21 เม.ย. 2022 เวลา 02:50 • ธุรกิจ
กรณีศึกษา Kilo Health หนึ่งในสตาร์ตอัป โตเร็วสุดในยุโรป
การแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้ระบบเศรษฐกิจเกิดภาวะติดขัดไปทั่วโลก
และมีหลากหลายอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ จนหลายบริษัทต้องปิดตัวลง
1
แต่บริษัทเทคโนโลยีหลายรายกลับเติบโตอย่างต่อเนื่องท่ามกลางวิกฤตินี้ โดยเฉพาะ Kilo Health สตาร์ตอัปธุรกิจเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดเป็นอันดับ 2 ในยุโรป
3
ด้วยอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ย 450% ต่อปี ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เป็นรองเพียง Swappie ธุรกิจซื้อและขายสมาร์ตโฟนที่ได้รับการตกแต่งใหม่ ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 477% ต่อปี ในช่วงเวลาเดียวกัน
4
แถมสตาร์ตอัปรายนี้ ยังเป็น “Bootstrap” หรือธุรกิจที่ไม่ได้รับเงินระดมทุนจากใคร และเติบโตขึ้นมาด้วยเงินทุนของตัวเองเท่านั้น
2
แล้วหน้าตาธุรกิจสตาร์ตอัปด้านสุขภาพของ Kilo Health เป็นอย่างไร
ทำไมถึงเติบโตระเบิด ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
Kilo Health เป็นสตาร์ตอัปสัญชาติลิทัวเนีย ที่ให้บริการเทคโนโลยีด้านสุขภาพ
ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2013 หรือราว 9 ปีก่อน
โดยปัจจุบัน Kilo Health มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 15 รายการ
ที่ให้บริการครอบคลุมหลากหลายด้าน ตั้งแต่โรคเรื้อรังไปจนถึงปัญหาสุขภาพจิต
อย่างเช่น
- ผู้ป่วยเบาหวาน หรือความดัน
- ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการกินหรือการนอน
- ผู้ที่ต้องการบริหารสุขภาพจิตและการควบคุมอารมณ์
ซึ่งเป้าหมายหลักของแต่ละบริการที่ Kilo Health สร้างขึ้นนั้น คือการทำให้ขั้นตอนดูแลรักษาสุขภาพเป็นเรื่องที่ง่าย สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ใช้บริการ และลดการไปพบแพทย์โดยไม่จำเป็น
1
โดยแต่ละบริการเป็นการให้คำแนะนำ และผลักดันให้ผู้ใช้บริการเห็นคุณค่าของการบำบัดรักษา และรู้สึกว่าสามารถบรรลุเป้าหมายได้
ซึ่งแตกต่างจากคำแนะนำของแพทย์ที่อาจจะไม่สอดคล้องกับชีวิตประจำวันของคนไข้ หรือบางครั้งอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป เพราะแพทย์ส่วนใหญ่ต้องการให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด
1
โดย Kilo Health จะให้ข้อมูลที่เข้าใจง่าย และแบบฝึกหัดที่เหมาะสมและง่ายต่อการปฏิบัติ รวมถึงยังช่วยออกแบบกิจวัตรประจำวัน อย่างเช่น ช่วยคิดเมนูอาหารและกำหนดตารางการนอนที่เหมาะสม
1
ซึ่งแต่ละโปรแกรมจะถูกออกแบบโดยทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ไม่ว่าจะเป็นนักโภชนาการอาหาร
แพทย์เฉพาะทางในแต่ละโรค
นักวิทยาศาสตร์จากหลากหลายสาขา
รวมถึงนักจิตวิทยาและผู้ที่เคยป่วยด้วยโรคร้ายมาก่อน
3
ทำให้โปรแกรมการบำบัดรักษาต่าง ๆ มีความแม่นยำ รวมถึงมีความยืดหยุ่นเหมาะสมกับผู้ใช้บริการที่อาจจะมีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน
และที่สำคัญคือ คำแนะนำหรือแนวปฏิบัติที่ผู้ใช้บริการได้รับ จะแตกต่างกันไปตามลักษณะอาการ และเป้าหมายของแต่ละคน
6
แล้วบริการด้านสุขภาพของ Kilo Health เริ่มต้นอย่างไร ?
