18 เม.ย. 2022 เวลา 17:05 • ครอบครัว & เด็ก
เลือด!!!
ใครได้ยินหรือได้เห็นก็คงตกใจ อาจเกิดอาการแป้วๆ หายใจไม่ทั่วท้อง บางคนอาจเป็นลมเลยด้วยซ้ำ
แต่อีกมุมนึง "เลือด" คือสิ่งที่ต่อชีวิตคน นั้นคือสิ่งที่สำคัญมาก หากคนที่ต้องการเลือดคือ..."คนที่เรารัก"
"เหตุการณ์สำคัญที่สุดในชีวิต" อาจใช้คำว่ากลัวที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้...
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว... หลังจากภรรยาผมคลอดลูกคนที่ 2 ได้ประมาณ 2 สัปดาห์(ผ่าคลอด) วันนั้นเวลาประมาณ 22.00 น. หลังจากเก็บร้านเสร็จ แม่ได้โทรมาบอกว่า แฟนผมตกเลือด ให้รีบกลับบ้าน เพื่อพาแฟนไปโรงพยาบาล
ในใจตอนแรกระหว่างขับรถกลับ ก็ตกใจ แต่ไม่มาก... เพราะไม่ได้มีความรู้เรื่องการตกเลือดสักเท่าไหร่ คิดว่าคงแค่มีเลือดออกนิดหน่อย แล้วพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก...
แต่สิ่งที่เจอ ไม่เหมือนสิ่งที่คิด... พอกลับถึงบ้านแฟนผมก็ชะล่าใจคิดว่าคงไม่เป็นอะไรมาก นอนให้นมลูกอยู่ ผมจึงบอกให้แฟนเปลี่ยนชุด เพื่อจะพาไปโรงพยาบาล ในขณะที่แฟนผมกำลังลุกขึ้นเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมและครอบครับถึงกับตกใจ.... "เลือด"... เต็มเตียงนอน ไหลไม่หยุด...
ทุกคนในบ้านตกใจมาก แม่รีบบอกว่าไม่ต้องเปลี่ยนชุดแล้วรีบไปโรงพยาบาลตอนนี่เลย... แฟนผมบอกว่ามึนๆหัว เดินไม่ไหว ผมจึงพยุงเธอนั่งบนเก้าอี้ล้อเลื่อน แล้วรีบเลื่อนเธอไปที่หน้าบ้านเพื่อไปขึ้นรถ... แต่พอถึงกลางบ้านล้อเลื่อนไม่ไปเพราะเท้าของแฟนผมลากพื้นเอาไว้ ผมจึงอ้อมไปด้านหน้าเพื่อจะเอาเท้าขึ้นไปวางที่ฐานล้อ... แต่สิ่งที่ทำให้ผมช๊อคถึงขั้นสุด คือวินาทีที่แฟนผมมองมาที่ผมแล้วตาดำค่อยๆเหลือกขึ้นด้านบน เหลือไว้เฉพาะตาขาว ร่างที่ไม่เหลือกำลังในการพยุงตัว ล้มมาด้านหน้าตกลงสู่พื้น ผมโผเข้ากอดเธอ วินาทีแรกที่คิด...ตายแล้ว....เธอตายแล้วหรอ.... ผมตะโกนเรียกชื่อแฟน ซ้ำๆ ซ้ำๆ ตอนนี้สติไม่หลงเหลืออะไรแล้ว... ลูกชายที่อยู่ในเหตุการณ์ ร้องไห้แล้วตระโกนว่า เลือด เลือด คงจะตกใจกับเลือดที่กองอยู่ตรงหน้า ทุกคนในบ้านเริ่มร้องไห้ พ่ออุ้มลูกสาวคนเล็กทรุดทั้งยืน แม่ยืนอยู่ด้านข้างน้ำตาไหลพร้อมตะโกนเรียกชื่อลูกสาว
เหตุการณ์เริ่มตรึงเครียด แม่มีสติยื่นโทรศัพท์มาให้ผมบอกว่ารีบโทรเรียกรถพยาบาล.. ผมเอาโทรศัพท์มาแต่ไม่รู้จะกดเบอร์อะไร ในหัวมันสับสน ตกใจ เครียด ไม่มีสติ... ทำยังไงดี ทำยังไงดี ความคิดมันวิ่งอยู่ในสมองเพื่อจะหาคำตอบ วินาทีนั้นผมรวบรวมสติแล้วบอกตัวเองว่าต้องพาไปโรงพยาบาลเองถ้ารอรถพยาบาลคงไม่ทันการ ผมรวบรวมกำลังตัดสินใจอุ้มเธอขึ้นอีกครั้ง... ร่างกายของมนุษย์ที่นอนอยู่กับพื้นโดยไม่มีแรงส่งหรือการขับดันของร่างกายเพื่อสะดวกในการอุ้ม...หนักมากจริงๆ บวกกับร่างกายของผมที่ได้รับบาดเจ็บที่หลังจากการออกกำลังกาย...
