22 เม.ย. 2022 เวลา 03:36 • กีฬา
ทำไมเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ถึงเลือกย้ายมาคุมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทั้งๆ ที่มีชอยส์อื่นให้เลือกมากมาย วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าให้ฟัง
2
ไม่ว่าจะเป็นอาชีพอะไร การไปทาบทาม "คนเก่งที่สุด" ให้มาอยู่ทีมเดียวกับเรา ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย
เรื่องเงินมีความสำคัญแต่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด เพราะคนเก่งๆ ใครๆ ก็อยากได้ตัว ยังไงก็ได้ค่าจ้างแพงๆ อยู่แล้ว
แต่เรื่องที่คนเก่งระดับนี้ สนใจมากกว่า คือบริษัทที่ติดต่อมา มีอะไรจะ Offer ให้ และให้คุณค่ากับตัวเขามากแค่ไหน
ในโลกของฟุตบอลนั้น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ถือเป็นโค้ชอันดับ 1 ที่ใครๆ ก็อยากได้ ทีมใหญ่ๆ พร้อมจ่ายค่าจ้างแพงๆ ให้อยู่แล้ว แต่ทำไมในตัวเลือกมากมายนั้น เขาตัดสินใจเซ็นสัญญากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ (ซึ่งก็รวย แต่อย่าลืมว่าทีมอื่นก็รวยเหมือนกัน)
1
เหตุผลคืออะไร เราจะไปลำดับเรื่องราวตั้งแต่แรกด้วยกัน
ย้อนกลับไปในช่วงก่อนออกสตาร์ต ฤดูกาล 2015-16 นี่คือซีซั่นสุดท้ายของเป๊ป กวาร์ดิโอล่ากับบาเยิร์น มิวนิค ในระยะสัญญา 3 ปี อย่างไรก็ตามผู้บริหารของบาเยิร์นชื่นชอบเป๊ปอย่างมาก เพราะเขายกระดับจากทีมที่ดีอยู่แล้ว ให้กลายเป็นยอดทีมแห่งยุค
เป๊ปทำแต้มเฉลี่ยในบุนเดสลีกาได้ 2.52 แต้มต่อนัด มีสถิติคว้าชัยชนะเกิน 80% ตั้งแต่เป๊ปย้ายมา บาเยิร์นเลเวลอัพจนห่างไกลกับคู่แข่งทีมอื่นแบบลิบลับ คือในลีกไม่ต้องพูดถึง ชนะขาดแบบไม่ต้องลุ้น
จริงอยู่ว่า บาเยิร์นในยุคของเป๊ป ยังไม่ได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เพราะตกรอบรองชนะเลิศทั้ง 2 ครั้ง (แพ้บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด ซึ่งก้าวไปเป็นแชมป์ทั้งคู่) แต่ผู้บริหารก็มีความมั่นใจว่า อีกไม่นานหรอก องค์ประกอบของทีมดีซะขนาดนั้น เดี๋ยวแชมป์ยุโรปก็มาจนได้
25 สิงหาคม 2015 ในวันเกิดครบ 60 ปี ของคาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ ประธานสโมสรบาเยิร์น มีนักข่าวไปถามว่าเขาอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด รุมเมนิกเก้ตอบอย่างระมัดระวังว่า "ผมอยากให้เป๊ป กวาร์ดิโอล่าอยู่กับทีมต่อไปอีก"
1