เริ่มจากผู้ที่มีปัญหาสุขภาพในด้านต่าง ๆ
กรอกข้อมูลเบื้องต้นและทำแบบสอบถามที่ถูกจัดทำขึ้น
จากนั้น AI จะวิเคราะห์ข้อมูลของเรา
โดยอาศัยฐานข้อมูลอ้างอิงที่ถูกสร้างไว้โดยผู้เชี่ยวชาญ
บวกกับข้อมูลที่เก็บและวิเคราะห์จากผู้ใช้งานรายอื่นที่เคยใช้บริการ Kilo Health เหมือนกัน
1
หลังจากนั้น Kilo Health จะทำการจำลองโปรแกรมการรักษา หรือโปรแกรมบำบัดเฉพาะบุคคลขึ้นมา
โดยที่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนโปรแกรมตามการวัดผลทางสุขภาพของผู้ใช้บริการ
ซึ่งก็จะมีการติดตามและประเมินผลเป็นระยะ เพื่อให้การรักษาสอดคล้องกับอาการของผู้ใช้บริการมากที่สุด
อธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น เราลองไปดูตัวอย่างบริการ
จาก Kilo Health ที่มีชื่อแอปพลิเคชันว่า “Klinio”
1
Klinio คือ แอปพลิเคชันสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก
โดยเริ่มจากการตอบแบบสอบถาม อย่างเช่น เพศ อายุ ส่วนสูง น้ำหนัก ประเภทของโรคเบาหวาน
อาหารที่แพ้ ต้องการกินวันละกี่มื้อ เป้าหมายน้ำหนักที่ต้องการ
1
จากนั้นระบบจะทำการประมวลผลและแสดงข้อมูลออกมา อย่างเช่น ระดับการเผาผลาญ ความเสี่ยงจากสุขภาพในปัจจุบัน แนวทางการบำบัดรักษา และข้อมูลอื่น ๆ ที่ได้จากร่างกายของเรา
หลังจากรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยครบถ้วน
ก็จะนำไปสร้างโปรแกรมการรักษา ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเราโดยเฉพาะ
ไม่ว่าจะเป็นคำแนะนำด้านการกิน การออกกำลังกาย หรือแม้แต่การนอน
1
ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 1,000 บาท ไปจนถึงหลักหมื่นบาท
ขึ้นอยู่กับชนิดของบริการ และระยะเวลาของโปรแกรมการรักษา
นอกจาก Klinio แล้ว ก็ยังมีแอปพลิเคชันอื่น ๆ อีก อย่างเช่น
- Sensa.Health ตัวช่วยพัฒนาสมองและสุขภาพจิต ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการนอนหลับ ความเครียด ภาวะซึมเศร้า หรือการจัดการอารมณ์
- Cardi.Health สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง และมีปัญหาด้านคอเลสเตอรอล ที่จะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ตรวจวัดเฉพาะทาง เพื่อวางแผนและจัดตารางกิจกรรมให้กับผู้ป่วย รวมถึงการรายงานผลสุขภาพแบบเรียลไทม์ และจัดสรรเมนูอาหารประจำวัน
- DoFasting ช่วยเรื่องการควบคุมอาหาร ด้วยการวางแผนการกิน ผ่านเมนูแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 5,000 รายการ รวมถึงการจัดตารางการออกกำลังกาย
นอกจากการพัฒนาบริการด้านสุขภาพด้วยตนเองแล้ว Kilo Health ยังได้ไล่ซื้อกิจการ และลงทุนในสตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพอีกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น
- Medical Score สตาร์ตอัปที่พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการเตรียมความพร้อม และตรวจสอบก่อนเข้าพบแพทย์ ทั้งปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพจิต
เพื่อแก้ปัญหาจากการที่คนไข้ต้องรอนัดตรวจกับแพทย์ อีกทั้งยังช่วยติดตามผลของร่างกายหลังการรักษา
- Revolab ผู้พัฒนาอุปกรณ์และแพลตฟอร์มสำหรับตรวจเลือดแบบพกพา
ซึ่งถูกใช้ควบคู่กับหลายบริการของ Kilo Health ที่ต้องใช้ผลเลือดในการวิเคราะห์และติดตามผล
นอกจากการซื้อและลงทุนในสตาร์ตอัปแล้ว Kilo Health ยังก่อตั้ง Co-found initiative
หรือก็คือโครงการที่เปิดโอกาสให้บรรดาผู้ประกอบการ หรือมนุษย์เงินเดือนหัวกะทิจากบริษัทใหญ่
สามารถนำไอเดียของตนเองมานำเสนอ และร่วมมือกับ Kilo Health เพื่อสร้างสตาร์ตอัปเป็นของตัวเอง
หรือหากไม่มีไอเดีย ก็สามารถเลือกหาไอเดียที่ Kilo Health มีอยู่ นำมาสร้างเป็นสตาร์ตอัปของตัวเองได้เช่นกัน
โดยทุกโครงการจะได้รับการสนับสนุนจาก Kilo Health อย่างเต็มที่
ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน ทรัพยากรบุคคล คอนเน็กชัน รวมถึงฐานข้อมูลและงานวิจัยที่ Kilo Health ได้จากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของบริษัท อีกทั้งผู้ก่อตั้งยังได้รับการจัดสรรหุ้นในโปรเจกต์ของตัวเองอีกด้วย
ด้วยการใช้งานที่ง่ายและประสิทธิภาพของเทคโนโลยีที่ Kilo Health ครอบครอง บวกกับความยากลำบากในการเข้าพบแพทย์ หรือเดินทางในช่วงวิกฤติโรคระบาด
ก็ได้ทำให้มีผู้ใช้บริการทั่วโลกกว่า 4 ล้านคน ยินยอมจ่ายค่าสมาชิกเพื่อแลกกับบริการของ Kilo Health
1
ที่น่าทึ่งคือ ปัจจุบัน Kilo Health ยังคงเป็นสตาร์ตอัป Bootstrap หรือก็คือ สตาร์ตอัปที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยเงินทุนของผู้ก่อตั้ง ซึ่งมีสมาชิกแรกเริ่มเพียง 7 คนเท่านั้น และยังไม่ได้เปิดรับเงินระดมทุนจากเหล่านักลงทุนเลย
แต่กลับสร้างการเติบโต และกลายเป็นผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ
แถมยังได้รับการจัดอันดับจาก Financial Times ให้เป็นบริษัทที่มีการเติบโตเร็วที่สุดเป็นอันดับ 2 ในยุโรป
ในปี 2020 Kilo Health มีรายได้ 2,093 ล้านบาท
คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยมากถึง 450% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 2017
และมีจำนวนพนักงานกว่า 550 คน จากในปี 2017 ที่มีเพียง 10 คนเท่านั้น
จากการประเมินว่าตลาดเทคโนโลยีด้านสุขภาพ จะมีมูลค่าสูงกว่า 10 ล้านล้านบาทในปี 2028
ด้วยอัตราการเติบโตกว่า 15% ต่อปี
ก็ทำให้ Kilo Health ที่รั้งตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ มีแนวโน้มที่จะก้าวไปเป็นธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นได้ไม่ยาก
ซึ่งแน่นอนว่าคู่แข่งของสตาร์ตอัปแห่งนี้ ก็น่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล
ที่หาก Kilo Health ยิ่งเติบโต ขยายกิจการไปได้มากเท่าไร
ก็แปลว่าผู้ป่วย ก็น่าจะไปพบแพทย์น้อยลงเท่านั้น
หากเราเปรียบเทียบ Kilo Health กับบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังต่างกลุ่มอุตสาหกรรมกัน
Kilo Health ก็อาจจะไม่ต่างกับ Netflix เลย เพราะขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
และมีโมเดลรายได้จากการเก็บค่าสมาชิกเหมือนกัน
2
แต่ต่างกันที่ สินค้าของ Netflix คือคอนเทนต์จำนวนมาก ที่สร้างความสนุกสนานให้กับคนดู
ในขณะที่สินค้าของ Kilo Health คือเครื่องมือจำนวนมาก ที่สร้างสุขภาพที่ดีให้กับผู้ป่วย หรือผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ นั่นเอง..
โฆษณา