28 เม.ย. 2022 เวลา 13:14 • ไลฟ์สไตล์
ตอนที่ 14: Happy 22nd Birthday to me! - ชื่นชม ขอบคุณ อวยพร ให้ตัวฉันเองในอายุ 22 ปี!
การฉลองวันเกิดล่วงหน้าจากเพิ่ล ๆ ....ในร้านยำ!!!!!
และแล้ววันนี้ก็มาถึงงงงงง
ใช่! วันนี้เป็นวันเกิดของดิฉันเองค่ะ 5555555 ตกใจเหมือนกันนะว่าเวลาผ่านไปเร็วมากกกก เผลอแป๊บเดียวมันก็มาถึงวันที่ดิฉันสามารถร้องเพลง Twenty-two ของเทยเลอร์ สวิฟท์ ได้เต็มปากเสียที!
สืบเนื่องจากที่ดิฉันเป็นคน appreciate ตัวเองยาก ดิฉันเลยแทบไม่ค่อยรู้สึกอินอะไรมากกับวันเกิดของตัวเอง แม้ว่ามันจะมีความดีใจบ้างที่ได้อ่านคำอวยพรของใครหลาย ๆ คน แต่มันก็มีส่วนลึก ๆ ในตัวเองที่ ‘ปิดกั้น’ ไม่กล้ารู้สึก celebrate กับวันเกิดตัวเองเท่าไหร่นักเพราะว่า ‘คนที่โตแล้วเค้าไม่ค่อย celebrate วันเกิดกันเท่าไหร่หรอก มันไม่คูล’ ซึ่งมันก็เป็นคติที่ใช้ได้ในช่วงนึงของชีวิตนะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าคตินี้มันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ดิฉันรู้สึกมีความสุขกับตัวเองได้ยากเหมือนกัน
เพื่อเป็นการ improve ตัวเองในส่วนนี้ และไหน ๆ ก็วันเกิดวนกลับมาอีกปีแล้ว ดิฉันก็เลยปิ้งไอเดียสร้าง task กับตัวเองให้ลองเขียน “ชื่นชม” “ขอบคุณ” และ “อวยพร” ตัวเองสักหน่อยดีกว่าเพื่อต้อนรับการเติบโตขึ้นอีกปีของตัวเอง
โอเคนัมเบ้อวัน! มาเริ่มกันเลยดีกว่า!
‘ชื่นชมตัวเอง’
Definition ของคำว่าชื่นชมสำหรับดิฉันน่าจะหมายถึง การบอก ‘จุดดี’ ของตัวเองว่ามีอะไรบ้าง และก็…say it out loud ให้ตัวเองฟังค่ะ!
“ชื่นชมที่รู้ตัวเองเร็วและพยายามแก้ไขให้ดีขึ้น”
สกิลนี้น่าจะได้ติดตัวมาแต่ไหนแต่ไร เนื่องจากดิฉันอาจมีความ Perfectionist ในตัวอยู่แล้ว ดิฉันเลยเป็นคนชอบ spot on จุดที่ weak ในสิ่งต่าง ๆ ที่ตัวเองทำเพื่อหวังจะพัฒนาในครั้งต่อ ๆ ไปให้ดีขึ้น แม้ว่ามันจะนำมาพามาซึ่งการชอบ blame ตัวเอง แต่เพราะสิ่งนี้เลยน่าจะทำให้ดิฉันเป็นคนที่ชอบสำรวจตัวเองบ่อย และมักจะรู้ตัวค่อนข้างเร็วเหมือนกันเวลาเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวเอง ย้ำ!! แค่ในตัวเองนะ! เพราะถ้าให้พูดถึงการรับรู้ความเปลี่ยนแปลงจากสิ่งรอบข้างดิฉันบอกเลยว่าสกิลนี้มีค่อนข้างน้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะเวลาที่ดิฉัน concentrate กับการทำสิ่ง ๆ หนึ่ง มาก ๆ ประสาทสัมผัสดิฉันจะดับและไม่ได้ยินอะไรรอบข้างเลยทีเดียวล่ะ เพื่อนเรียกก็ไม่ค่อยได้ยิน ขนาดคนหล่อเดินผ่านยังไม่ค่อยรู้เล้ย 55555