รายงานเผยว่า บาเยิร์นพร้อมจ่ายค่าจ้าง 20 ล้านยูโรต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่แพงที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น ให้กวาร์ดิโอล่าเป็นค่าตอบแทน คือมันก็เป็นภาพที่แปลกดีเหมือนกัน เพราะปกติทีมอย่างบาเยิร์น มีแต่โค้ชอยากย้ายมาอยู่ แต่ในกรณีของเป๊ป กลายเป็นสโมสรที่ต้องพยายามสุดความสามารถ เพื่อให้ตกลงใจคุมทีมต่อไปอีกสักนิดก็ยังดี
1
แต่ความพยายามของบาเยิร์นไม่เป็นผล เพราะในเดือนพฤศจิกายน 2015 เป๊ปตัดสินใจเด็ดขาดว่า "ไม่คุมต่อ" พอหมดสัญญาแล้วก็จะย้ายไปทีมอื่น
1
นี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนในวงการฟุตบอลแปลกใจ เพราะที่บาเยิร์น มิวนิค ก็นับว่าเป็นจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารในฟุตบอลยุโรปแล้ว ค่าจ้างแต่ละปีก็เยอะ การันตีแชมป์ทุกปี และได้ร่วมงานกับผู้เล่นดีกรีแชมป์โลก ถามหน่อยว่ามีอะไรไม่แฮปปี้ตรงไหน
กิลเลม บาลาเก้ ผู้สื่อข่าวชาวสเปนคนดัง ที่เขียนอัตชีวประวัติของกวาร์ดิโอล่า อธิบายไว้ว่า เป๊ปมีความอึดอัดใจช่วงที่อยู่บาเยิร์น เหตุผลข้อแรก คือแฟนบาเยิร์นและสื่อมวลชนที่เยอรมัน ใจร้อนที่จะประสบความสำเร็จเกินไป
1
กล่าวคือ ในช่วง 2 ปีที่เป๊ปคุมทีมเสือใต้ แม้จะพาทีมได้แชมป์บุนเดสลีกาอย่างขาดลอย แต่ในแชมเปี้ยนส์ลีก กลับตกรอบรองชนะเลิศทั้ง 2 หน อย่างน้อยมันก็ควรจะเข้าชิงให้ได้ก็ยังดี
3
มาร์แซล รีฟ คอมเมนเตเตอร์ชาวเยอรมันกล่าวว่า "บาเยิร์นเอาเป๊ปเข้ามาเพื่อทำภารกิจเกมยุโรปให้สมบูรณ์แบบ แต่เขาไม่สามารถทำได้สมบูรณ์แบบอย่างที่สโมสรต้องการ"
2
ในมุมของเป๊ปคือ ทุกคนคาดหวังในตัวเขามากไปหรือเปล่า จริงอยู่ เขาไม่ได้แชมป์ยุโรป แต่ประเด็นคือ การได้แชมป์ยุโรปมันยากจะตาย ในรอบ 42 ปีที่ผ่านมา บาเยิร์นยุคก่อนหน้าเขา ได้แชมป์ยุโรปแค่ 2 ครั้งเท่านั้น (2001,2013) แล้วเป๊ปเพิ่งมาคุมทีมได้แค่ 2 ปี คุณจะกดดันให้ได้แชมป์ทันทีเลย มันไม่เกินไปหน่อยหรือ
1
แล้วทีมที่เขาแพ้ ก็ไม่ได้เป็นทีมอ่อนหัดจากไหน ซีซั่น 2013-14 แพ้เรอัล มาดริด ยุค BBC ซึ่งสุดท้ายมาดริดก็ได้แชมป์ยุโรป ตามด้วยฤดูกาล 2014-15 แพ้บาร์เซโลน่ายุค MSN ซึ่งบาร์ซ่าก็เข้าไปได้แชมป์ยุโรปเหมือนกัน ถามว่าเป๊ปควรจะโดนตำหนิขนาดนั้นเลยหรือ
1
นั่นคือเหตุผลข้อแรก ส่วนเหตุผลข้อสอง คือ เป๊ปมีความขัดแย้งกับบุคลากรของบาเยิร์นบ่อยมาก ทั้งในเรื่องการซื้อผู้เล่น ที่ระบบของบาเยิร์น ผู้บริหารจะเป็นคนซื้อ ส่วนโค้ชจะไม่มีสิทธิ์ออกเสียงอะไร ได้นักเตะคนไหนมาก็ต้องเอาไปใช้ แล้วพาทีมให้ชนะให้ได้
1
