20 เม.ย. 2022 เวลา 03:43 • หุ้น & เศรษฐกิจ
คัด 2 หุ้นเด่นสุดกลุ่มท่องเที่ยว ได้ผลบวกสหรัฐฯยกเลิกคำเตือนห้ามมาไทย
หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวมีประเด็นบวกเข้ามาอีกแล้ว ล่าสุด ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (ซีดีซี) ประกาศยกเลิกคำเตือนห้ามเดินทางมายังประเทศไทยและอีก 89 ประเทศ โดยให้ไทยอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงจากโควิด-19 ในระดับ 3 จากเดิมอยู่ที่ระดับ 4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด
ทั้งนี้การจัดอันดับไทยอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงระดับ 3 หมายความว่า ไทยมีความเสี่ยงสูงจากโควิด-19 โดยรัฐบาลสหรัฐแนะนำให้ชาวอเมริกันทำการฉีดวัคซีนโควิด-19 สูตรที่มีการปรับปรุงล่าสุดก่อนเดินทางมายังประเทศไทย ก่อนหน้านี้ ไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงระดับ 4 ที่บ่งชี้ความเสี่ยงสูงสุดจากโควิด-19 ขณะที่รัฐบาลสหรัฐแจ้งเตือนชาวอเมริกันให้หลีกเลี่ยงการเดินทางเยือนประเทศกลุ่มดังกล่าว เนื่องจากมีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก
โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ประเด็นสหรัฐถอดคำเตือนห้ามเดินทางมาประเทศไทย ซึ่งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (CDC) ประกาศยกเลิกคำเตือนห้ามการเดินทางมายังประเทศไทยและอีก 89 ประเทศ โดยปรับให้ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงจากโควิด-19 ลดลงสู่ระดับ 3 จากเดิมอยู่ในระดับ 4 หรือเป็นระดับสูงสุดของการเตือน ปัจจัยนี้จะเป็น Sentiment บวกโดยตรงต่อการท่องเที่ยวและหุ้นท่องเที่ยว Top pick CENTEL และ ERW
หากเข้าไปสำรวจพื้นฐานรายตัวของทั้ง 2 หุ้นดังกล่าว พบว่า นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)ระบุว่า แนะนำ “ซื้อ ” CENTEL และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 46.59 บาท จาก 41.55 บาท เพื่อสะท้อน 1.การปรับประมาณการกำไร 2.มุมมองอนุรักษ์นิยมมากขึ้นต่อการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวขาเข้า 3.การปรับปีฐานราคาเป้าหมายจากปลายปี 2565 ไปเป็นกลางปี 2566 และ 4.การปรับ EV/EBITDA ของเรา จาก +0.5SD เป็น +1SD แม้จะปรับลดประมาณการกำไรปี 2565-66 ลง 160-190 ล้านบาท แต่ยังคงมุมมองบวกต่อ CENTEL เนื่องจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในมัลดีฟส์และธุรกิจอาหารที่แข็งแกร่ง
โดยมีมุมมองบวกต่อธุรกิจอาหารและคาดว่ารายรับจากอาหารในปี 2565 จะสูงถึงระดับของปี 2562 ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของธุรกิจอาหารจะอยู่ที่ 58.5% เพิ่มขึ้นจาก 51.3% ในปี 2562 เนื่องจากมาตรการลดต้นทุน ดังนั้นจึงคาดว่าธุรกิจอาหารจะยังคงมีส่วนสำคัญในการสร้างกำไรให้กับ CENTEL ในปี 2565
ขณะเดียวกันคาดว่าการดำเนินงานของโรงแรมจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไปถึงแม้จะมีมุมมองบวกต่อ การดำเนินงานโรงแรมในมัลดีฟส์ด้วยอัตราการเข้าพักที่ 75.9% แต่คาดว่าโรงแรมในประเทศจะฟื้นตัวช้ากว่า จึงประมาณการอัตราการเข้าพักโรงแรมในประเทศปี 2565 ที่ 34.2% ขณะเดียวกันคาดว่าอัตราการเข้าพักในประเทศจะสูงถึง 66.5% ในปี 2566 และ 72.5% ในปี 2567 ตามสมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าในปี 2565-66 ที่ 24.8 ล้านคน และ 41.1 ล้านคน ตามลำดับ
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากข้อมูลเบื้องต้นของจำนวนผู้เดินทางในโครงการ Thailand pass เราคาดว่าโมเมนตัมของภาคท่องเที่ยวและการบริโภคในภาพรวมยังแข็งแกร่งในเม.ย. จำนวนผู้เดินทางเฉลี่ยในโครงการ Thailand pass ในช่วง 1 – 18 เม.ย. เพิ่มเป็น 1.4 หมื่นคนต่อวัน (เพิ่มขึ้น 60%จากเดือนก่อน จาก 8.8 พันคนต่อวันในมี.ค.) ส่วนในศุกร์ที่ 22 เม.ย. เราคาดว่าศบค. อาจประกาศยกเลิกการตรวจ RT-PCR เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางถึงไทย (on arrival) ตั้งแต่พ.ค. และยกเลิกมาตรการ Test&Go หรือ Thailand Pass ภายในมิ.ย. หรือ ก.ค. ซึ่งจะเป็นอีกช่วงขาขึ้นอีกช่วงของการท่องเที่ยวไทย