อะ วกกลับเข้าเรื่อง พอเราเป็นคนหมั่นสำรวจตัวเองบ่อย ๆ มันก็เลยทำให้เรามักรับรู้อารมณ์ความรู้สึกตัวเองค่อนข้างเร็ว ยอมรับว่าแต่ก่อนไม่ค่อยทันตัวเองเท่าไหร่นะ แต่พอเริ่มโตขึ้น โดยเฉพาะหลัง ๆ ที่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัยและเริ่มทำงานในสายจิตวิทยา ดิฉันเริ่มให้ความสำคัญกับมันบ่อยขึ้น อาจเป็นเพราะว่ามันเจอเรื่องราวหลาย ๆ อย่างเข้ามาในชีวิตที่มันมีความเข้มข้นของอารมณ์ค่อนข้างเยอะ มันเลยทำให้บางทีเราเลยจำเป็นต้องหยุดส่องตัวเองเพื่อสำรวจอารมณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อดูว่ามันน่าจะอันตรายต่อตัวเราไหม เราพอจัดการมันได้หรือเปล่า แล้วหากมันน่าจะอันตรายกับตัวเราสิ่งดีของดิฉันอีกอย่างก็คือจะพยายามลุกออกไปทำอะไรก็ได้เลยเพื่อทำให้อารมณ์นั้นค่อย ๆ ลดความเข้มข้นลง
ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าตอนนี้เรารู้สึกขมุกขมัวซึ่งน่าจะมาจากความรู้สึกเหงา สับสน เศร้า หรือหงุดหงิด ดิฉันมักจะวิ่งทยานเข้าหาคนอื่นทันทีเมื่อพร้อม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท หรือแม้แต่ออกไปข้างนอกในที่ ๆ มีคนเยอะ ๆ เพื่อจะได้ระบาย หรือทำให้ตัวเองได้รับความอบอุ่นบางอย่างจากคนรอบข้าง (แม้ว่าจะไม่ได้มีการกอดหรือการพูดคุยในปัญหานั้น ๆ ก็ตาม) เพราะส่วนใหญ่จากการ experiment มาดิฉันมักรู้สึกได้รับพลังบางอย่างจากการอยู่รายล้อมผู้คน แล้วยิ่งถ้ามันมีการสื่อสาร มันยิ่งช่วย heal ใจดิฉันมากเลยแหละ โดยเฉพาะถ้าเป็นการสื่อสารที่พูดคุยในประเด็นต่าง ๆ แบบ deep ๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน 555555
หรือเวลาที่ดิฉันรู้สึกโกรธ ซึ่งปกติพอช่วงหลัง ๆ มันไม่ค่อยเป็น ดิฉันมักจะวิ่งเข้ามาเก็บตัวและสงบสติอยู่ในห้อง บางทีก็จะระบายกับเพื่อนบ้างถ้ามันหนักจริง ๆ หรือไม่ก็จะพยายามฟังเพลง พูดบ่น ๆ ดราม่ากับตัวเองสักพักหนึ่ง ซึ่งพอได้ทำแบบนั้นไปสักพักแล้วมันก็จะรู้สึกดีขึ้นด้วยตัวของมันเอง แล้วเผลอแป๊บ ๆ ก็จะหายละ เพราะสุดท้ายมันจะมีความรู้สึกเหนื่อยโผล่ขึ้นมา 555555 เหมือนกับมันคิดได้ว่าบางทีถ้าเรา hold ความรู้สึกโกรธแบบนี้ต่อไปมันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ ดิฉันก็เลยเป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว แต่พอตอนโกรธจะอารมณ์รุนแรงอยู่ประมาณหนึ่งเลยแหละ แต่พอมัน realize ได้ว่ามันใช้พลังงานเยอะ ก็จะหายโกรธละ กลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิม และยิ่งถ้ามันเป็นความโกรธที่มาจากปัญหาความสัมพันธ์ที่ต้องแก้ร่วมกัน มันยิ่งทำให้ฉันรีบกล้าเคลียร์มากขึ้น ปัญหามันจะได้ถูกแก้สักทีแหละ
