลูกมีบุญ ก็ส่งต่อบุญกุศลไปถึงพ่อแม่ ให้กายพ่อแม่มีบุญไปด้วย แล้วนี่ ก็เป็นเรื่องราวหนึ่ง ที่เวลาพ่อแม่เจ็บป่วย ลูกก็มาบวชบ้าง มาประพฤติปฏิบัติธรรมให้เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดเป็นอานิสงส์ ช่วยเหลือ กายของพ่อแม่ให้มีบุญ ซึ่งเมื่อกายพ่อแม่มีบุญ พ่อแม่มีบุญ เหมือนมีทรัพย์สมบัติใช้หนี้ให้เจ้ากรรมนายเวร เจ้ากรรมนายเวรเค้าได้การใช้หนี้ ก็เลกแล้วต่อกันเป็นอโหสิกรรมเกิดขึ้น เรื่องนี้ เค้าเรียกว่าทดแทนพระคุณพ่อแม่ทางจิต ช่วยเหลือกันทางจิต
นั้นก็เป็นเรื่องราวหนึ่งว่า จริงหรือไม่จริง เมื่อมีเหตุพ่อแม่เจ็บป่วย ก็อธิษฐานนำกายพ่อแม่ มาประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยความนอบน้อม เดินจงกรมของรับเวทนาพ่อแม่ที่เจ็บป่วย ติดต่อกันอย่างน้อยสองชี่วโมง เมื่อเราทำ ..เราก็ได้ศึกษาเรื่องราวการทดแทนพระคุณพ่อแม่เป็นอย่างไรด้วยตัวเราเอง ที่จริงแล้ว ก็มีคนที่รู้จักกัน ที่พ่อแม่เจ็บป่วย เราก็บอกให้เค้ากระทำขึ้น พ่อก็ไม่ทุกข์ทรมานอยู่ห้องไอซียูนาน ก็หายเร็ว กลับมาร่างกายแข็งแรง เรื่องพวกนี้ อย่าเชื่อ เมื่อไม่ได้กระทำ ด้วยตัวของตัวเอง
แม้แต่เราตัวเอง พอแม่ป่วยเริ่มเป็นอัมพฤกษ์ ได้ประมาณสิบวัน ก็อยู่ปฏิบัติธรรมขอรับเวทนาของแม่มาเดินจงกรรม ปรากฏว่าพอเริ่มทำวันแรก แม่ออกไปตลาดกับหลาน ไปเดินหิ้วของอีก ทั้งที่ไม่ได้ไปตลาดมาสี่ห้าปีแล้ว เรื่องนี้ เราก็ถามพระที่แนะนำให้เราปฏิบัติ ท่านบอกว่า เมื่อกราบพระ แล้ว เราอธิษฐาน ขอรับเวทนาแม่มา เวทนาที่แม่ป่วย ก็เคลื่อนมาอยู่ที่ตัวเรา แม่ก็ไม่มีเวทนาเรื่องการเจ็บป่วยที่เป็นอัมพฤกษ์ ร่างกายก็เป็นปกติ (กรุณาอย่าคิดว่า เป็นเรื่องของการอวดเก่ง อวดดีน่ะ เพราะต้องการเพียงเล่าประสบการณ์ เรื่องนี้ให้เป็นตัวอย่างเท่านั้นเอง เพราะถ้าไม่นำมาเล่าบ้าง เรื่องราวพวกนี้ก็จะค่อยสูญหายไป)
เรื่องราวที่เขียนมา นั้นมันเป็นเรื่องราว ของประเพณีที่ว่า บวชทดแทนพระคุณพ่อแม่ หากผู้ที่บวชจริง มีความตั้งใจ มีความเข้าใจ จิตของผู้ที่บวชย่อมได้บุญกุศล ส่งต่อไปถึงกายพ่อแม่ ให้กายพ่อแม่มีบุญ จิตพ่อแม่อาศัยในกายบุญ จิตนั่นก็มีความสุข กายที่เป็นบุญ ก็แข็งแรงขึ้น ด้วยบุญกุศลที่หนุนนำให้
1
เรื่องคำว่าบวชแล้วได้อะไร ก็ต้องพิจารณากันเอง ว่าจะทำอย่างไรดี เมื่อครองผ้ากาสาวพัสตร์เครื่องหมายของธรรม ที่ไม่มีใครบังคับ ใคร่ครวญให้ดี ว่าบวชไปทำอะไร ต้องทำอะไร มีใครเป็นเยี่ยงอย่าง เป็นประธานของจิต มาบวชในศาสนาของใคร..จะเดินตามเยี่ยงอย่างใคร ก่อนที่จะเดิน..เข้าไปนำกายไปขอบวข ที่ไม่มีใครบังคับ เดินเข้าไปขอบวชกันเอง ขอเข้ามาแล้วก็ต้องทำตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วดินฟ้าอากาศ ก็จะเป็นสักขีพยาน เก็บเรื่องราวที่ตนกระทำ มาครองเครื่องหมายธรรม ทำอยู่ในร่องรอยของผู้ที่มีธรรม หรือ รอยร่องที่จะสร้างกรรม ย่อมพิจารณาได้ด้วยสติปัญญาที่เรามี
เรื่องราวของสังคมไทยแต่อดีตชาติ ก็มีประเพณีเรื่องราวสร้างบุญกุศลกันมานาน จึงมีวัดมากมาย ให้ผู้คนได้สร้างบุญกุศล ผิดกับสมัยนี้ แปลงวัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปเสีย เป็นพิพิธภัณฑ์ไป เอาวัตถุหมอดู เข้ามาแทนที่ คนที่เข้าเข้าวา จะมีพระชี้เรื่องบุญกุศล ให้จริงๆก็ไม่มี ตรงไหนบอกว่า ให้รวยๆ ก็นิยมชมชอบกันไป ทำไมไม่นึกถึง คนที่สละที่สละวัตถุปัจจัยมาสร้างวัด เค้าต้องการอะไร เค้าเก็บเอาไว้ให้ลูกหลานเค้าไม่ดีกว่าหรือ จะได้รวยๆ
โฆษณา