นอกจากนั้น เขายังเคยทะเลาะกับคุณหมอเทวดา ฮันส์-วิลเฮล์ม มุลเลอร์-โวลฟาร์ท เพราะไปตั้งคำถามว่า ทำไมผู้เล่นในทีมเจ็บบ่อย จนสุดท้ายแพทย์บาเยิร์นลาออกยกชุด จนอูลี่ เฮอเนสต้องเข้ามาไกล่เกลี่ย
สิ่งที่เป๊ปรับรู้ได้ คือปัญหาภายในของบาเยิร์นมีให้แก้เยอะกว่าปัญหาภายนอก เวลาลงสนามเจอคู่แข่งเขาไม่กลัว แต่ต้องมาจัดการเรื่องความรู้สึกของคนในสโมสร มันเป็นอะไรที่น่าปวดหัวเหมือนกัน
1
ที่สำคัญบาเยิร์นเป็นองค์กรที่มีวัฒนธรรมอันเข้มแข็งของตัวเอง ต่อให้เป๊ปอยากเปลี่ยนแปลงอะไร ก็ไม่สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนั้นเขาจึงคิดว่า ควรยุติความสัมพันธ์แค่ 3 ปีนี่แหละ ไม่ต้องต่อสัญญากันหรอก
เดือนพฤศจิกายน 2015 วันที่สโมสรแจ้งว่าเป๊ปจะไม่อยู่กับทีมอีกแล้ว หนังสือพิมพ์ ซุดดอยช์ ไซตุ้ง แซะเป๊ปว่า "กวาร์ดิโอล่าเหมือนเจ้าสาวที่สวยงามและสมบูรณ์แบบ คุณจะภูมิใจเสมอที่มีเธอเป็นคนรัก แต่ปัญหาคือ คุณไม่มีวันรู้ว่าตอนเช้าตื่นขึ้นมา เธอจะมีอารมณ์แบบไหน บาเยิร์นพยายามทำดีที่สุดกับเจ้าสาวจอมเรื่องมากแล้ว แต่เธอก็ยังไม่พอใจอยู่ดี"
2
เป๊ปไม่ได้เกลียดบาเยิร์น จริงๆ เขาชอบความเป็นมืออาชีพของนักเตะมากๆ เป๊ปสนุกกับการได้คุมนักเตะที่ชาญฉลาด อย่างฟิลิป ลาห์ม, มานูเอล นอยเออร์ หรือ โจชัว คิมมิช แต่สุดท้ายปัญหาอย่างอื่นมีมากกว่า เขาจึงตัดสินใจว่า ไปหาความท้าทายใหม่ที่อื่นดีกว่า
ในวันนั้น ก็เกิดคำถามเหมือนกันว่า เขาแยกทางกับบาร์ซ่าในช่วงแข็งแกร่งที่สุด ตามด้วยแยกทางกับบาเยิร์นซึ่งก็เป็นยอดทีม แล้วเอาจริงๆ สิ่งที่เป๊ปต้องการ มันคืออะไรกันแน่ เขาอยากได้อะไรจากสโมสรต่อไปที่จะทำงานด้วย
2
--------------------------
หนังสือชีวประวัติของเป๊ป ยืนยันว่าทีมที่เขาอยากย้ายไปร่วมทีมที่สุดในอังกฤษ ตอนแรก คือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
1
เป๊ป อยากคุมทีมในโอลด์แทรฟฟอร์ด อยากสานต่อความยิ่งใหญ่ของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เขาที่งสโมสรที่ใช้ผู้จัดการทีมคนเดียว นานถึง 27 ปี และคิดว่า ถ้าได้ย้ายไปแมนฯ ยูไนเต็ดก็คงดี
1
แต่ปัญหาคือ จังหวะชีวิตมันไม่ตรงกัน ช่วงเดือนมกราคม 2013 ตอนที่บาเยิร์นทาบทามเป๊ปให้มาทำงานต่อจากจุ๊ปป์ ไฮย์เกส ณ เวลานั้น เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังไม่ประกาศว่าจะรีไทร์ ถ้าเฟอร์กี้ประกาศเร็วกว่านั้น เป๊ปอาจจะพร้อมรอ เพื่อเสียบตำแหน่งของเฟอร์กี้เลยก็ได้
1
