27 เม.ย. 2022 เวลา 03:01 • ปรัชญา
“เข้าถึงแก่นแท้แห่งตน … ความไม่มี ไม่เป็น
ด้วยการเพิกทุกอย่างออก วางทุกอย่างลง”
“ … การปฏิบัติก็จะเป็นการหลุดออก คลายออก ปลดระวางเป็นชั้น ๆ ไป จากการที่วางเรื่องราว อารมณ์ภายนอก
อยู่ที่ฐานของกาย จนเกิดรู้สึกได้ทั้งตัว มีสติตั้งมั่นอยู่กับกายได้ดี ความคิดต่าง ๆ ก็หลุดออกไป สิ่งต่าง ๆ ก็จะหลุดออกไป
เมื่อสติตั้งมั่นได้ดี สติก็จะวางฐานกาย เข้าสู่ชั้นของเวทนา เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา ใจก็จะมีความตั้งมั่นขึ้นอีกระดับหนึ่ง มีความลึกซึ้งลงไป
เมื่ออยู่กับฐานเวทนาได้ดี ความรู้ตัวทั่วพร้อมก็จะกลั่นตัว เกิดความแผ่ซ่านทั่วกาย ซาบซ่าน เอิบอาบทั่วทั้งตัว วิตก วิจารต่าง ๆ ก็จะหลุดออกไป
เมื่ออยู่กับความแผ่ซ่านไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ ชุ่มไปด้วยปีติ ซาบซ่านเอิบอาบทั่วกาย จนกลั่นตัวมาเป็นความสุข เบาสบาย กายเบา จิตเบา เกิดความโปร่งโล่งเบาสบาย ปีติก็หลุดออกไป จางคลายไป
การที่จะปฏิบัติเข้าถึงความเบาสบาย แสดงว่ามันปลดได้มากแล้วทีเดียว มันวางของหนักของร้อน
วางความคิด วางความปรุงแต่ง วางเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากทีเดียว ก็เริ่มเข้าถึงใจที่มันเบาสบาย มีความสุขในตัวเอง มีความโล่งโปร่งเบาสบาย
เมื่ออยู่กับความเบาสบายไปเรื่อย ๆ ความสุขก็หลุดออกไป จางคลายไป เข้าถึงอุเบกขา ความนิ่งเฉย มีความสงบสงัด ก็วิเวกลงไปอีกระดับหนึ่ง
สติก็วางฐานของเวทนา เข้าสู่ฐานของจิต เกิดความตั้งมั่น ตื่นรู้ ขึ้นมา
เมื่อเข้าถึงฐานของจิต มันจะถอยออกมาได้มากแล้ว แยกกาย แยกจิต ปล่อยวางทุกอย่าง เหลือแต่ใจที่ตั้งมั่น ตื่นรู้อยู่ นั่นเอง
ก็ลึกซึ้งลงไปในแต่ละระดับ จากกการละวาง ปล่อยวาง ในแต่ละระดับ
เมื่ออยู่กับความตื่นรู้ไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ ถึงจุดหนึ่ง ก็จะสามารถยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาญานได้
1
เกิดสภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน
ธรรมทั้งหลายก็จะปรากฏตามความเป็นจริง
สามารถเพิกอวิชชาที่ห่อหุ้มจิตประภัสสร
ออกไปจากใจได้
1
ก็เรียกว่า เกิดสภาวะผลิบานนั่นเอง
ทุกคนเนี่ย มีเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะอยู่ในใจ นั่นคือแก่นของพวกเราทุกคคน ก็คือจิตประภัสสรนั่นแหละนะ
มีความบริสุทธิ์ของธรรมชาติอยู่แล้ว
มีความอ่อนโยน
มีความเป็นกลางของธรรมชาติอยู่แล้ว
แต่สิ่งนี้มันถูกอวิชชาห่อหุ้มอยู่
ถูกความหลงครอบงำอยู่
จะเข้าถึงแก่นแห่งตนได้ ก็ต้องเพิกสิ่งต่าง ๆ ออกไป ละวาง ปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ
เพาะบ่มเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะ จนเกิดพุทธสภาวะ รู้ ตื่น เบิกบาน ธรรมทั้งหลายก็จะปรากฏตามความเป็นจริง
ภาษาพระ ท่านเรียกว่า ญานทัศนะ การรู้เห็นตามความเป็นจริง
จากนั้นก็สลัดคืนสู่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
ก็เรียกว่าเพิกทุกอย่างออก วางทุกอย่างลง
คืนสู่ความเป็นธรรมชาตินั่นเอง
เมื่อเข้าถึงความเป็นธรรมชาติ จะพบกับสิ่งที่เรียกว่า ความไม่มี
ไม่มีตัวเรา ไม่มีของเรา ไม่มีสิ่งต่าง ๆ
วัฏสงสาร มันเป็นเรื่องของความมี ความเป็น
การหลงไปกับสิ่งสมมติต่าง ๆ
แต่ความเป็นธรรมชาตินั้น ไม่มี ไม่เป็น
มีแต่ความบริสุทธิ์ บริบูรณ์
ก็สามารถหยั่งเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้
จะพบว่าความบริสุทธิ์ที่ปราศจากการปรุงแต่ง
สบายกว่าสิ่งที่ปรุงแต่ง
ฝึกใหม่ ๆ ก็อยู่ได้ไม่นาน เดี๋ยวโลกก็จะดึงกลับมา ก็เรียกว่าถูกโลกดึง
ตราบใดที่ยังมี “สิ่งดึงรั้ง” ก็จะถูกดึงกลับมา ก็ต้องเพียรเดินตามมรรคอย่างนี้เรื่อยไป ชำระตนเองเรื่อยไป
อริยสัจ ๔ พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงจัด มรรค ไว้เป็นข้อสุดท้าย
ปกติ มรรค ก็ควรอยู่ข้อแรกใช่ไหม ?