อย่างไรก็ตามแม้เราจะคงมุมมองการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทยแบบ V-shape และต่อหุ้นเด่นเป็นหุ้นโรงแรมไทย เราเชื่อว่าราคาหุ้น CENTEL ที่มีผลตอบแทนมากกว่า SET 35% จากต้นปีถึงปัจจุบัน ได้สะท้อนแนวโน้มเชิงบวกของภาคท่องเที่ยวไทยและแนวโน้มกำไรที่ดีขึ้นของ CENTEL ที่เกิดจากดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันตั้งแต่ไตรมาส 4/64 จึงปรับคำแนะนำลงเป็น ถือ จากอัพไซด์ที่จำกัด โดยคาดปีนี้พลิกกำไร 581 ล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุนราว 1,779 ล้านบาท
ERW จะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง
ถัดมา ERW นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า แนะนำ “ซื้อ ” และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายจาก 3.64 บาท เป็น 4.00 บาท เนื่องจาก 1.การปรับประมาณการกำไรของฝ่ายวิจัย 2.มุมมองเชิงอนุรักษ์นิยมมากขึ้นต่อการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้า และ 3.การปรับปีฐานราคาเป้าหมายจากปลายปี 2565 ไปเป็นกลางปี 2566 แม้ว่าจะมีมุมมองแบบอนุรักษ์นิยมมากขึ้นต่อกำไรปี 2565-66 แต่ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อกำไรปี 2567 เนื่องจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ Hop INN
ทั้งนี้คาดว่าอัตราการเข้าพักปี 2565 โดยไม่รวม Hop INN จะอยู่ที่ 34.8% เพิ่มขึ้นจาก 17% ในปี 2564 ขณะที่คาดว่าอัตราการเข้าพักของ Hop INN จะอยู่ที่ 65% เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่ 43% ขณะเดียวกันคาดว่า ERW จะรายงานผลขาดทุนปกติในปี 2565 ที่ 900 ล้านบาท ขาดทุนลดลงเมื่อเทียบกับการขาดทุน 2 พันล้านบาทในปี 2564 และคาดว่าจะทำกำไรได้ในปี 2566 ที่ 74 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คงแนะนำ ถือ และคงราคาเป้าหมายที่ 3.30 บาท โดยมองว่าราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยข่าวดีเรื่องรัฐบาลผ่อนปรนมาตรการเข้าประเทศแล้ว ด้วยรายได้ 96% มาจากภายในประเทศไทย
ทั้งนี้คาดว่าอัตราการเข้าพักของ ERW จะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง (ต่างจาก MINT และ CENTEL ที่มีรายได้จากต่างประเทศสูงและสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่า) เนื่องจากประมาณ 45% ของรายได้ ปกติอยู่ในกลุ่มโรงแรมหรูในประเทศไทยซึ่งรองรับนักเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจชาวต่างชาติที่อาจฟื้นตัวช้าสุด (เนื่องจากการประชุมออนไลน์ที่เป็นที่นิยม) จึงมองว่า ERW อาจฟื้นตัวช้ากว่าผู้ประกอบการโรงแรมรายอื่นที่เน้นไปที่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเพื่อพักผ่อนมากกว่า และคาดว่า ERW จะขาดทุน 732 ล้านบาทในปีนี้ ก่อนจะกลับมาทำกำไรที่ 148 ล้านบาทในปี 66
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากรายได้กว่า 95% มาจากโรงแรมในไทย เชื่อว่า ERW จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวที่รวดเร็วของกำไร โดยเฉพาะในครึ่งหลังปีนี้ เนื่องจากประเทศในเอเชียมีแนวโน้มเปิดประเทศเต็มที่และไทยยกเลิกมาตรการ Thailand pass ERW ยังอาจมีอัพไซด์จากการขายโรงแรมประหยัด 3 แห่งที่ไม่ใช่โรงแรมเชิงกลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม รวมถึงการปรับปรุงโครงการ Erawan Bangkok mall อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยังมีข้อมูลไม่มากเราจึงยังไม่รวมเข้าในประมาณการของเรา
อย่างไรก็ตามแม้เราจะมีมุมมองเชิงบวกต่อการท่องเที่ยวไทยและภาพของ ERW เราเชื่อว่าราคาหุ้น ERW ได้สะท้อนแนวโน้มเชิงบวกไปแล้ว ราคาหุ้นมีผลตอบแทนมากกว่า SET 20% จากต้นปีถึงปัจจุบัน รวมถึงอัพไซด์จากคาดการณ์ของเราจำกัด เราจึงปรับคำแนะนำ ERW ลงเป็น ถือ และนำ ERW ออกจากหุ้นเด่นของกลุ่ม อย่างไรก็ตาม ERW ยังเป็นหุ้นสำหรับการลงทุนในการท่องเที่ยวไทยเนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากโรงแรมในประเทศ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากดีมานด์ขององค์กรในประเทศ
ติดตามอัพเดตความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
.
Facebook : Wealthy Thai
โฆษณา