17 เม.ย. 2022 เวลา 01:59 • กีฬา
ต่อให้คุณเก่งแค่ไหน มีความสามารถมากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้แปลว่า คุณจะทำผลงานได้ดีไปซะทุกอย่าง เช่นเดียวกับเรื่องของเฟร์นันโด มอริเอนเตส ซึ่งเป็นเคสที่ถูกพูดถึงประจำในโลกของฟุตบอล
เมื่อเรานึกถึงดีลการซื้อขายนักเตะบิ๊กเนม ที่น่าจะปังแต่กลับแป้ก เคสของมอริเอนเตส ที่ลิเวอร์พูลซื้อมาจากเรอัล มาดริด มักจะโดนรวมอยู่ด้วยตลอด
1
มอริเอนเตส เจ้าของฉายา El Moro โด่งดังมาจากสโมสรเรอัล ซาราโกซ่า เขายิงประตูได้ต่อเนื่อง 2 ปีติดๆ ทำให้เรอัล มาดริด จ่ายเงิน 6.6 ล้านยูโร ซื้อตัวมาร่วมทีมด้วย เพื่อให้มาเป็นกองหน้าหมายเลข 4 ของทีม ต่อจาก ราอูล กอนซาเลซ, เปแดร็ก มิยาโตวิช และ ดาวอร์ ซูเคอร์
แต่ไปๆ มาๆ มอริเอนเตสกลับโดดเด่นกว่าที่หลายคนคิด ในฤดูกาลแรกของเขากับเรอัล มาดริด (1997-98) เขายิงในลาลีกา ได้มากกว่า ราอูล, มิยาโตวิช และ ซูเคอร์ เสียอีก นั่นทำให้มอริเอนเตสยึดตำแหน่งได้ และกลายเป็นตัวหลักของทีมอยู่ช่วงหนึ่ง
ผลงานของมอริเอนเตส จับต้องได้จริง ในแชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศปี 2000 เขาลงตัวจริงให้เรอัล มาดริด ถล่มบาเลนเซีย 3-0 โดยมอริเอนเตส มีชื่อเป็นคนยิงประตูด้วย
สไตล์การเล่นของมอริเอนเตสนั้น เป็นคนที่เทคนิคดี ยิงคม เขาอาจจะไม่สูงมาก (184 ซม.) แต่เล่นลูกกลางอากาศได้ดี มีลักษณะเป็น All-round player ที่ยิงได้หลายสไตล์
ชีวิตก็ดูเหมือนจะไปได้ดี แต่ปัญหาของมอริเอนเตสเกิดขึ้น หลังจากฟลอเรนติโน่ เปเรซ เข้ามาเป็นประธานสโมสรเรอัล มาดริด ในปี 2000 เขามีแผนการสร้างทีมรวมดาราโลก หรือกาลาคติกอส ดังนั้นจึงซื้อตัวดังๆระดับโลก เข้ามาสู่ทีมเรื่อยๆ
หลังจบฟุตบอลโลก ปี 2002 เปเรซ ซื้อโรนัลโด้ กองหน้าชาวบราซิลจากอินเตอร์ มิลาน ที่เพิ่งได้ดาวซัลโวฟุตบอลโลกมาเสริมทัพ โดยความตั้งใจของเขาอยากให้คู่หน้าของมาดริด เป็นตัวท็อปอย่าง โรนัลโด้ และ ราอูล
สำหรับมอริเอนเตส เขาได้รับผลกระทบแน่นอน เพราะจากที่ได้เล่นสม่ำเสมออยู่ดีๆ พอโรนัลโด้มาปั๊บ ในฤดูกาล 2002-03 มอริเอนเตส ได้ลงตัวจริงแค่ "3 นัด" ในลาลีกา ซึ่งเขารับไม่ได้อย่างรุนแรง เพราะฟอร์มเขาก็ไม่ได้แย่ ร่างกายก็ฟิตสมบูรณ์ แถมตอนนั้นอายุ 26 ปี กำลังอยู่ในช่วงพีก แต่กลับไม่ได้โอกาสลงสนามเลย ตัวเขาก็รู้สึกว่าไม่แฟร์
