16 เม.ย. 2022 เวลา 04:00 • ความคิดเห็น
เรื่องราวของคำว่าจิต ที่มาอาศัยเรือนกายให้จิตอาศัย ที่ประกอบขึ้นมา ในทางพุทธ ที่เรียกกันว่า ขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในส่วนที่เป็นลักษณะของนามธรรม ที่อยู่ภายในกายนี้ที่มีความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ที่ไม่สามารถจับต้องได้ คือ เรื่องของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่จิตอาศัยอยู่ มีความรู้นึกคิด สุขทุกข์ กับอารมณ์ ที่เกิดภายในนี้ ไม่สามารถที่จะจับเอามาพิสูจน์ได้ ด้วยมิติของวิทยาศาสตร์ ที่ต้องใช้วิญญาณหกของเราไปสอดส่อง มีการพิสูจน์เอามาตวงตรวจวัดได้เลย ว่าที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร มันเกิดอะไร ขึ้นมาบ้าง มาจากไหน ในสิ่งที่เป็นนามธรรม
วิทยาศาสตร์อาจช่วยเหลือได้ ในการรักษากายที่เจ็บป่วย แต่รักษาหาย หายแล้ว ก็ดำเนินไป แก่เฒ่าชราตาย แต่ในคำว่าจิตป่วย นั้นมันมาจากเรื่องราวอะไรบ้าง เรื่องหนึ่งคือ คำว่า วิญญาณหก หูตาจมูลิ้นกายใจ เรื่องของอารมณ์ที่เกิดขึ้น มาควบคุมให้ความรู้สึกนึกคิดอะไรต่างๆ คิดโน้นคิดนี้ อยากไปตรงนั้นตรงนี้ นั้นก็ด้วยอารมณ์ที่เกิดขึ้น แต่จิตก็ไม่เคยหยุดนิ่ง สติก็ไม่เคยตื่น ที่จะเรียนรู้จัก เรื่องของจิตตัวเองเลย เรื่องราวของสติของตน ก็เลยไม่รู้จิตของตนเอง เราก็ใช้หูตา หรือวิญญาณทั้งหก เรียนรู้เรื่องราวเหล่านี้ จริงๆในตัวตนของตัวเอง
ที่มีผู้ที่บรรยายให้ฟัง บรรยายสรรพคุณ เหมือนฉลากยา ที่ติดมาข้างๆ กล่อง แต่เราก็ไม่เคย ไปศึกษา ทดลอง เก็บข้อมูล อะไร ว่ามีกระบวนการอะไรเกิดขึ้นบ้าง แล้วเราก็เขื่อว่า นั้นเป็นยารักษาโรคนั้นโรคนี้ ให้บรรเทา หรือ หายเจ็บป่วยไปได้ ผู้ที่กินยา ก็ต้องสังเกตอาการด้วยกินแล้วแพ้ยาหรือไม่ นั้นก็เป็นเรื่องเฉพาะแต่ละคน
คราวนี้กลับมาในเรื่องของคำว่า วิญญาณ .. กับ จิต เราใช้ตาเห็นรูป จิตก็ไปยึดรูปนั้นเข้ามา เคยมีประสบการณ์เรื่องที่แปลก เรื่องการอ่านป้ายโฆษณา ที่มีตัวหนังสืออยู่ มันแปลกตรงที่ เห็นตัวหนังสือ นั้น เป็นภาพ เคลื่อนเข้ามาสู่สายตา ค่อยๆเคลื่อน ออกมาจากป้ายนั้น มีแค่ตัวหนังสือ ไปถามผู้ที่รู้ ท่านบอกว่า สิ่งนี้ คือ เรื่องเจตจิต ที่วิ่งออกไปตาสายที่เราไปมอง ไปรับภาพตัวหนังสือ แล้วนำกลับมาสู่กายสู่จิตอีกทีหนึ่ง แล้วเรื่องราวสัญญาจำที่เราเรียนรู้มา ก็ผุดขึ้นมา ให้เรารับรู้ว่าอ่านว่าอะไร แล้วก็จะเป็นอารมณ์นึกคิด ที่จิตนั้นไปหลงยึดอยู่
ในเรื่องราวของคำว่า ไสยศาสตร์ จิตที่ไปยึดถือในสิ่งที่ไม่มีตัวตน นั้น ถามว่า เป็นลักษณะของอะไร ในสิ่งที่เรามองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ ก็มีสิ่งที่เรียกว่า จิตวิญญาณ การที่เราไปกระทำการต่างๆ ที่มุ่งหวัง กราบไหว้ ยึดถือ เจ้าพ่อเจ้าแม่ อะไรต่างๆ สิ่งที่เรา ไปสัมผัสนั้น ก็จะไปดึงไปยึดเอาสิ่งที่เค้าเรียกว่า จิตวิญญาณ ที่เป็นโอปปาติกะ นั้นเค้ามีกรรม
เราไปนำสิ่งนั้นเข้ามาสู่เรือนกายนี้ มันก็เหมือนคำว่าวิญญาณ ต่อ วิญญาณนั่นสัมผัส ยึดถือเกาะเกี่ยวกันอยู่ ที่เป็นลักษณะของนามธรรมที่เค้ามีแต่กรรม เรายึดเค้ามาทับถมจิตถมที่กายตัวเรา เราก็เลยต้องต้องทุกข์ทรมานไปตามเค้า เหมือนเราคบคนพาล เป็นอันธพาล จะกัดกินเราท่าเดียว เราก็เลยต้องเดือดร้อนทุกข์ร้อนไปตามสิ่งที่เราไปหลงใหลนำมาเอง ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการกระทำทางวิทยาศาสตร์ ต้องอาศัยเรือนกายนี้ มาศึกษา ประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้น แล้วก็ต้องไม่เชื่ออะไรง่าย ต้องมีสติคัดกรองเหตุผล ในเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในกายนี้ จิตนี้ขึ้นมา ศึกษาด้วยการกระทำให้จิตนิ่ง ไม่มีอารมณ์เค้ามาปรุงแต่งเป็นเมฆหมอก ปิดบังความจริง นั้นก็เป็นเรื่องของคำว่าวิญญาณธาตุ แล้วต้องไม่ยึดถืออะไรทั้งนั้นที่เกิดขึ้น
ถ้าเราศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมขึ้นมาจริงๆ เราจะระลึกในพระสัพพัญญูขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านรู้จักเรื่องราวอะไรต่างๆมากมายได้อย่างไรกัน เราจะกราบพระปัญญาพระสัพพัญญูขององค์พระสัมมาสัมพุทธะเจ้า ที่ชี้ให้ปฏิบัติธรรมขึ้นมา ให้จิตเราศึกษา กราบท่านด้วยจิตที่นอบน้อม ในพระมหากรุณาธิคุณ ให้จิตเราได้ศึกษาด้วยความเต็มใจ ที่สงเคราะห์ จิตน้อยๆ ให้มีปัญญาเล็กๆน้อยๆขึ้นมาบ้างก็ยังดี ..จะได้ดูกายและจิตของตัวเองเป็น..จิตจะได้โตขึ้นมากับเค้าบ้าง โตด้วยปัญญาธรรม ที่จะคลี่คลายกรรมของตัวเอง
โฆษณา