1 พ.ค. 2022 เวลา 12:37 • ประวัติศาสตร์
• สำรวจประวัติศาสตร์อินเดียแบบคร่าว ๆ จากเกม Age of Empires II DE : Dynasties of India
3
ด้วยความที่แอดมินเป็นแฟนคลับของเกมสร้างฐานอิงประวัติศาสตร์ชื่อดังอย่าง Age of Empires และเมื่อมีการปล่อยภาคเสริมภาคใหม่อย่าง Age of Empires II Definitive Edition Dynasties of India ที่บอกเล่าเรื่องราวของอารยธรรมยิ่งใหญ่ในอินเดีย อันได้แก่ เบงกอล (Bengalis) ดราวิเดียน (Dravidians) คุชราต (Gurjaras) และฮินดูสถาน (Hindustanis)
ดังนั้นในบทความนี้ แอดมินจะมาสรุปเรื่องราวประวัติศาสตร์อินเดียในยุคโบราณแบบคร่าว ๆ กัน
ในช่วงราวสหัสวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล ชาวดราวิเดียนหรือชาวทราวิฑ ได้สรรสร้างอารยธรรมที่เรียกว่า อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ (Indus Valley Civilization) อยู่ทางตอนเหนือของอินเดียและปากีสถานในปัจจุบัน โดยมีนครสำคัญอย่างฮารัปปา (Harappa) และโมเฮนโจดาโร (Mohenjo-Daro)
1
โบราณสถานของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ
ต่อมาในราวสหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ชาวอารยัน (Aryan) ซึ่งเป็นกลุ่มคนเชื้อสายอินโด-ยูโรเปียน ได้อพยพมาจากอิหร่านและขับไล่ชาวดราวิเดียนให้ออกไปจากดินแดน อินเดียจึงตกอยู่ภายใต้การยึดครองของชาวอารยัน ส่วนชาวดราวิเดียนก็อพยพไปยังตอนใต้ของอินเดียรวมถึงตอนเหนือของเกาะศรีลังกา
ชาวอารยันได้สรรสร้างอารยธรรมที่จะกลายเป็นต้นแบบที่สำคัญของอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นศาสนาฮินดูรวมถึงระบบวรรณะ ดินแดนของชาวอารยันในอินเดียประกอบไปด้วยอาณาจักรและนครรัฐนับสิบ ๆ แห่ง ที่ต่างฝ่ายต่างก็ทำสงครามระหว่างกัน อย่างไรก็ตามช่วงเวลาดังกล่าว ก็ยังเป็นจุดกำเนิดของศาสนาสำคัญอย่างศาสนาพุทธและศาสนาเชน
1
จนกระทั่งในราว 322 ปีก่อนคริสตกาล อินเดียก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียวภายใต้จักรวรรดิเมารยะ (Mauryan Empire) จักรวรรดิเมารยะรุ่งเรืองถึงขีดสุดในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช (Ashoka the Great | 268-232 ปีก่อนคริสตกาล)
1
แผนที่จักรวรรดิเมารยะในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
ทว่าหลังจากยุคของพระเจ้าอโศกมหาราช จักรวรรดิเมารยะก็อ่อนแอลง จนสุดท้ายก็ล่มสลายลงในราว 185 ปีก่อนคริสตกาล แผ่นดินอินเดียแตกแยกเป็นอาณาจักรต่าง ๆ มากมาย และจะไม่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวอีกเลยเป็นเวลากว่าพันปี
ในช่วงปี ค.ศ. 320 ถึง 600 ตอนเหนือและตอนกลางของอินเดียอยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิคุปตะ (Gupta Empire) ช่วงเวลานี้ถูกเรียกว่าเป็นยุคทองของอินเดีย เนื่องจากเป็นช่วงที่ศิลปะและวิทยาการต่าง ๆ เฟื่องฟูถึงขีดสุด
ต่อมาระหว่างช่วงศตวรรษที่ 8 ถึง 10 ได้เกิดสงครามแย่งชิงพื้นที่อุดมสมบูรณ์ทางตอนกลางของอินเดีย ระหว่างสามจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอินเดียในตอนนั้น ได้แก่จักรวรรดิคุชราต-ปราติหาระ (Gurjara-Pratihara Empire | ค.ศ 550-1036) จักรวรรดิปาละ (Pala Empire | ค.ศ. 750-1174) และจักรวรรดิรัชตรากุตะ (Rashtrakuta Empire | ค.ศ. 753-982) อย่างไรก็ตามสงครามนี้ก็ไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทั้งสามจักรวรรดิอ่อนแอจนถึงกาลล่มสลาย
ในช่วงศตวรรษที่ 10 ถึง 13 ทางตอนใต้ของอินเดียอยู่ภายใต้อำนาจของจักรวรรดิโจฬะ (Chola Empire) จักรวรรดิของชาวทมิฬ (Tamil) ซึ่งเป็นกลุ่มชนชาวดราวิเดียน โจฬะเป็นจักรวรรดิที่ทรงอำนาจทางทะเล โดยทำการค้ากับอาหรับและจีน รวมถึงขยายอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์
เมื่อถึงปี ค.ศ. 1206 ได้มีการถือกำเนิดของรัฐชาวมุสลิมในอินเดีย ซึ่งก็คือรัฐสุลต่านเดลี (Delhi Sultanate) ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด รัฐสุลต่านเดลีสามารถครอบครองตอนเหนือและตอนกลางของอินเดีย รวมถึงต้านทานอำนาจของจักรวรรดิมองโกลได้
1
แต่สุดท้ายในปี ค.ศ. 1526 ขุนศึกชาวเติร์กนามว่า บาบูร์ (Babur) ก็ได้บุกพิชิตรัฐสุลต่านเดลี บาบูร์สถาปนาจักรวรรดิมุคัล (Mughal Empire) ซึ่งในเวลาต่อมาจะสามารถรวบรวมอินเดียให้เป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งนับตั้งแต่ยุคจักรวรรดิเมารยะ การครองอำนาจของจักรวรรดิมุคัลถือเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์อินเดียยุคปัจจุบัน
2
ทัชมาฮาล สิ่งก่อสร้างสำคัญในยุคจักรวรรดิมุคัล
*** Reference
#HistofunDeluxe
โฆษณา