จุดแตกหักของเขากับเรอัล มาดริด เกิดขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ 2003 ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกกับดอร์ทมุนด์ ที่เบร์นาเบว โดยเกมสำคัญแบบนี้คู่หน้าก็ต้องเป็น โรนัลโด้-ราอูล ตามคาด
เกมก็เล่นกันไป เรอัล มาดริดนำอยู่ 2-1 จนถึงช่วงทดเจ็บ เฮดโค้ชของมาดริด บิเซนเต้ เดล บอสเก้ เรียกมอริเอนเตสให้ลงสนามเป็นสำรอง เสี้ยววินาทีนั้น มอริเอนเตสฉุนขาดขึ้นมา เพราะเขาคิดว่าตัวเองควรจะเป็นคีย์แมน ไม่ใช่ตัวเสริมที่เอาไว้ฆ่าเวลาแบบนี้ เขาจึงด่าเดล บอสเก้ และไม่ยอมลงเล่นในช่วงเวลาที่เหลือ
2
แม้จบเกม เรอัล มาดริดจะรักษาสกอร์ 2-1 ได้ แต่การต่อต้านของมอริเอนเตสถือเป็นเรื่องใหญ่มาก คุณขัดคำสั่งโค้ชยังไม่พอ ยังด่าคนที่อาวุโสมากกว่าอีก ซึ่งมอริเอนเตสมาให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า "ผมกำลังวอร์มอัพอยู่ แล้วพอเดินกลับมา ปีศาจอะไรก็ไม่รู้มันเข้าสิงผม ก็เลยเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น แต่แล้วปีศาจก็หายไป ผมมารู้ว่าตัวเองทำเรื่องไม่ถูกแล้ว ดังนั้นพอเช้าวันรุ่งขึ้น ที่สนามซ้อม ผมไปขอโทษโค้ชทันที"
1
แม้จะขอโทษแล้ว แต่การที่นักเตะทำตัวแรงใส่โค้ชแบบนี้ ก็ทำให้สโมสรไม่คิดจะเก็บเขาไว้ ฝั่งมอริเอนเตสก็โอเค ไม่คิดจะเก็บเขาก็ย้ายได้ จะให้เขาอยู่เป็นสำรอง 2 ปีติดกัน เขาไม่ยอมหรอก ถ้าหลุดทีมชาติไปลุยยูโร 2004 จะว่าไง
สุดท้ายมอริเอนเตส จึงย้ายไปโมนาโกในลีกเอิง ฝรั่งเศส เป้าหมายคือไปลงสนามเยอะๆ เรียกความมั่นใจให้กลับมาก่อน ซึ่งผลงานของเขากับโมนาโก ก็ยอดเยี่ยมจริงๆ ในช่วง 1 ปี เขายิงประตูรัวๆ 22 ลูกทุกรายการ พาโมนาโกเข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้สำเร็จแบบหักปากกาเซียน
จริงอยู่ว่าโมนาโกมาแพ้ปอร์โต้ในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก แต่การที่มอริเอนเตส แบกทีมมาได้ไกลขนาดนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าฝีเท้าของเขาเป็นของจริงแน่นอน
พอหมดสัญญายืมตัวกับโมนาโก มอริเอนเตสกลับไปเรอัล มาดริด ตอนแรกเขาตั้งใจจะขอสู้ต่อ แต่เปเรซดันไปซื้อไมเคิล โอเว่น มาจากลิเวอร์พูล นั่นทำให้คราวนี้ มอริเอนเตสหล่นไปเป็นตัวเลือกหมายเลข 4 ของทีม
2
ในลาลีกา ครึ่งฤดูกาลแรก มอริเอนเตสได้ลงเป็นตัวจริง 0 นัด เขาถูกมองข้ามอย่างสิ้นเชิง
1