และสุดท้ายหากเป็นอารมณ์กลัว อันนี้เพิ่งมาค้นพบสด ๆ ร้อน ๆ เลยจากการทำงานที่มักจะมีความรู้สึก “ไม่มั่นใจศักยภาพของตนเอง” ดิฉันมักจะใช้วิธีเบี่ยงเบนทำสิ่งต่าง ๆ ก่อนให้ใจร่ม ๆ ไม่ว่าจะเป็นเล่นเกม thwordle หรือลุกไปเข้าห้องน้ำ แล้วสักพักพอมันเริ่มดีขึ้นก็จะ…ฮึบ! และบอกกับตัวเองว่า “ก็ลุยไปเถอะ!” แล้วพอมันทำไปได้สักระยะหนึ่งความรู้สึกนั้นก็จะค่อย ๆ บรรเทาลงไปเอง
สิ่งเหล่านี้สำหรับดิฉันมันเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์เหมือนกันนะ เหมือนมันสะท้อนให้เห็นว่าเรารักตัวเองมาก ๆ เลย พอยิ่งมานั่งเขียนเองแล้วก็เพิ่งมาค้นพบเหมือนกันว่าเราก็รู้จักตัวเองละเอียดพอสมควรเลย
เยี่ยมมาก!! เก่งมาก!! ขอบใจ!!!!
‘ขอบคุณตัวเอง’
การขอบคุณ สำหรับดิฉันคงหมายถึงการที่เราพูดตอบน้ำใจที่คนอื่นได้ทำบางสิ่งบางอย่างให้เรา เพราะฉะนั้น ในกรณีก็น่าจะหมายถึงการที่เราพูดตอบน้ำใจในสิ่งบางอย่างที่เราเลือกทำเพื่อตัวเองนั่นเอง
“ขอบคุณตัวเองที่กลับมาใส่ใจตัวเองมากขึ้น”
อันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่น่าขอบคุณตัวเองที่สุดสำหรับดิฉันตอนนี้แล้วแหละ เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาต้องพูดตรง ๆ ว่าดิฉันเป็นคนใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงมาตลอด ชอบให้ความสำคัญกับคนหรือสิ่งรอบข้างมากกว่าตัวเองมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นงาน ครอบครัว หรือเพื่อน ๆ ทำให้ในหลายครั้งเราสามารถยอมที่จะเจ็บ ยอมที่จะรู้สึกแย่ ยอมที่จะร่างกายถูกทำร้ายจากสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ซึ่งยอมรับว่าตอนแรกมันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่หรอก เพราะว่าเราสนุกกับสิ่งตรงหน้าที่ทำมาก ๆ แต่พออยู่ไปนาน ๆ เราก็มาตระหนักรู้ได้ว่าวิธีการใช้ชีวิตแบบนี้มันไม่ค่อย sustain เท่าไหร่ บวกกับว่าอิทธิพลรอบข้างก็เริ่มหล่อหลอมให้เราหันกลับมาดูแลตัวเองด้วย ช่วง 4-5 ปีให้หลังมานี้ก็เลยหันมาใส่ใจตัวเอง ทั้งร่างกาย และจิตใจมากขึ้น :)
ร่างกาย - หันกลับมาดูแลเรือนร่างของตนเองมากขึ้น
เอาจริง ส่วนหนึ่งที่ดิฉันไม่ค่อยดูแลสภาพร่างกายตัวเองมันหล่อหลอมมาจากความรู้สึกที่เรา “ไม่ได้สวยตามพิมพ์นิยม” นะ มันก็เลยทำให้เรากล้า ignore ตัวเองเพราะเราบอกกับตัวเองว่า “ก็ฉันมันไม่สวยอยู่แล้วหนิ ฉันก็ไม่ต้องแคร์เรื่องนี้มากก็ได้” แต่พอดิฉันโตขึ้นและได้มาอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย (Diversity) มันทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ว่าคำว่า “สวย” มันมีหลายแบบมาก ๆ และคำว่าสวยมันก็ undefine มาก ๆ เหมือนกัน มันเลยทำให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วทุกคนมีสิทธิเป็นคนสวยได้หมดเลยนะ….รวมถึงดิฉันเองด้วย!