พอเขาไปบาเยิร์นปั๊บ เฟอร์กี้ก็ประกาศรีไทร์แล้วดึงเดวิด มอยส์เข้ามา พอมอยส์โดนไล่ออกก็เป็นหลุยส์ ฟาน กัลคุมต่อ คือจังหวะมันไม่มีช่วงไหนเลย เป๊ปจะเข้าไปทำงานด้วยได้
เมื่อชอยส์ของแมนฯ ยูไนเต็ด มันจังหวะไม่ลงตัวก็เลยวืดไป ทีนี้มีอีก 2 ทีมในอังกฤษ ที่สนใจอยากได้เป๊ป มาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ ทีมแรกคือเชลซี ที่เพิ่งไล่โชเซ่ มูรินโญ่ ออกจากตำแหน่งพอดีในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่เป๊ปแจ้งว่าจะไม่ต่อสัญญากับบาเยิร์น
และทีมที่ 2 คือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ตอนนั้นยังมีสัญญากับมานูเอล เปเยกรินี่อยู่ แต่ก็ทาบทามเป๊บกันตรงๆ โดยไม่แคร์ใจเปเยกรินี่เลย แต่ก็พอเข้าใจได้ ถ้าหากมีโอกาสได้ตัวโค้ชระดับเป๊ป มันก็ต้องยอมลุยกันสักตั้งล่ะ
3
สิ่งที่ทำให้เป๊ปปฏิเสธเชลซี คือคาแรคเตอร์ของโรมัน อบราโมวิช ที่เป็นคนเด็ดขาด และให้เวลากับการสร้างทีมน้อยมาก ถ้าหากคุณผลงานไม่ดีปีเดียว ก็พร้อมโดนไล่ออกทันที เหมือนกรณีของมูรินโญ่ ซีซั่นก่อนได้แชมป์ลีก (2014-15) แต่พอฟอร์มร่วงในซีซั่น 2015-16 ก็โดนเด้งอย่างไร้ปราณี ทั้งๆ ที่ยังเล่นไม่ถึงครึ่งฤดูกาลด้วยซ้ำ
2
แล้วถ้าเป็นแบบนี้ 1 ปีไม่มีแชมป์โดนไล่ออก แล้วเขาจะสร้างทีมของตัวเองขึ้นมาได้อย่างไร จะมีโอกาสทดลองแท็กติกใหม่ๆ ได้บ่อยแค่ไหน?
เมื่อปฏิเสธข้อเสนอจากเชลซีแล้ว ยังเหลืออีกหนึ่งทีมที่สนใจเป๊ปอย่างจริงจังมากๆ นั่นคือแมนเชสเตอร์ ซิตี้
2
ย้อนกลับไปในช่วงปลายปี 2012 หลังจากเป๊ปลาออกจากบาร์ซ่า เขาตัดสินใจหยุดการรับงาน 1 ปี ซึ่งก็มีหลายสโมสรติดต่อเข้ามา หนึ่งในนั้นคือแมนฯ ซิตี้ ที่มั่นใจว่าจะได้ตัวเป๊ปมาครองแน่ๆ
ผู้บริหารของแมนฯ ซิตี้ คือ ซิกี้ เบกิริสไตน์ (ผู้อำนวยการฟุตบอล) และ เฟอร์รัน โซเรียโน่ (ซีอีโอ) ทั้งคู่สนิทกับเป๊ปมากแท้ๆ ตั้งแต่สมัยอยู่บาร์เซโลน่า ดังนั้นจึงเชื่อว่าสายสัมพันธ์นี้ น่าจะโน้มน้าวใจเป๊ปได้
อย่างไรก็ตามทั้งคู่ก็ได้แต่อึ้งไปเลย เมื่อเป๊ปตัดสินใจปฏิเสธแมนฯ ซิตี้ แล้วเลือกบาเยิร์น มิวนิคแทน คือถ้าเทียบเรื่อง Legacy เรื่องความยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ชอยส์บาเยิร์นก็ดีกว่าจริงๆ นั่นแหละ
1
แต่สิ่งที่ทำให้เป๊ปประทับใจคือ เบกิริสไตน์ กับ โซเรียโน่ ไม่ได้มาโกรธเคืองอะไรเป๊ป นอกจากนั้นยังบอกด้วยว่า "ถ้าไม่มีความสุขกับบาเยิร์นเมื่อไหร่ ย้ายมาซิตี้ได้เสมอ"
2
เบกิริสไตน์ กับ โซเรียโน่ ยังคง Keep in touch เป๊ปอยู่เรื่อยๆ ทักทายกันในฐานะเพื่อน คือสร้างคอนเน็กชั่นระหว่างกันไว้ อนาคตถ้าโชคชะตาเป็นใจ อาจจะได้ร่วมงานกันจริงๆ