ราอูล - โรนัลโด้ การันตีตัวจริงอยู่แล้ว โอเว่นก็กองหน้าบัลลงดอร์ แล้วจะมีพื้นที่อะไรให้เขา สุดท้ายมอริเอนเตสขอขึ้นบัญชีย้ายทีมแบบถาวรในตลาดซื้อขายเดือนมกราคม เพราะอยู่ต่อก็คงไม่ได้เล่นอีก และสโมสรที่จริงจังที่สุดในการไล่ล่ามอริเอนเตส มี 2 สโมสรคือ โอลิมปิก ลียง กับ ลิเวอร์พูล
พอลิเวอร์พูลไม่มีโอเว่น กองหน้าตัวเป้าจึงเหลือแค่ 2 คน คือมิลาน บารอส กับ ฌิบริล ซิสเซ่ บวกกับดาวรุ่งอายุ 19 ฟลอรองต์ ซินาม่า-ปงโกลล์ ซึ่งราฟาเอล เบนิเตซ มองว่าไม่เพียงพอ เขาต้องการกองหน้าระดับท็อปมาเพิ่มอีกคน ดังนั้นจึงยื่นข้อเสนอ 6.3 ล้านปอนด์ ให้เรอัล มาดริด พิจารณา
ส่วนโอลิมปิก ลียง ในยุคนั้นคือช่วงที่พวกเขายิ่งใหญ่ที่สุด (ยุคลียงลงเป็นยิง) ซึ่งยื่นข้อเสนอมาจริงจังเช่นกัน เนื่องจากเห็นฟอร์มของมอริเอนเตสที่โมนาโก
1
ทั้ง 2 สโมสรเป็นทีมที่ดี แต่พอมอริเอนเตส คิดทบทวนดีๆ การย้ายไปลิเวอร์พูลก็น่าจะโอเคกว่า เพราะผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ณ ขณะนั้น คือราฟาเอล เบนิเตซ เป็นสแปนิช ยิ่งไปกว่านั้น ในทีมมี Spanish Speaker ถึง 5 คน ได้แก่ คือหลุยส์ การ์เซีย, ชาบี อลอนโซ่, โฆเซมี่, อันโตนิโอ นูนเยซ และ เมาริซิโอ เปเยกริโน่ ดังนั้นมอริเอนเตสไม่ต้องกลัวเลยเรื่องการสื่อสาร
คนสุดท้ายที่เขาไปปรึกษา คืออดีตเพื่อนร่วมทีมเรอัล มาดริด สตีฟ แม็คมานามาน ที่เคยอยู่ลิเวอร์พูลมาก่อน โดยมอริเอนเตสเล่าว่า "ผมไปดินเนอร์กับสตีฟ เขาบอกผมทุกอย่างเกี่ยวกับสโมสร และบอกด้วยว่าเกมกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มันมีความยิ่งใหญ่ขนาดไหน"
3
มอริเอนเตส ในตอนนั้นมีอายุ 28 ปี เขามั่นใจในฝีเท้าตัวเอง ที่สเปนก็ยิงกระจุย ไปลีกเอิงก็ยิงกระจาย ดังนั้นจะยากอะไรกับพรีเมียร์ลีก เขาก็ควรจะยิงได้เยอะเหมือนกันสิน่า สุดท้าย มอริเอนเตส จึงเซ็นสัญญา 4 ปีครึ่งอยู่กับทีมหงส์แดงในที่สุด ในเดือนมกราคม ปี 2005
1
---------------------------------------
การได้ตัวมอริเอนเตส สร้างความสุขให้ราฟาเอล เบนิเตซอย่างมาก เขาให้สัมภาษณ์ว่า "มอริเอนเตส คือกองหน้าตัวเป้าระดับแถวหน้าของวงการ เขามีประสบการณ์ เขาโหม่งได้ และยิงได้สองเท้า แถมมีแพสชั่นในการลงเล่นทุกเกมอีกด้วย"
ขณะที่ มิลาน บารอส ที่น่าจะได้ยืนคู่หน้ากัน กล่าวว่า "มันเป็นข่าวดีจริงๆ เฟร์นันโดคือกองหน้าเวิลด์คลาส ผมดีใจมากที่เขาเลือกมาแอนฟิลด์ ตอนนี้ผมดูว่าเราจะร่วมมือกันในสนามได้ดีแค่ไหน เฟร์นันโด เป็นคนที่เล่นลูกกลางอากาศดีมากๆ เหมือนแยน โคลเลอร์ ซึ่งผมกับแยนเราเข้าขากันดี กับทีมชาติเช็ก ดังนั้นผมกับเฟร์นันโด เราน่าจะไปได้สวยในฟุตบอลอังกฤษ"