ด้วยการรวบรวมแรงที่มีทั้งหมด จริงๆมันยากนะ เพราะว่าเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้ามันทำให้ผมเข่าอ่อน เหมือนจะไม่มีแรง ผมรวบรวมแรงอุ้มเธอขึ้นจากการช้อนเธอขึ้น ผมอุ้มเธอไปหน้าบ้านเพื่อนำร่างที่ไร้สติของเธอขึ้นรถ การที่ไม่มีแรงทำให้ทุกๆอย่างเป็นอุปสรรคทุกๆขั้นตอน ผมอุ้มเธอขึ้นรถได้แต่ไม่มีแรงดึงเธอเข้ารถในท่านอน ทันใดนั้นเพื่อนบ้านที่อยู่แถวนั้นเดินผ่านมาพอดีจึงได้ช่วยดึงแฟนของผมขึ้นรถอีกแรง พ่อตอนนี้ไม่อยู่เพราะว่าวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านพร้อมอุ้มลูกสาวออกไปด้วย
ผมรีบออกรถเพื่อพาไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ระหว่างขับรถแม่ได้นำยาดมให้แฟนผมดมและเรียกชื่อตลอดเวลา...แฟนผมเริ่มได้สติ...ความหวังผมเริ่มเกิดขึ้นใหม่ ความตกใจ ความเครียดยังคงอยู่ แต่ยังต้องควบคุมอารมณ์และบอกลูกชายวัย 3 ขวบที่นั่งด้านหน้าข้างๆผมว่า ม๊าไม่เป็นอะไรนะลูก ม๊าไม่เป็นอะไร และบอกแฟนผมว่าให้คิดถึงลูกเอาไว้ให้เข็มแข็งนะ ระหว่างขับรถบางช่วงเวลาลืมเส้นทาง..เฮ้ย ทางนี่ป่าววะ ใช่ป่าววะ เออใช่ๆทางนี้แหละ ทางนี้แหละ...การขับรถแบบฉุกเฉินทำให้เราขาดสติ และความปลอดภัยอย่างมาก แต่จังหวะนั้นโรงพยาบาล คือแสงสว่างที่สุดภายใต้ความมืดมิดของจิตใจ...โชคดีไม่เกิดอุบัติเหตุ โชคดีเป็นเวลากลางคืนรถไม่ติด โชคดีไฟแดงไม่นาน...ในที่สุดผมก็ขับรถพาแฟนผมถึงโรงพยาบาล
หมอพาแอดมิดด่วนที่ห้องฉุกเฉิน... สภาวะจิตใจเริ่มดีขึ้นนึดหน่อยเพราะคิดว่าถึงมือหมอแล้วน่าจะหายห่วง แต่จริงๆ ความคิดนี้มันอยู่แป๊บเดียว สักพักก็จะมีความกังวล ความเครียดกลับมาอีก หมอวิ่งเข้าวิ่งออก 2-3 คน โทรศัพท์เพื่อปรึกษาเป็นระยะๆ ซึ่งผมเฝ้ามองดูจากด้านนอกผ่านกระจกยังรับรู้ถึงความวุ่นวาย จึงทำให้สถาพจิตใจยิ่งเป็นกังวล เพราะเราไม่ได้เห็นว่าแฟนเราเป็นยังไง มีสติไหม อาการเป็นอย่างไร เลือดหยุดหรือยัง บวกกับลูกชายเริ่มงอแง พี่ๆ ญาติๆ ค่อยๆตามมาสมทบที่โรงพยาบาลเพื่อให้กำลังใจและความช่วยเหลือ..
ประมาณเที่ยงคืนหมอออกมาบอกว่าได้เหน็บเพื่อห้ามเลือดเอาไว้แล้ว และพรุ่งนี้เช้าจะให้หมอที่เป็นผู้ผ่าคลอดมาดูอาการ ผมจึงขอหมอเฝ้าอาการอยู่หน้าห้องทั้งคืน
ยัง!!! ความเป็นความตายยังไม่จบเท่านี้...
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะรอหมอที่ฝากครรภ์มาดูอาการ ผมได้กลับบ้านเพื่อเอาเครื่องปั้มนมมาเผื่อเอาไว้(หญิงที่ให้นมลูกหากลูกไม่ได้ดูดออกน้ำนมจะคั้งที่หน้าอกจะทำให้อึดอัด ปวด และอาจจะเป็นไข้ได้) ในขณะที่ผมขับรถไปที่โรงพยาบาล คุณหมอได้โทรมาแจ้งว่าให้รีบมาที่โรงพยาบาลด่วน!!! รีบมาเซ็นเอกสารยอมรับการตัดมดลูก เพราะแฟนผมเลือดออกไม่หยุด และช๊อคไปอีกแล้ว คุณหมอจึงตัดสินใจให้ตัดมดลูกทันที...