นี่เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ดิฉันเริ่มหันมา “เสริมสวย” (จะเรียกอย่างนั้นก็ได้นะ 55555) ซึ่งจริง ๆ คำจำกัดความของดิฉันมันก็คือการกลับมาดูแลและให้ความสำคัญกับเรือนร่างของตนเองนั่นแหละ ดิฉันเเริ่มสนใจเรื่องการแต่งตัวแต่งหน้ามากขึ้น พยายามเฟ้นหาเสื้อผ้าหรือโทนการแต่งหน้าที่สามารถ express ความรู้สึก อารมณ์ ความคาดหวังของตนเองต่อการใช้ชีวิตในวันนั้น ๆ ออกมา เพื่อบิวต์ตัวเองเพื่อเตรียมตัวใช้ชีวิตในแต่ละวัน เพื่อ reflect และ explore ความรู้สึกของตัวเองในแต่ละวัน และที่สำคัญที่สุดเลย…
“เพื่อหาเวลา enjoy กับตัวเอง”
เพราะแทบทุกครั้งที่ที่ดิฉันมีเวลาแต่งหน้าแต่งตัว ซึ่งส่วนมากจะเป็นวันที่ไม่ต้องทำงานหรือวันที่ไม่ต้องการการนอนต่อเพิ่มพลัง ช่วงเวลานั้นมักเป็นช่วงเวลาที่สนุกมากกกสำหรับดิฉัน เพราะมันคือการ experiment การได้สรรสร้างบางสิ่งบางอย่างลงบนเรือนร่างของเราที่เราสามารถปล่อยวางความกลัวคนอื่น judge ไปได้เกือบร้อยเปอร์เซนต์ ซึ่งมันเป็นกิจกรรมที่เพิ่มพลังให้กับดิฉันมาก เพราะหลังจากแต่งตัวเสร็จ พอเรามองกระจก เราได้เห็นรอยยิ้ม เห็นความสุข เห็นความมั่นใจ หรือโดยรวมอาจเรียกว่าเป็น “พลังความสวย” เด้งสะท้อนออกมา มันช่วยเติมเต็มทำให้ชีวิตเรารู้สึก complete และ ready ที่จะออกไปเจอกับสิ่งภายนอก ทำให้เราเชื่อมั่นได้จริง ๆ ว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดีของเราแน่ ๆ
นอกจากนี้ดิฉันก็เริ่มเข้าสู่วงการ skin care ด้วยแล้วแหละ ซึ่งเป็นสิ่งที่ก็ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองเหมือนกัน เพราะถ้าให้ไปถาม opinion ของตัวเองในวัย 14 15 ปี ตนเองก็คงจะบอกว่ามันเป็นเรื่อง “ไร้สาระ” แบบ 100% แน่นอน แต่พอโตขึ้น เราเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกายชัดเจนขึ้น เช่น สิวที่เกิดง่ายขึ้นและหายยากลง หรือมีกลิ่นกายที่ชัดขึ้น หรือเริ่มเมีรอยผิวแตกแห้ง (ที่มันทำให้รู้สึกคันมาก ๆ !) มากขึ้น บวกกับพอเรา allow ตัวเองให้สามารถกลับมาเสริมสวยได้แล้วนั้น มันเลยเริ่มทำให้เราหันกลับมาดูแลในส่วนนี้มากขึ้น
ทุกวันนี้ดิฉันทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับการดูแลร่างกายไปเยอะมากกกกก ไม่ว่าจะเป็น
- ทา “ครีมกันแดดหน้า” แทบทุกวันเวลาออกไปข้างนอก (ถ้าไม่ลืมนะ!) และยอมสู้ทาครีมกันแดดที่ทำให้รู้สึกเหนอะหนะตัวตัวเวลาไปทะเลหรือไปสถานที่ที่แดดเปรี้ยง ๆ
- ทาโลชั่นเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวแทบทุกวันในช่วงอากาศหนาว
- บำรุงผิวหน้าด้วย moisturizer และ serum ที่ตอนเช้ากับตอนเย็นต้องใช้คนละเซตกันด้วย! เพราะว่าเซตตอนกลางคืนครีมค่อนข้างเข้มข้น พอไปใช้ตอนเช้ามันเลยอุดตันง่าย เลยจำเป็นต้องถอยมาคนละเซต T0T
- ฉีดน้ำหอม หรือ deodorant
- กดสิว
- Mask หน้า
- กันคิ้ว
- โยคะ
- ยืดและนวดคลายเส้นและกล้ามเนื้อ (ช่วงนี้เป็น office syndrome ค่อนข้างหนักค่ะ!)