คนที่ดีใจแบบออกหน้าออกตา คือสตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีม ที่ในที่สุดสโมสรก็เดินหน้าคว้าบิ๊กเนมกับเขาบ้าง เจอร์ราร์ดให้สัมภาษณ์ว่า "นี่คือสุดยอดการเซ็นสัญญาที่เราต้องการ ถ้าคุณไปถามแฟนๆ ว่าอยากได้นักเตะแบบไหน เฟร์นันโดคือคนนั้น ผมเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน มันเป็นสัญญาณที่ดี ที่เราซื้อนักเตะที่ถูกเรียกว่าระดับโลก ผมหวังว่าเขาจะเอาความกระหายตอนอยู่เรอัล มาดริด มาใช้กับเราด้วย"
1
มอริเอนเตส ลงเล่นไม่ได้ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เพราะเขาเคยเล่นให้เรอัล มาดริดมาก่อนแล้วในช่วงต้นซีซั่นจึงติดคัพไท แต่มอริเอนเตส สามารถเล่นพรีเมียร์ลีกได้ และสามารถเป็นคีย์แมน ช่วยให้ทีมจบท็อปโฟร์ได้สวยๆ ในปีแรกของราฟา เบนิเตซ
เกมแรกสุดของมอริเอนเตส คือวันที่ 15 มกราคม 2005 เป็นเกมในแอนฟิลด์ เจอแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือบรรยากาศของแฟนบอลคิดว่ามอริเอนเตส เป็นกองหน้าตัวเทพ เขาอาจประเดิมเกมแรกด้วยการซัดปีศาจแดงเลยก็ได้ แต่เหตุการณ์ไม่ได้เริ่มต้นอย่างเทพนิยายแบบนั้น เมื่อมอริเอนเตสลงเป็นตัวจริง ได้เล่น 75 นาที แต่หายไปจากเกมอย่างสิ้นเชิงก่อนโดนเปลี่ยนตัวออก และเกมนั้น ลิเวอร์พูลแพ้ในศึกแดงเดือด 1-0 คาบ้าน
1
โอเค แพ้เกมแรกไม่เป็นไร อาจเป็นความผิดพลาดทางเทคนิค ในฤดูกาลนั้น เบนิเตซ ก็ยังไว้ใจ ส่งมอริเอนเตสลงเป็นตัวจริงตลอด รวมแล้ว 12 นัด ซึ่งเขายิงได้ 3 ประตู ก็ถือว่าน้อยไปหน่อย แต่ทุกคนไม่มีใครว่าอะไร คงต้องให้เวลานักเตะปรับตัวกันบ้าง
ในฤดูกาล 2004-05 ลิเวอร์พูลได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่อิสตันบูล เกมนั้นมอริเอนเตสก็อยู่ในสนามด้วย แต่เขาไม่มีชื่อลงเล่น เพราะติดคัพไท ดังนั้นในเกียรติประวัติของเขา จึงไม่ถูกบันทึกว่า ได้แชมป์ชปล. ปี 2005
อย่างไรก็ตาม เขามีบทบาทสำคัญหนึ่งอย่าง เพราะก่อนเกมนัดชิงกับเอซี มิลาน จะเริ่มต้นขึ้น มอริเอนเตส ได้เอาประสบการณ์ของเขามาบอกกับเพื่อนร่วมทีมว่า "อย่าเอามือไปสัมผัสถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกเด็ดขาด เพราะมันยังไม่ใช่ของเรา"