1
จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างกัน ค่อยๆ สร้างเป็นความเชื่อใจกันขึ้นมา ฝั่งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชัดเจนมากว่าถ้าเป๊ปตอบตกลงเมื่อไหร่ ไม่ว่าผู้จัดการทีมตอนนั้นจะเป็นใคร จะไล่ออกทันที และเซ็นสัญญาเป๊ปแน่นอน
1
คำถามคือ แมนฯ ซิตี้ มีอะไรจะ Offer หรือนำเสนอให้เป๊ปมากกว่าสโมสรอื่น
ต่อให้ไม่ใช่เชลซี เป๊ปก็อาจรอไปเรื่อยๆ เพื่อไปเซ็นสัญญากับทีมอื่นได้ เช่นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีข่าวว่ากำลังจะปลดหลุยส์ ฟาน กัล หรือ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ที่ต้องการยกระดับทีมให้เก่งขึ้นอยู่แล้ว มีเหตุผลอะไรต้องมาเลือกแมนฯ ซิตี้ด้วย
1
สิ่งที่แมนฯ ซิตี้ นำเสนอมีหลายข้อมากๆ และล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เป๊ปอยากได้
ข้อ 1 คาแรคเตอร์ของแมนฯ ซิตี้ ไม่เหมือนบาเยิร์น
ในขณะที่บาเยิร์นเหมือนเป็นความหวังของชาวเยอรมัน การล้มเหลวในเกมยุโรป ก็เหมือนทั้งประเทศต้องแพ้ไปด้วย ดังนั้นทั้งแฟนบอลทั้งสื่อมวลชน จึงเร่งเร้าให้ได้แชมป์มากที่สุด แค่บุนเดสลีกายังไม่พอ
เหมือนเคสของยูเลียน เนเกลส์มันน์ ที่ทำบาเยิร์นแพ้บียาร์เรอัล ตกรอบรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีก ปรากฏว่าเขาโดนจดหมายขู่ฆ๋าหลายสิบฉบับ นี่คือแรงกดดันที่มากมหาศาลในการคุมบาเยิร์น ซึ่งแมนฯ ซิตี้ ไม่ได้กดดันขนาดนั้นคุณจะวืดแชมป์บางปีก็ได้ ถ้าทีมยังทรงดีก็โอเค
1
การที่แฟนๆ ไม่ได้กดดันหนัก มันเปิดโอกาสให้เป๊ปได้ทดลองอะไรใหม่ๆ ได้ตลอด แผนใหม่ นักเตะใหม่ ได้หมดเลย
ข้อ 2 แมนฯ ซิตี้ ยืนยันว่าสโมสรของตัวเองไม่มีกรอบอะไรยึดไว้เลย อย่างบาร์เซโลน่าคุณต้องเดินตามแนวทางของโยฮัน ครัฟฟ์ ต้องใช้นักเตะจากลามาเซีย หรือบาเยิร์น มิวนิค ก็ต้องเน้นใช้คนเยอรมันเพื่อที่จะได้ต่อยอดไปให้ทีมชาติเยอรมันชุดใหญ่ได้ด้วย
1
แต่แมนฯ ซิตี้ ยังไม่มีกรอบแบบนั้น แปลว่าเป๊ป สามารถสร้างแนวทางของตัวเองขึ้นมาได้เลย จะไม่ต้องใช้นักเตะอังกฤษก็ได้ จะไม่ต้องใช้นักเตะจากอะคาเดมี่ก็ได้ เอาใครลงก็ได้ขอแค่ให้ทีมชนะพอ
1
ข้อ 3 แมนฯ ซิตี้ ไม่เคยมีผู้จัดการทีม ที่มีเกียรติประวัติยิ่งใหญ่มาก่อน ต่างจากบาร์ซ่าหรือบาเยิร์น ที่เป็นสโมสรที่อยู่คู่วงการมานานแล้ว ลองคิดดูว่า ถ้าเป๊ปสร้าง Dynasty อาณาจักรแห่งความยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ล่ะก็ เขาอาจจะกลายเป็นผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของสโมสร และสามารถมีรูปปั้นหน้าสนามได้เลย