นี่อาจเป็นคร่าว ๆ ที่ดิฉันพอนึกออกนะคะ ซึ่งสำหรับบางคนอาจมองว่าก็เป็น routine ปกติของตนเองมาแต่ไหนแต่ไร แต่สำหรับดิฉัน สิ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้มันคือ “การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่” สำหรับดิฉันมากมากกก ซึ่งดิฉันภูมิใจในตนเองมากนะ เพราะมันคือการหันกลับมา “รักตัวเอง” ในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งดิฉันเพิ่งค้นพบว่ามัน fulfill ชีวิตมากอยู่เหมือนกัน และก็คิดว่าจะ continue ทำต่อไป และค่อย ๆ พัฒนา routine นี้ใน way ที่มัน sustain ต่อตัวเองมากขึ้น อาจต้อง research ข้อมูล สังเกตตัวเอง และ experiment ต่อไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ :)
จิตใจ - ใจดีกับตัวเองมากขึ้น
สิ่งนี้เริ่มเกิดขึ้นอย่างจริงจังกับมากขึ้นหลังจากที่ดิฉันได้ไป consult กับอาจารย์จิตวิทยาท่านหนึ่งค่ะ ตอนนั้นอาจารย์อยากได้เคสเพื่อไปเป็นตัวอย่างการศึกษาเกี่ยวกับการเรียนเรื่องการปรึกษาเชิงจิตวิทยา แล้วผนวกกับช่วงนั้นดิฉันค่อนข้างเจอเรื่องหนัก ๆ กับชีวิตมาเยอะจนรู้สึกสับสนและแย่กับตัวเองมากระดับหนึ่ง ก็เลยตัดสินใจลองไปเป็นเคสดู เพื่ออย่างน้อยก็จะได้ระบายและได้ทำความเข้าใจกับตัวเองมากขึ้น ซึ่งหลังจาก consult ไปประมาณชั่วโมงนิด ๆ ดิฉันก็ได้ข้อสรุปมาอย่างหนึ่งว่าสิ่งนี้มันอาจมาจากการที่ดิฉัน too hard กับตัวเองมากไป ซึ่งจริง ๆ มันก็มาจากความหวังดีของเราที่อยากจะพัฒนาตัวเองนะ แต่บางทีมันอาจหนักไปจนกลายเป็น “การใจร้ายกับตัวเอง”
อาจารย์ก็เลยแนะนำว่า “งั้นถ้าสมมติว่าเราเฟล เราลองเปลี่ยนไปให้อภัยตัวเองแทนได้มั้ย”
ประโยคนี้กลายเป็นช่วยเปิดโลกวิธีคิดใหม่ให้กับดิฉันไปเลยค่ะ เพราะเหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมาเวลาเราเฟลเราไม่เคยให้อภัยตัวเอง เพราะเรารู้สึกว่ามัน unacceptable แล้วเราก็มักจะพูดกับตัวเองตลอดว่า “ทำไมเราทำได้แค่นี้” แล้วเราก็จะโทษตัวเองซ้ำ ๆ เพื่อทำให้เราเจ็บ เพื่อเราจะได้พัฒนาตัวเอง เพื่อทำให้เรา “ดีพอ” ทั้งในสายตาของคนอื่น และสายตาของตัวเอง