3
เรื่องนี้เป็น Myth แปลกๆ ในวงการฟุตบอล คือถ้าหากตอนเดินเข้าสู่สนาม มีนักเตะทีมใดทีมหนึ่งเอามือไปแตะถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก และอีกทีมไม่ได้แตะ ทีมที่แตะจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ โดยในเกมนัดชิง เจนนาโร่ กัตตูโซ่ ของเอซี มิลาน ไม่ได้สนใจ Myth ที่ว่านี้ เอามือไปแตะอย่างมั่นใจ สุดท้ายเอซี มิลานก็พ่ายแพ้จริงๆ ซะด้วย
2
ในซีซั่นแรกที่อังกฤษ ผลงานของมอริเอนเตสไม่ดีจริงๆ แต่สื่อมวลชนและแฟนบอลก็มองข้ามไป เนื่องด้วยความสำเร็จที่ได้แชมป์ยุโรปมา แต่พอเข้าสู่ปีที่ 2 (2005-06) คราวนี้ แรงกดดันต่างๆ เริ่มถาโถมหาเขามากขึ้น เพราะทุกคนเริ่มคาดหวังกันแล้ว
ปัญหาของมอริเอนเตส คือเขาตามความเร็วของฟุตบอลอังกฤษไม่ทัน สื่อวิจารณ์ว่า He was always half a yard short of pace (เขามีความเร็วช้าไปครึ่งหลาอยู่เสมอ) คือฟุตบอลอังกฤษ มันต้องวิ่งตลอด ถ้าคุณเป็นกองหน้าตัวใหญ่คุณต้องเร็วและเข้าหาพื้นที่ได้อย่างปราดเปรียว เหมือนดิดิเยร์ ดร็อกบา
แต่มอริเอนเตส ยิ่งอายุเพิ่มขึ้นเป็น 30 ปี เขามีความเร็วลดลง ลูกครอสจากเพื่อนที่ควรจะชาร์จให้เข้าประตู เขาวิ่งไปไม่ถึงตรงจุดนั้น กลายเป็นเสียโอกาสไป
1
ประตูที่เขาทำได้ เป็นการใช้จังหวะ ใช้เทคนิคซะเยอะ ถ้าเจอกับทีมระดับกลางๆ หรือ ล่างๆ เขายังพอเล่นได้ ตัวอย่างเช่นเกมเจอแอสตัน วิลล่า มอริเอนเตสหลอกกองหลังจนหน้าทิ่มแล้วแปสวนตัวนายทวารเข้าประตู
แต่พอเจอทีมใหญ่ๆ อย่างแมนฯ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล, เชลซี เขาไม่สามารถยิงได้เลยแม้แต่ลูกเดียว เพราะกองหลังของทีมเหล่านี้ ไม่ใช่แค่แข็งแกร่ง แต่เร็วมาก จนมอริเอนเตส ไม่สามารถทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน โดนวิ่งบีบ วิ่งเพรสตลอดเกม เขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
และที่สำคัญเขาเล่นไม่เข้าขากับสตีเว่น เจอร์ราร์ดด้วย ณ เวลานั้นเบนิเตซเริ่มทดลองเอาเจอร์ราร์ดมาเล่นกองกลางตัวรุก ซึ่งต้องประสานกับมอริเอนเตสที่เป็นหน้าเป้าตลอด แต่มันก็ชัดเจนว่าคู่นี้เคมีไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ อยู่ด้วยกัน แล้วไม่ส่งเสริมกัน
ในฤดูกาล 2005-06 มอริเอนเตส ได้แชมป์เอฟเอคัพก็จริง แต่ในพรีเมียร์ลีก ถือว่าน่าผิดหวังเขาลงเล่น 28 นัด ในลีก ยิงได้แค่ 5 ประตูเท่านั้น ถือว่าน้อยเกินไป ถ้าคุณเป็นหัวหอกตัวหลักแบบนี้
จริงๆ เบนิเตซก็ยังไม่ได้ว่าอะไร แต่ตัวมอริเอนเตสเอง ที่รู้สึกไม่สบายใจ และใช้คำว่า Never felt right (ไม่เคยรู้สึกลงตัวเลย) เขาจึงขอย้ายทีมทั้งๆ ที่อยู่มาแค่ 1 ปีครึ่ง
มอริเอนเตสอธิบายว่า "ผมอยากจะกลับไปเล่นฟุตบอลที่ผมรู้จัก และฟุตบอลที่ผมรู้สึกสบายใจมากกว่านี้ ผมไม่ชอบการเล่นด้วยพละกำลังและความรวดเร็วแบบที่อังกฤษ และไม่ชอบการที่กรรมการปล่อยจังหวะไหลเกินไป ที่อังกฤษกรรมการแทบไม่เป่าฟาวล์เลยต่างจากที่สเปน กองหน้าที่อังกฤษไม่ได้รับการปกป้องจากกองหลัง มันทำให้กองหน้าสไตล์ผมเล่นได้ยากมากจริงๆ"
2
มอริเอนเตส ยอมรับเลยว่า เกมในสเปน หรือฝรั่งเศส มันไม่เหมือนกับฟุตบอลอังกฤษ มันใช้พลังน้อยกว่า เน้นเทคนิค ซึ่งเหมาะกับสไตล์ของเขามากกว่า นั่นทำให้เขาไม่สามารถอยู่ต่อไปได้
สื่ออังกฤษใช้คำว่า Misfit คือมันผิดที่ผิดทาง ไม่ใช่ว่ามอริเอนเตสไม่เก่ง แต่เขาไม่เหมาะกับพรีเมียร์ลีก
เมื่อมอริเอนเตสไม่สบายใจแบบนั้น อาเมเดโอ คาร์บอนี่ ผู้อำนวยการกีฬาของบาเลนเซีย ที่สนิทกับราฟาอยู่แล้ว ได้โทรมาแล้วถามว่า ขอซื้อต่อได้ไหม ในราคา 3 ล้านปอนด์ แม้ลิเวอร์พูลจะขาดทุนแต่ก็ดีกว่าเก็บนักเตะที่ไม่เข้ากับระบบเอาไว้ จึงยอมปล่อยแบบขาดทุน แล้วรวมเงินไปซื้อกองหน้าคนใหม่ ที่มีพลังวิ่งเยอะๆ อย่างเดิร์ก เคาท์แทน
วันที่ย้ายไป มอริเอนเตสบอกว่า นี่เป็นการแยกทางกันที่ดี ไม่มีใครโกรธเคืองอะไรกัน เพียงแต่เขาไม่รู้สึกว่ามันใช่ และเมื่อมันไม่ใช่ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแยกย้ายกันไปเติบโตก็เท่านั้น
1
การย้ายไปบาเลนเซีย ในฤดูกาลแรก (2006-07) เขาลงสนาม 37 นัด ยิงไป 19 ประตู คือฟอร์มยอดเยี่ยมเอามากๆ ค่าเฉลี่ย 2 นัด ต้องมี 1 ประตู มันไม่เหมือนกับตอนที่เล่นให้ลิเวอร์พูลเลย ต่างกันแบบคนละเรื่อง
 
ในช่วงที่อยู่กับลิเวอร์พูล เขาเล่นแย่จนโดนหั่นชื่อทิ้งจากทีมชาติสเปนชุดใหญ่ ในบอลโลก 2006 ก็ไม่ได้ไป แต่พอย้ายมาบาเลนเซีย มอริเอนเตสก็ได้กลับไปติดทีมชาติอีกครั้ง
หลังจากอยู่บาเลนเซียได้ 3 ซีซั่น มอริเอนเตสก็ย้ายไปมาร์กเซย 1 ซีซั่น แล้วแขวนสตั๊ดในปี 2010 ด้วยวัย 34 ปี
ในเคสของมอริเอนเตส สะท้อนให้เห็นว่า เขาไม่ใช่ของปลอมแน่ๆ ตอนอยู่ซาราโกซ่ายิงกระจุย มามาดริดก็ได้แชมป์ยุโรป 3 สมัย ไปโมนาโกก็พาทีมเข้าชิงชปล. ตอนไปบาเลนเซียก็ยิงเยอะ และได้แชมป์โกปาเดลเรย์ด้วย หรือแม้กระทั่งทีมสุดท้ายมาร์กเซย ก็ยังได้แชมป์ลีกเอิง ปิดท้ายก่อนแขวนสตั๊ด