พอถึงโรงพยาบาลผมรีบวิ่งไปที่ห้องที่แฟนผมนอนอยู่ สิ่งที่เห็นที่ทำให้ผมตกใจ และใจแป้วอีกครั้งคือ นางพยาบาลและผู้ช่วยประมาณ 8-10 คนยืนล้อมเตียงแฟนผมอยู่ พยายาลเห็นผมแล้วจึงรีบให้ผมเซ็นเอกสารเพื่อยินยอม และนำแฟนผมเข็นเข้าห้องผ่าตัด
ขณะที่ผมรอหน้าห้องผ่าตัด ผมได้เห็นหมอผู้ช่วยคนนึงจึงสอบถามว่าแฟนผมจะเป็นยังไงบ้าง...ผู้ช่วยหมอบอกว่าเป็นไปได้ 2 กรณีคือผ่าตัดด้วยดีกับอาจจะเสียชีวิตเพราะน้องเค้าเคยผ่าตัดคลอดมาแล้ว 2ครั้ง....
พอได้ยินเท่านั้นแหละผมสตั้นไปเลย เฮ้ย...ตายหรอวะ อาจจะตายได้หรอวะ เหี้.. แล้วกูจะอยู่ยังไงวะ ลูกกูพึ่งคลอดจะทำยังไงวะ คนโตจะต้องเข้าเรียนอีก 3 เดือนจะทำยังไงวะ งานศพจะเป็นยังไววะ ทำใจไม่ได้... คิดมาก...เพ้อเจ้อ...เครียด... และอยู่ๆ น้ำตาก็ค่อยๆไหลออกมาเองโดยไม่รู้ตัว โดนผ่านกระบวนการความเสียใจจากก้นบึ้งของหัวใจ... นางพยาบาลเห็นผมนั่งอยู่ท่าทางน่าจะอาการไม่ค่อยดี จึงได้คอยปลอบใจและนำน้ำและกาแฟให้ผมทานเพื่อผ่อนคลาย...
เวลาทุกวินาทีเดินผ่านไปช้ามากกกก ทุกๆวินาทีรับรู้ถึงความรู้สึกถึงการรอคอย ความหวัง วิตก เพ้อเจ้อ อารมณ์สามารถเปลี่ยนได้ทุกๆนาทีตามจิตที่เราได้เพ้อไป...การสวดมนต์เพื่ออ้อนวอนต่อสิ่งศักสิทธ์ การบนบานสารกล่าวต่อการให้ชีวิตรอดได้เกิดขึ้นครั้งแรกในชีวิต...การรอคอยแสนยาวนานประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง คุณหมอได้เดินออกมา...ความคิดแรกคือไม่กล้าถามหมอเพราะกลัวจริงๆ กลัวคำตอบที่ได้ไม่ได้เป็นในสิ่งที่เราหวัง...สุดท้ายก็ต้องถามหมอ...หมอบอกว่าผ่าตัดเรียบร้อยดี ให้คอยเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด...ความหวัง แสงสว่าง คำขอบคุณสิ่งศักสิทธ์ต่างๆ ที่นึกถึงได้ ตอนนี้เริ่มหายใจทั่วท้อง...
ผมรีบเข้าไปดูอาการแฟนของผมแต่สิ่งที่เห็นสภาพนี้คือ มีทั้งดีใจและเสียใจ ดีใจที่ยังมีชีวิตอยู่ เสียใจตรงที่เห็นสภาพมือซ้ายให้น้ำเกลือ มือขวาให้เลือด จมูกมีสายออกซิเจนเสียบไว้อยู่เพื่อให้ช่วยหายใจ...สภาพที่เกิดมาไม่เคยคิดว่าภรรยาของเราจะต้องมาอยู่ในสภาพนี้.
หลังจากผ่าตัดเสร็จก็ได้นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลโดยยังกำหนดวันออกไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับอาการคนไข้เป็นหลัก การนอนรออาการคนไข้เป็นอะไรที่จับต้องไม่ได้เลย คิดไม่ออกเลยว่าจะออกมาเป็นรูปแบบไหน จะดีขึ้น จะทรงตัว หรือจะทรุด ผมนั่งอยู่ข้างเตียงภรรยาผมตลอด 5 วันเต็ม นั่งอยู่ข้างๆเธอเกือบจะ 24 ชั่วโมงจะมีห่างกันก็ตอนผมไปกินข้าวหรือเข้าเซเว่นเพื่ออัดกาแฟและตุนเอาไว้ยามง่วงนอน เตียงที่เธอพักอยู่ในห้องคนไข้รวม หน้าเคาท์เตอร์พยาบาล เพื่อจะได้ใกล้ชิดนางพยาบาล เพราะฉะนั้นการนอนของผมคือการฟุบหน้าลงบนเตียง สลับกับนั่งคอหงายแล้วโยกขึ้นลง...หรืออาจเรียกว่าเป็นแค่การพักสายตาก็ได้ เพราะจิตใจกับตาของผมจะมองสลับกันระหว่างเครื่องวัดความดัน ชีพจรหัวใจ กับหน้าของภรรยาผม ว่าความดันต่ำลงไปอีกหรือเปล่า ชีพจรเต้นคงที่ไหม หรือภรรยาผมจะต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือเปล่า...
เลือด...เกล็ดเลือด...ยังคงให้ต่อเนื่อง โดยทั้งหมดที่ใช้คือเลือด 5 ถุง เกล็ดเลือด 3 ถุง...อาการภรรยาผมดีขึ้นเรื่อยๆ แต่อาการปวดหลังจากผ่าตัดยังคงมีอยู่ การได้เฝ้าภรรยาโดยใช้เวลาประมาณ 5 วันนั้น ทำให้ผมได้รู้และให้คำตอบกับตัวเองได้จริงๆเลยว่า ผมรักผู้หญิงคนนี้มากขนาดไหน ผมทนลำบาก ทนเหนื่อย ไม่ได้พักผ่อนเพื่อเฝ้ารออาการของเธอให้ดีขึ้น และทุกครั้งที่เธอลืมตาขึ้นมา ผมจะยิ้มให้เธอเสมอ และเอามือลูบผมเธอ และบอกว่าดีขึ้นแล้วนะ พักผ่อนเยอะๆ จะได้หายเร็วๆ ลูกๆสบายดี ปู่กับย่า และพี่สะใภ้คอยดูแลให้อย่างดีไม่ต้องกังวลอะไร ผมว่าเธอก็ยังคงกังวลและเป็นห่วงอยู่ในใจ แต่สภาพร่างกายหลังผ่าตัดและเสียเลือดมากทำให้เธอต้องการพักผ่อนมากกว่าคิดเรื่องอื่นใด
ผมสวดมนต์ทุกวันเพื่อให้จิตใจสงบนิ่ง และหวังพึ่งสิ่งศักสิทธ์ช่วยเหลือให้ภรรยาของผมอาการดีขึ้น การดูแลของคุณหมอ และคุณพยาบาลดีมาก ถึงแม้จะเป็นโรงพยาบาลรัฐบาลก็ตาม อาการของภรรยาผมดีขึ้นตามลำดับจนหมอสามารถให้กลับบ้านได้.
"บทสรุปเรื่องเลือด"
- เลือดของผู้บริจาค ไม่ได้ช่วยต่อแค่ชีวิตภรรยาผม แต่ยังต่อชีวิตให้กับผมและลูกทั้ง 2 ให้เป็นครอบครัวที่อบอุ่นและมีความสุข ขอบคุณเลือดจากผู้บริจาคใจกุศล
"ข้อแนะนำ"
- หลังจากคลอดลูกแล้วควรดูแลภรรยาอย่างใกล้ชิด กรณีภรรยาผมเรียกว่าการตกเลือดแบบดีเลย์ คือไม่ได้ตกเลือดหลังคลอดเลย
"เลือดสำคัญมาก" มาร่วมกันบริจาคเลือดกันเยอะๆนะครับ เพราะคุณไม่รู้หรอกว่าเลือดคุณจะเข้าไปอยู่ในตัวใคร...คนที่คุณไม่รู้จัก แต่เชื่อเถอะว่า เลือดคุณไม่ได้แค่ต่อชีวิตคนๆนั้น แต่เลือดคุณยังต่อลมหายใจให้กับครอบครัวเค้าด้วย... มหากุศลที่ทำเองได้ แค่คุณตั้งใจ...
***ถึงผมจะรักภรรยาผมมากแค่ไหน แต่ก็ยังน้อยกว่าม๊าผมอยู่ดี 5555***
ความตั้งใจของโพสนี้ แค่ต้องการสร้างแรงบัลดาลใจให้คนที่อ่าน สักหนึ่งคนเริ่มบริจาคเลือด หรือบางคนห่างหายจากการบริจาค ลุกขึ้นไปบริจาคเลือด แค่ 1 คน ผมก็ถือว่าโพสของผมประสบความสำเร็จแล้วครับ...
โฆษณา