ดิฉันก็เลยพยายาม work on กับตัวเองในเรื่องนี้มาหลังจากนั้น พยายาม appreciate กับสิ่งที่เราได้ทำและบอกกับตัวเองว่า “ไม่เป็นไร” พยายามมองสิ่งรอบข้างมากขึ้นว่ามันก็เป็นปัจจัยที่ contribute ถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกัน เพื่อทำให้เห็นว่า “มันไม่ได้มาจากเราคนเดียว” เริ่มมองถึงศักยภาพจริง ๆ ของตัวเองมากขึ้นว่า “เราก็เก่งเหมือนกันนะ” เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นใจตนเองมากขึ้น เพื่อจะได้ไม่ push ให้ตัวเองพัฒนามากจนทำร้ายตัวเองซ้ำอีก
ซึ่งตอนนี้ก็ยังคง work on อยู่แหละ โดยอาจารย์บอกว่าอยากให้ดิฉันสร้าง reminder เอาไว้ให้ตัวเองเพื่อเตือนสติตัวเอง ตอนแรกก็คุย ๆ กันไว้ว่าอาจเป็นพกสิ่งกลม ๆ ไว้ในกระเป๋าตังค์ แต่พอตอนหลังดิฉันหาไม่ได้ 55555 ตอนนี้ก็เลยใช้การตั้ง status ไลน์แทน ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลยหลังจากวันนั้น แล้วก็คิดว่าน่าจะคงไว้ไปอีกนานเลยแหละ 55555 เพราะหลังจากที่เราลองให้อภัยตัวเองมากขึ้น มันก็ทำให้ชีวิตเราเบาขึ้นจริง ๆ แล้วมันก็ทำให้เรา move on กับการใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นด้วย
เยี่ยมมากตัวฉัน!!
‘อวยพรตัวเอง’
สำหรับคำจำกัดความของการอวยพร มันก็คือการขออะไรให้ตัวเองนั่นแหละค่ะ ซึ่งสำหรับดิฉันมันก็คงเป็นอะไรที่ simple มาก ๆ ดิฉันก็คงอวยพรตัวเองเหมือนตอนขอพรจากพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่นแหละค่ะ 5555
ถึง เทพเจ้า คุณพระคุณเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง…..
หนูชื่อ ขต นะคะะ (นามแฝงของดิฉันเองค่ะ) ก็..วันนี้เนื่องในวันเกิดปีที่ 22 ของหนูแล้ว ก็..อันดับแรกคงขอให้ปีนี้และปีต่อ ๆ ไปตัวหนูและคนที่รักมีสุขภาพแข็งแรง ไม่ต้องเจอกับอันตรายหรือโรคภัยไข้เจ็บ หรือถ้าเจอก็ขอให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ขอให้ปีนี้การงานรุ่งเรือง ได้มีโอกาสทำงานสนุก ๆ หรืองานใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ ขอให้พบเจองานที่ใช่กับตัวเองในเร็ววัน และก็ขอให้อนาคตต่อไปข้างหน้าได้เจอแต่กับสิ่งแวดล้อมที่ดี และคนที่น่ารักด้วยเทอญ ส๊าาาาธุ๊!
แล้วก็ ขออนุญาตขอพรกับเทพเจ้า ‘ขต’ อีกคนนึงละกัน! ก็…ขอให้ชีวิตในวัย 22 นี้ ได้เรียนรู้ และได้ใช้ชีวิตให้เต็มที่ที่สุดไปเลยเนอะ! yeahhhhhhh
Happy Birthday naja KT! I LOVE YOU SO BADDD
โฆษณา