มอริเอนเตส ไม่ว่าจะอยู่กับทีมไหนทั้งในสเปน และฝรั่งเศส ก็เล่นได้ดี แต่เขาจะมีจุดด่างพร้อยเล็กๆ ในช่วงการค้าแข้ง คือช่วงเวลาที่อยู่กับลิเวอร์พูลนั่นแหละ ที่ยิงประตูได้น้อยมาก
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เก่ง แต่โลกใบนี้ ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะเก่งกับทุกอย่าง พ่อครัวที่ทำอาหารไทยเก่งอาจจะไม่ถนัดในการทำอาหารฝรั่งเศสก็ได้ นักแสดงเก่งบทดราม่าพอไปรับบทตลกแล้วพังพินาศก็มีเยอะแยะ
5
มอริเอนเตสถนัดกับฟุตบอลที่เน้นเทคนิค จังหวะไม่เร็วนัก แต่พอมาเจอการวิ่งพล่าน และใช้พลังตลอดเวลาของบอลอังกฤษ เขาเองก็ปวดหัวเหมือนกัน ถ้าอายุน้อยๆ เขาอาจจะขอเวลาปรับตัวอีกสัก 1-2 ปี
2
แต่ตอนนั้นมอริเอนเตสก็รู้ว่าตัวเองอายุ 30 แล้ว กว่าจะปรับตัวได้ เขาก็อาจจะอายุเยอะเกินไป ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุด คือการย้ายไปอยู่ในพื้นที่ ที่เหมาะสมกับตัวเอง
มอริเอนเตสกล่าวว่า "การอยู่กับลิเวอร์พูลเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม นี่คือทีมที่มีประวัติศาสตร์มากมาย ทีมอย่างลิเวอร์พูลมีแต่คนอยากมาเล่นให้ เชื่อไหม ว่ามีนักเตะหลายคนยอมจ่ายเงิน เพื่อได้ลงเล่นให้ลิเวอร์พูลด้วยซ้ำ"
2
"แต่ปัญหาของผมคือ สไตล์ฟุตบอลอังกฤษ มันไม่เหมาะกับตัวเองจริงๆ ที่อังกฤษนักเตะเล่นจบ 90 นาทีแล้ว แต่ยังวิ่งต่อได้อีก 90 นาที พวกเขามีพลังกันขนาดนั้น แต่ที่สเปนจะเน้นเรื่องการคอนโทรลบอลมากกว่า ดังนั้นผมจึงไม่แน่ใจนักว่าจะอยู่ลิเวอร์พูลต่ออีกฤดูกาลดีหรือไม่"
1
"ผมจึงปรึกษากับเบนิเตซ และเราจึงตัดสินใจร่วมกันว่า แยกทางกันเถอะ เรื่องราวของผมกับลิเวอร์พูลก็เลยจบลงแค่นี้"
บทสรุปของเรื่องมอริเอนเตส คือมนุษย์เรารับรู้ได้อยู่แล้ว ว่าอยู่ตรงไหนแล้วมันใช่ อยู่ตรงไหนแล้วไม่ใช่
ถ้าอยู่ในที่ที่ใช่ ทำอะไรก็ไหลลื่นลงตัวไปหมด มีแต่ความสบายใจเกิดขึ้น แต่เมื่ออยู่ในสถานที่ ที่ไม่ใช่ อะไรๆ ก็ติดขัด มีแต่ความหงุดหงิดเกิดขึ้น
1
แน่นอน มันไม่ใช่ความผิดของใคร มันเป็นแค่เรื่องของเคมีที่ไม่ตรงกันก็แค่นั้น
ดังนั้นถ้ารู้ว่าไม่ใช่แล้วมีทางเลือก ก็ไม่ต้องโทษใคร เอาตัวออกมา เดินหน้าหาสิ่งที่ใช่กับชีวิต อาจทำให้หัวใจมีความสุขมากกว่าเดิม
2
#FINDYOURRIGHTPATH
โฆษณา