19 เม.ย. 2022 เวลา 22:11 • ปรัชญา
เราเคยรู้สึกเหมือนที่คุณกล่าวมา ช่วงวัยเด็กเคยรู้สึกกลัวสิ่งนี้มากพอสมควร ไม่สามารถจัดการความรู้สึกนั้นได้เลย เรามักจะเห็นความสุขและความทุกข์เสมือนเป็นเงาของกันและกัน ในวัยนั้นเรายังไม่เข้าใจอะไรนัก ซึ่งการที่เราไม่เข้าใจจึงทำให้กลัว และความกลัวทำให้เราไม่ยอมรับความทุกข์ที่ติดสอยห้อยตามความสุขมา
เราต่อต้านมันมากพอสมควร และนั่นทำให้ทุกข์หนักกว่าเดิม
ณ ปัจจุบันเราก็ยังคงเห็นเช่นนั้นอยู่ สิ่งที่เราทำคือใช้ชีวิตตามธรรมดา เพื่มขึ้นมาอีกนิดนึงคือตามรู้ตามดูความรู้สึกตามที่มันเป็น เห็นทุกอย่างตามธรรมชาติของมัน แค่รู้ไปเรื่อย ๆ ถึงจุดนึงก็จะเข้าใจชัดแจ้งเองว่ามันคือธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ทุกสรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ ทั้งที่ควบคุมได้และไม่ได้ ทุกสรรพสิ่งล้วนทนอยู่ในสภาพเดิมไปตลอดกาลไม่ได้ นี่คือกฎพื้นฐานของธรรมชาติ
การที่จะเข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่งได้ ก็ต้องมีพื้นฐานมาจากการเห็นทุกข์ รู้จักทุกข์ระดับนึง
(ยิ่งใครเห็นได้ละเอียดลึกซึ้งถึงขั้นแจ่มแจ้งก็จะนำไปสู่การพ้นทุกข์ กล่าวคือพ้นจากการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง)
สรุปคือการที่คุณรู้สึกเช่นนี้มันถูกต้องแล้วตามหลักธรรมชาติ ใครที่กำลังเผชิญความรู้สึกลักษณะนี้แต่ยังหาทางออกไม่ได้ คงต้องลองพัฒนาตัวเองไปสู่การยอมรับความจริง นั่นจะทำให้คุณเจอความสุขอีกรูปแบบนึง สุขที่เกิดจากการไม่ต้องวิ่งตามความสุขหรือคอยยื้อยุดความสุขให้คงอยู่ตลอดไป เมื่อสุขเกิดขึ้นแล้วย่อมดับเป็นธรรมดา เมื่อหมดเวลาของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ก็เฉิดฉาย ทุกสรรพสิ่งย่อมทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์ตามระบบธรรมชาติ นั่นคือมีเหตุก็เกิดหมดเหตุก็ดับไม่มีใครบังคับได้ ความสุขก็เช่นกันถึงจุดนึงก็ย่อมดับลง ความทุกข์ก็ทำหน้าที่ต่อไป
และเมื่อความทุกข์ดับลง ความสุขก็ทำหน้าที่ต่อไป …
สักวันเมื่อใจยอมรับความจริงได้ก็จะไม่ต้องคอยดิ้นรนไขว่คว้าความสุขหรือวิ่งหนีความทุกข์เหมือนที่เคยเป็นมา
เราขอให้คุณได้พบทางออกในรูปแบบที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของคุณนะคะ ❤️
โฆษณา