1
ข้อ 4 ผู้บริหารทีมทั้งโซเรียโน่ และ เบกิริสไตน์ สัญญาว่า เป๊ปต้องการสิ่งใด จะได้สิ่งนั้นเสมอ มีคำกล่าวคลาสสิคว่า "ถ้าเป๊ปอยากได้ตู้เย็น เขาจะได้ตู้เย็น" สโมสรจะไม่เรื่องมากซับซ้อน เป๊ปอยากได้นักเตะสไตล์ไหน ขอแค่บอกคุณสมบัติมา ทีมแมวมองจะไปเฟ้นหาสไตล์ที่ต้องการมาให้ ไม่ว่าแพงเท่าไหร่ก็จ่ายได้
2
ถ้าเป๊ปเข้ามา แมนฯ ซิตี้ จะมี 4 ทหารเสือเป็นชาวสเปนทั้งหมด ซึ่งทุกคนเคยร่วมงานกันที่บาร์ซ่ามาก่อน ได้แก่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ดูแลเรื่องโค้ชชิ่ง วางแท็กติกแต่ละเกม, เฟอร์รัน โซเรียโน่ ซีอีโอ รับผิดชอบเรื่องการซื้อขายและการบริหารทั้งหมด, ซิกี้ เบกิริสไตน์ ผู้อำนวยการฟุตบอลดูแลเรื่องการจัดการปัญหาภายในทีม เป็นตัวเชื่อมของสโมสรกับผู้เล่น และ โจน ปาตซี่ ทีมงานสเกาต์ที่เชี่ยวชาญเรื่องการค้นหาผู้เล่น
3
เมื่อรวมตัวกันเป็น Unit แบบนี้ ก็จะทำให้ทุกอย่างที่เป๊ปต้องการ เดินหน้าไปอย่างไหลลื่น ไม่ใช่แบบที่บาเยิร์น ซึ่งเขาต้องบริหารความรู้สึกของทุกคนมากมาย
1
ข้อ 5 ไม่มีใครที่จะใหญ่กว่าเขาได้ อย่างที่บาร์เซโลน่า มีลีโอเนล เมสซี่ ที่มีพาวเวอร์เกินกว่าโค้ชแล้ว เช่นเดียวกับที่บาเยิร์น มิวนิค ตอนเขาไม่ส่งโทมัส มุลเลอร์ลงในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกก็โดนด่ากระจุย เพราะมุลเลอร์คือสัญลักษณ์ของสโมสร แต่กับแมนฯ ซิตี้จะไม่เป็นแบบนั้น ไม่มีใครใหญ่กว่าเขา และเขาจะทำทุกอย่างได้ โดยไม่ต้องระมัดระวังตัวอะไรอีก
1
และข้อ 6 คือ แมนฯ ซิตี้เป็นสโมสรที่รวย จ่ายเงินค่าจ้างเขาได้สูงลิ่ว แถมสโมสรยังใจป้ำ แบ่งค่า Image Rights ให้เป๊ปส่วนหนึ่ง พร้อมกับยืนยันว่า เขาสามารถเป็นพรีเซนเตอร์ของอาดิดาสได้ต่อไป แม้แมนฯ ซิตี้จะใกล้ชิดกับไนกี้มากกว่าก็ตาม
2
นอกจากนั้นเรื่องเงินในการซื้อตัวผู้เล่นก็สำคัญ มีคำกล่าวว่า เป๊ปเป็นโค้ชที่ต้องใช้งานนักเตะเก่งๆ (เพราะนักเตะเก่ง จะทำตามแท็กติกที่เขาต้องการได้) ถ้าไปสโมสรที่มีตัวผู้เล่นไม่ดี แล้วไม่มีเงินซื้ออีกต่างหาก เขาก็จะไม่สามารถใช้จินตนาการของตัวเองได้ แต่พอแมนฯ ซิตี้ มีเงินเยอะขนาดนี้ ทุกอย่างจบเลย ขาดตำแหน่งไหน ซื้อตำแหน่งน้ั้น ปัญหาทุกอย่างแก้ง่ายไปหมด
เมื่อมีข้อดีมา Offer มากมายขนาดนี้ ทำให้เป๊ปกับสตาฟฟ์ของซิตี้ นั่งคุยกันแบบเจอหน้าแค่ 2 ครั้งเท่านั้น ก็ตอบตกลง แมนฯ ซิตี้อยากได้คนไปสร้างอาณาจักรความยิ่งใหญ่ให้ ส่วนเป๊ปก็อยากทำงานอย่างอิสระโดยไม่มีอะไรมาเหนี่ยวรั้งความคิดสร้างสรรค์ของเขาอีก ทุกอย่างมันลงตัวพอดี
ซึ่งแมนฯ ซิตี้ ก็ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ คือพอเป๊ปตอบตกลง พวกเขาก็ไปบอกมานูเอล เปเยกรินี่ ว่าขอแยกทางกันหลังจบฤดูกาลนี้ เปเยกรินี่ไม่ได้ทำอะไรผิดขนาดนั้น เขาเคยพาทีมได้แชมป์ลีก 1 สมัยด้วยซ้ำ แต่บังเอิญเมื่อมีตัวเลือกเป็นเป๊ปมาเทียบ มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ
2
เป๊ป ย้ายมาเป็นผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในซีซั่น 2016-17 และสโมสรก็ซัพพอร์ทเขาอย่างสุดความสามารถจริงๆ ตามที่สัญญากัน
เคสคลาสสิค คือเรื่อง โจ ฮาร์ท นายทวารมือ 1 ของทีม ที่อยู่กับสโมสรมานาน แถมยังเป็นตัวทีมชาติอังกฤษด้วย แต่ปัญหาของโจ ฮาร์ท คือเป็นผู้รักษาประตูที่ออกบอลสั้นด้วยเท้าไม่เก่ง และไม่ค่อยมีสกิลในการเชื่อมเกมกับกองหลัง
ดังนั้นเป๊ปจึงขอนายทวารคนใหม่ ซึ่งถ้าเป็นสโมสรอื่น อาจจะคิดหนัก เพราะฮาร์ท คือผู้รักษาประตูที่ช่วยให้ทีมได้แชมป์ลีก 2 สมัย แต่แมนฯ ซิตี้ ทำตามคำขอของเป๊ป พวกเขาปล่อยโจ ฮาร์ท ให้โตริโน่ทันที พร้อมทั้งไปซื้อเคลาดิโอ บราโว่ ที่ใช้เท้าได้โอเค มาเล่นแทน
1
แต่บราโว่ที่ซื้อมาดูจะปรับตัวกับฟุตบอลอังกฤษไม่ได้ จังหวะอะไรเพี้ยนไปหมด สุดท้ายในปีเดียว แมนฯ ซิตี้ก็ซื้อตัวใหม่ให้เป๊ปอีก นั่นคือ เอแดร์ซอน ซึ่งเป็นผู้รักษาประตูตัวหลักจนถึงปัจจุบัน
เป๊ปอยากได้ฟูลแบ็กที่ช่วยเติมเกมรุกได้ แมนฯ ซิตี้ก็บอกว่าได้เลย เราซื้อไคล์ วอล์กเกอร์ให้ในราคา 45 ล้านปอนด์ ซื้อเบนจามิน เมนดี้ อีก 49.3 ล้านปอนด์ ตามด้วย ดานิโล่อีก 26.5 ล้านปอนด์ ก่อนจะตบท้ายด้วยชูเอา กานเซโล่อีกซึ่งก็แพงระยับเช่นกัน
1
ในฟุตบอลปกติ ไม่มีใครจ่ายฟูลแบ็กราคา 40-50 ล้านแบบนี้ แต่เมื่อเป๊ปอยากได้ สโมสรก็จ่ายให้ ตามที่สัญญาใจกันไว้ ว่าถ้าเป๊ปอยากได้ตู้เย็น เขาก็จะได้ตู้เย็นตามที่ต้องการ
อีกหนึ่งเคสที่คลาสสิคมาก คือในฤดูกาล 2020-21 เปิดซีซั่นมา แมนฯ ซิตี้ยังเล่นไม่ดี กองหลังใช้นาธาน อาเก้ ยืนคู่เอริค การ์เซีย แล้วโดนเลสเตอร์ยิงไป 5 ลูก ซึ่งพอเห็นกองหลังแย่ เป๊ปขอกองหลังใหม่ทันที
1
สุดท้ายสโมสรจ่าย 62.1 ล้านปอนด์ ซื้อรูเบน ดิอาสมาจากเบนฟิก้าให้ทันที แบบไม่คิดมาก (ทั้งๆ ที่เพิ่งซื้ออาเก้ไป 40 ล้านปอนด์) สุดท้ายด้วยฝีเท้าของดิอาส ทำให้เกมรับแมนฯ ซิตี้แกร่งสุดๆ แล้วคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนั้นไปครอง
หลายคนอาจมองว่าแมนฯ ซิตี้แก้ปัญหาด้วยเงิน ก็อาจจะใช่ แต่ถ้ามองในมุมของโค้ช มันจะมีอะไรสบายไปกว่างบประมาณไม่อั้น อยากได้ใครมาปรับใช้กับแผนตัวเองก็ได้เลยทันที
2
นั่นทำให้เป๊ป อยู่กับแมนฯ ซิตี้มาเรื่อยๆ ปัจจุบันก็ 6 ฤดูกาลแล้ว ถือว่านานที่สุดในชีวิตที่เขาเคยคุม มากกว่าบาร์ซ่า (4 ปี) และ บาเยิร์น (3 ปี) ไปเรียบร้อยแล้ว
เป๊ปบอกว่า เขายังเอ็นจอยดี และคิดจะอยู่กับแมนฯ ซิตี้ต่อไปเรื่อยๆ ยังมีอีกหลายโปรเจ็กต์ที่อยากทำ อีกหลายกลยุทธ์ที่อยากลอง ยังไม่มีแผนจะลาออกจากแมนฯ ซิตี้ในระยะเวลาอันใกล้นี้
ตัวเป๊ป เขาได้ทำงานอย่างมีความสุข ได้สนใจแต่การโค้ชชิ่ง การคิดค้นแผนใหม่ ให้ทีมแกร่งขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่โดนกดดันจากใครเลย เงินก็ได้เยอะ สุขภาพจิตก็ดี ปีไหนวืดแชมป์แฟนก็ไม่ว่า
2
ส่วนในมุมของแมนฯ ซิตี้ การที่พวกเขาสร้างอาณาจักรความยิ่งใหญ่ได้จนถึงตอนนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การกระชากตัวกวาร์ดิโอล่ามาครองได้ คือปัจจัยที่สำคัญที่สุด
ก่อนหน้านี้ โรแบร์โต้ มันชินี่ เคยได้แชมป์ลีกก็จริง แต่เราก็เห็นแล้วว่าชนะกันแบบมีลูกได้เสียเหนือแมนฯ ยูไนเต็ด กันในเกมสุดท้ายของฤดูกาล 2011-12
หรืออย่างมานูเอล เปเยกรินี่ ก็ได้แชมป์ 2013-14 ก็จริง แต่ถ้าหากสตีเว่น เจอร์ราร์ดไม่ลื่นล้ม พวกเขาอาจไปไม่ถึงแชมป์ก็ได้ ก็ยังถือว่าสูสีกันมาก
1
แต่กับซีซั่น 2017-18, 2018-19 และ 2020-21 แมนฯ ซิตี้ได้แชมป์แบบแต้มมหาศาลมาก โดยเฉพาะปี 2017-18 ได้แชมป์โดยห่างจากอันดับสอง ถึง 19 คะแนน ลูกได้เสียห่างกัน 39 ลูก
ถือว่าเป๊ป ยกแมนฯ ซิตี้ให้เก่งขึ้นเป็นทีมระดับท็อปไฟว์ของโลกได้จริงๆ
น่าคิดเหมือนกันว่า ถ้าวันที่เป๊ปตัดสินใจแยกทางจากบาเยิร์น แล้วแมนฯ ซิตี้ เจรจาไม่สำเร็จ ทิศทางของทีมเรือใบสีฟ้าตอนนี้จะเป็นอย่างไร จะสุดยอดแบบนี้หรือไม่ เราก็คงตอบไม่ได้
ดังนั้น คนที่ต้องให้เครดิตอย่างมาก คือทีมผู้บริหารของซิตี้ ที่ยื่นข้อเสนอที่ดีที่สุด ที่ไม่ใช่ตัวเงิน และสามารถหว่านล้อม จนทำให้คนที่เป็นตัวเลือกเบอร์หนึ่งของตลาด ที่ใครๆ ก็อยากได้ทั้งโลก ตัดสินใจเลือกมาคุมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้แบบนี้
2
เหมือนที่เขาเคยบอกกันเสมอว่า ในองค์กรใดๆ ถ้าอยากได้คนเก่งเข้ามาร่วมทีม ตัวคนที่เจรจาเอง ก็ต้องมีทักษะการโน้มน้าวที่เก่งมากๆ ไม่แพ้กัน
#HOWTOGETTHEBEST
โฆษณา