21 เม.ย. 2022 เวลา 05:30 • สุขภาพ
เลือก “หน้ากากอนามัย” อย่างไรให้ได้คุณภาพ
หน้ากากอนามัยคืออะไร
หน้ากากอนามัย คือ หน้ากากที่ช่วยป้องกันอนุภาคที่ลอยมากับอากาศไม่ให้เข้าสู่ร่างกายผ่านทางโพรงจมูกและช่องปาก ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง สารพิษ หรือเชื้อโรคต่างๆ
หน้ากากอนามัยผลิตจากอะไร
หน้ากากอนามัยส่วนใหญ่ผลิตจากพอลิโพรไพลีน (Polypropylene) หรือ PP จัดเป็นพลาสติกประเภทหนึ่งที่มีความปลอดภัยต่อคน ทนต่อความร้อนและสารเคมี แถมยังป้องกันการผ่านของความชื้นได้ดี โดยหน้ากากอนามัยที่มีคุณภาพจะต้องมีชั้นกรองอย่างน้อย 3 ชั้น เพื่อช่วยในการป้องกันเชื้อโรค มลพิษ หรือของเหลวละอองฝอยจากภายนอก ที่สำคัญต้องช่วยดูดซับสารคัดหลั่งหรือความชื้นจากผู้สวมใส่ เพื่อป้องกันเชื้อโรคไม่ให้แพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น
ประเภทของหน้ากากอนามัย
หน้ากากอนามัยแบบทั่วไป
ส่วนใหญ่มักใช้ในวงการแพทย์ เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่ปนเปื้อนมากับละอองฝอย และสารคัดหลั่งต่างๆ ผ่านการไอหรือจาม แต่มีข้อจำกัดในการใช้คือ หน้ากากอนามัยประเภทนี้จะไม่สามารถป้องกันสารปนเปื้อนจากการสูดดมได้
หน้ากากอนามัยแบบ N95
เป็นหน้ากากอนามัยที่ครอบบริเวณจมูกและปากได้อย่างแนบสนิท มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโรค ของเหลว สารปนเปื้อนจากการสูดดมได้ ส่วนใหญ่มักใช้ในวงการแพทย์ที่ต้องการความปลอดภัยขั้นสูงจากการติดเชื้อ
ประโยชน์ของหน้ากากอนามัย
  • ช่วยป้องกันฝุ่นละออง ควัน มลพิษ และเชื้อโรคที่ลอยอยู่ในอากาศ รวมถึงเชื้อโรคจากผู้อื่น
  • ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคไปยังผู้อื่น ลดความเสี่ยงการติดเชื้อระหว่างคนสู่คนได้ โดยเฉพาะยุคที่เกิดโรคระบาดในปัจจุบัน
ข้อจำกัดของหน้ากากอนามัย
  • ไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ 100% เพราะหน้ากากอนามัยส่วนใหญ่มีประสิทธิภาพในการป้องกันประมาณ 80% ขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัสดุ หากเป็นหน้ากากอนามัยชนิด N95 จะมีประสิทธิภาพป้องกันได้ 95% ดังนั้นเราก็ยังมีโอกาสในการสัมผัสเชื้อได้
  • หน้ากากอนามัยไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ทุกชนิด ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีการทดสอบว่าสามารถป้องกันเชื้อโรคชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะได้
  • ใช้ได้เพียงครั้งเดียว หน้ากากอนามัยเกือบทุกชนิดจะเป็นชนิดใช้แล้วทิ้ง และไม่สามารถนำกลับมาซักหรือใช้ซ้ำได้ เนื่องจากหลังการใช้งานจะมีเชื้อโรคติดอยู่บนหน้ากากอนามัย หากนำมาใช้ซ้ำอาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  • ไม่มีผลวิจัยชัดเจนว่าช่วยป้องกันมลพิษโดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็กได้
หน้ากากอนามัยที่ได้คุณภาพต้องเป็นอย่างไร
หน้ากากอนามัยที่ดีต้องระบุค่ามาตรฐานในการป้องกันต่างๆ ไว้ที่บรรจุภัณฑ์ ได้แก่
  • BFE (Bacterial Filtration Efficiency) ค่าความสามารถในการกรองละอองแบคทีเรีย
  • VFE (Viral Filtration Efficiency) ความสามารถในการกรองละอองไวรัส
  • PFE (Particle Filtration Efficiency) ความสามารถในการกรองละอองอนุภาค ยิ่งกรองอนุภาคได้เล็กเท่าไหร่ ยิ่งลดความเสี่ยงในการหายใจเข้าสู่ร่างกายมากเท่านั้น หน่วยคือไมครอน (µm)
  • (Differential Pressure Air on either side of Mask) ค่าความต้านทานในการไหลของอากาศผ่านหน้ากากอนามัย แสดงถึงความสะดวกในการหายใจ ยิ่งค่าต่ำยิ่งหายใจง่าย
  • Fluid Resistance ค่าความสามารถในการป้องกันการซึมผ่านของของเหลว หน่วยเป็นมิลลิเมตรปรอท (mmHg)
  • ได้รับการรับรองและผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.)
  • สายคล้องหูต้องมีความยืดหยุ่นสูง เพื่อช่วยลดการรัดตึงเมื่อต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน
  • ประสิทธิภาพอื่นๆ สำหรับพิจารณาก่อนเลือกซื้อหน้ากากอนามัย เช่น การทนต่อการลามไฟ
ข้อควรระวังในการใช้หน้ากากอนามัย
  • ใส่หน้ากากอนามัยให้ถูกด้าน เพราะด้านนอกจะเคลือบสารกันซึมไว้ เพื่อไม่ให้ละอองฝอยที่อาจมีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ซึมเข้าทางปากและจมูกของผู้สวมใส่ได้
  • หลังใช้หน้ากากอนามัยให้ทิ้งทันที ไม่ควรนำกลับมาใช้ใหม่
  • ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังถอดหน้ากากอนามัย
  • ไม่เอามือสัมผัสกับบริเวณด้านหน้าของหน้ากากอนามัย เพราะอาจมีเชื้อโรคติดอยู่
สรุป
แม้ปัจจุบันยังไม่มีผลยืนยันที่ชัดเจนว่าหน้ากากอนามัยจะช่วยป้องกันเชื้อโรคได้ 100% แต่ผลการศึกษาก็พบว่าหน้ากากอนามัยสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ และต้องใช้ร่วมกับวิธีอื่นๆ ด้วย เช่น การล้างมืออย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 20 วินาที ก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วย หรือหยิบจับสิ่งของในพื้นที่สาธารณะ รวมถึงการเว้นระยะห่างจากผู้อื่นเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในพื้นที่แออัด เพื่อลดโอกาสในการสัมผัสกับเชื้อโรคให้มากที่สุด
ด้วยความห่วงใยจาก Chivit-D by SCG
#ปกป้องอย่างมั่นใจเพื่อคุณและครอบครัว
อ้างอิง
โฆษณา