เข้าถึงมรรคก่อน ถึงเกิดการรู้แจ้งอริยสัจ ๔
แต่พระองค์ยืนยันว่า พระองค์จัดมรรคเป็นข้อสุดท้ายถูกแล้ว
เพราะว่าเมื่อเกิดการรู้ทุกข์ เห็นทุกข์ ตามความเป็นจริง
ละเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ก็คือตัณหาอุปาทาน
ละการติดข้องทั้งหลายทั้งปวงเสียได้
ก็จะคืนสุ่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ที่เรียกว่า นิโรธ
ก็คือ อวิชชา มันพ้นออกไป ราคะ โทสะ โมหะ มันดับออกไป
คืนสู่ความเป็นธรรมชาติเนี่ย เรียกว่าหลุดพ้นชั่วคราว นั่นเอง
ตราบใดที่ยังมีสิ่งดึงรั้งอยู่ มีวิบากอยู่ ยังถูกโลกดึงได้อยู่ เดี๋ยวก็ถูกดึงหลุดออกมา ก็ต้องเดินตามมรรคแบบนี้เรื่อยไป
พระองค์จึงจัดมรรคไว้เป็นข้อสุดท้าย เพราะว่าต้องเดินตามมรรคแบบนี้เรื่อยไป ก็จะเกิดการชำระล้างบาปและอกุศลธรรมต่าง ๆ วิบากกรรมต่าง ๆ ที่สะสมมา ก็ต้องเพียรชำระเรื่อยไป
จนกว่าจะสามารถชำระล้าง …
ในระหว่างการเดินตามมรรค แล้วเข้าถึงความบริสุทธิ์
ในภาคของสมาธิก็จะมีความลาด ลุ่มลึก โดยลำดับลำดา
ฉันใด ในภาคของโลกุตตระ คือการเข้าถึงความบริสุทธิ์
ก็มีความลาด ลุ่ม ลึก โดยลำดับลำดา เช่นกัน
ตามผลที่หยั่งเข้าถึง ตั้งแต่การหลุดพ้นชั่วคราว
ชำระตนไปเรื่อย ๆ จนความหนัก เริ่มเบาลงไป
เริ่มเบาลงไป ก็จะเข้าถึงความลาด ลุ่ม ลึก โดยลำดับลำดา
ในระดับพระอริยบุคคล พระโสดาบัน ก็ลึกซึ้งลงไป
สกทาคา ก็ลึกซึ้งลงไป
อนาคา ก็ลึกซึ้งลงไป
จนสามารถชำระล้าง บาปและอกุศลธรรมต่าง ๆ
จนหมดสิ้นไปได้
เรียกว่า หมดจด ไม่มีสิ่งดึงรั้งอีกแล้ว
ระดับพระอรหันต์ ก็จะลึกซึ้งลงไป
เพราะฉะนั้น การหยั่งเข้าสู่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
ก็จะมีความลาด ลุ่ม ลึก โดยลำดับลำดา
การเข้าถึงความลึกซึ้งของบรมธรรม
ก็จะมีความลึกซึ้งลงไป
ตามผลที่เกิดขึ้น จากการสละ ละ วาง
วางของหนักของร้อน วางทุกสิ่งทุกอย่างลง
จนมันดับสนิท ไม่มีส่วนเหลือ
ก็จะกลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
พบกับความสงบสุขที่แท้จริง
คือ พระนิพพาน ได้ … “
.
ธรรมบรรยาย
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา