3 พ.ค. 2022 เวลา 02:36 • ไลฟ์สไตล์
โรคหมดไฟ ในการใช้ชีวิต
“เป้าหมายน่ะ มีนะ แต่ไม่มีไฟจะไปสร้างสรรค์”
คุณเคยมีอาการแบบนี้มั้ยครับ?
แล้วคุณรู้สึกอย่างไรครับ?
ไม่รู้จะเหมือนผมรึเปล่า?
ดูมันขี้เกียจไปหมด
ขึ้เกียจตื่น ขี้เกียจกิน ขี้เกียจเดิน ขี้เกียจพูด
แม้แต่นอนก็ขี้เกียจ เรียกได้ว่า
ไม่อยากทำอะไรเลย แม้แต่นอน
จนท้ายที่สุดแล้ว ก็เริ่มรู้สึก
ขี้เกียจหายใจ
มีสาวออฟฟิศท่านหนึ่งติดต่อผมมา
สาวเจ้าบอกว่า เธอไม่มีไฟ
ไม่มีไฟ แนะนำให้ใช้ตะเกียงจ้าวพายุครับ ไฟไม่มีดับ
น่าจะคนละไฟ
เธอว่า วันทำงานก็ทำไป วันหยุดทีไร
ก็นอนจนแม่เป็นห่วง ต้องเดิมมาบอกว่า
“ขยับบ้างก็ได้นะลูก” (ขนาดน้านเลยนะ)
ได้เลยครับคุณน้อง
สตรีมีปัญหา คือเวลางานของโค้ชจ๋ายอยู่แล้ว
มีอะไรให้โค้ชหมอเทวดาหน้าตาดีคนนี้ช่วย บอกมาได้เลยครับ
สาวเจ้าว่า เธอมีอาการนี้มานานพอสมควรแล้ว
เพิ่งไปเข้าคอร์สเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายมา
มีเป้าหมายแล้ว แต่ยังขาดไฟในการสร้างสรรค์
(แนะนำว่า มาเข้าคอร์สของโค้ชจ๋ายนะครับ จะได้ทั้งเป้าหมาย และไฟไปพร้อมๆ กัน)
เยี่ยมเลยครับ งั้นมา เดี๋ยวพี่จะจุดไฟให้จะเอาให้โชติช่วงชัชวาล
สาสมใจเลยทีเดียว
เราได้คุยกัน เธอเล่าว่า เธอเคยมึนหนักขนาด ยืนอื้ง
ยืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่รู้จะไปทางไหนเลยทีเดียว
อันนี้ผมเข้าใจเลยครับ เพราะหลายๆ ครั้งที่ ผมหมดไฟ
ไร้เป้า ก็ยืนเศร้านิ่งๆ อยู่คนเดียวเหมือนกัน
เอาหละครับ ทีนี้พอเห็นรูปร่างหน้าตาของอาการแล้ว
เราก็มาเริ่มบรรเลงกันเลยดีกว่า
ผมเริ่มเจาะเข้าไปยังจิตใต้สำนึกของเธอ
เพื่อหาสาเหตุของอาการหมดไฟที่เธอว่า
ด่านแรกที่ผมเจอคือ เธอรู้ว่าเธอมีศักยภาพ
มากกว่าที่เป็นอยู่ แต่ไม่รู้จะเอามันออกมาใช้ยังไง
ผมบอกเธอไปว่า เพราะเธอเป็นคนที่เก่งขึ้นตลอดเวลาไง
เวลาที่เราตัดสินใจทำอะไรลงไปพอตัดสินใจแล้ว ลงมือทำไปแล้ว
ทำเสร็จไปแล้ว เป้าหมายลุล่วงแล้ว
อารมณ์ดีแล้ว กลับมาดูผลงานของตัวเองอีกที
เราจะเห็นข้อผิดพลาดที่เราไม่เห็นก่อนหน้านี้
แล้วเราจะรู้สึกประมาณว่า
“ตอนนั้นตัดสินใจแบบนี้ ทำแบบนี้ไปได้ไงวะ?”
สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะ วินาทีที่เราหันกลับมาดูผลงานของเรา
ตอนนั้นเราเก่งขึ้นแล้วครับ เราถึงได้เห็นข้อผิดพลาด
ที่เราไม่อาจเห็นได้ตอนเรายังไม่เก่งเท่านี้
แล้วผมบอกเลยว่ามันเป็นเรื่องที่ดี
ที่เราได้เห็นข้อผิดพลาดในอดีตของเรา
เพราะมันแปลได้ 2 ความหมาย
หนึ่งคือ เราเก่งขึ้น เหมือนที่บอกไป และ
สองคือ เรายังพัฒนาต่อไปได้อีก เรายังไม่ตัน
แต่ที่ผมกับสาวเจ้าคุยกันนี้ ยังไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เธอหมดไฟ
ผมเจาะลงไปอีก แล้วก็เจอครับ
เธอว่า เธอรู้สึกว่า เธอยังดีไปพอสักที อันนี้เริ่มเข้าเค้าแล้ว
ทุ่มเทเท่าไหร่ ก็ยังรู้สึกว่ายังไม่ดี ยังไม่พอ
ความรู้สึกนี้พอมันรุนแรงมากๆ จนกลายเป็น
ในเมื่อทุ่มไป เทไป เท่าไหร่ก็ไม่พอสักที
งั้นก็แค่นี้ละกัน เพราะหมดแรงทุ่มแล้ว
พอมาถึงตรงนี้ ผมเลยถามเธอกลับไปว่า
มันต้องเท่าไหร่ถึงเรียกว่า “ดี”
มันต้องเท่าไหร่ถึงเรียกว่า “พอ”
เธอก็บอกว่า มันต้องตัดสินใจดี พัฒนาตัวเอง
พัฒนาองค์กรตลอดเวลา กล้าพรีเซนต์ตัวเอง
กล้าบอกคนอื่นว่าตัวเองเก่งอะไร
ผมเริ่มเจาะทีละประเด็นเลยครับ
ผมถามเธอว่า มีครั้งไหนมั้ยที่เธอได้รับมอบหมายงาน
แล้วเธอทำไม่สำเร็จตามเป้าที่วางไว้
เธอตอบเบาๆประมาณดูเชิงว่า “ไม่มี”
ผมพูดต่อไปว่า
“ไม่เคยพลาด แบบนี้พอจะเรียกได้ว่า ตัดสินใจดีได้รึเปล่าครับ?”
การพัฒนาตัวเอง ผมบอกกับเธอด้วยเสียงที่แข็งมากว่า
“ผมไม่เชื่อว่า คนที่ยอมจ่ายเงินเป็นหมื่นๆ ให้กับคนที่ไม่รู้จัก
เพียงเพื่อให้ไอ้บ้านั้นมาบอกว่า คุณบกพร่องตรงไหน
หรือขาดตรงไหน คนแบบนี้ ไม่ใช่คนที่รักการพัฒนาตัวเองรึครับ
คุณว่าจริงมั้ย?”
หรือคุณผู้อ่านคิดว่าอย่างไรครับ?
ผมพูดต่อว่า
“แล้วคนที่พัฒนาตัวเองตลอดเวลา จะเป็นคนไม่ยอมพัฒนาองค์กร
ผมว่ามันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้จริงมั้ยครับ?”
คุณผู้อ่านเห็นด้วยกับผมมั้ยครับ?
ผมพูดต่ออีกว่า
“ไหนลองบอกผมหน่อย ว่าตอนนี้คุณเก่งเรื่องอะไร?”
“คุณทำอะไรได้ดีบ้าง?”
เธอตอบผมแม้ว่าจะไม่ได้คล่องแคล่วมากนัก
แต่ก็ฉะฉานเลยทีเดียว
“พูดภาษาอังกฤษได้แทบจะเหมือนเจ้าของภาษา”
“กล้าตัดสินใจ …” ฯลฯ อีกมากมาย
ผมบอกเธอว่า ตรงไหนที่ยังไม่พอ เอาปากกามาวง
เพราะมันตรงและครบตามที่เธอบอกเลย
เธอก็ยิ้มแบบอื้งๆ
จากประสบการณ์การโค้ชของผมนะครับ
มีหลายคนทีเดียวที่เป็นคนเก่ง บางคน
เก่งมากๆ ด้วย
แต่ตัวเองกลับไม่เห็นความเก่งของตัวเอง
มีหลายสาเหตุมากๆ ไว้เดี๋ยวผมจะค่อยๆ มาชี้แจง
แถลงไขให้อ่านนะครับ
คุยกันมาถึงตรงนี้ มันก็ยังไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้
สาวเจ้าหมดไฟอยู่ดี ผมเจาะลึกเข้าไปอีก
แล้วก็… โป๊ะเฉะ!!!
เธอว่า เธอยังไม่ได้ทำอะไรให้คุณพ่อของเธอมากนัก
เพราะท่านจากเธอไปตั้งแต่เธอยังเล็กๆ
อันนี้ครับปัญหาใหญ่เลย เพราะจิตใต้สำนึกของเธอ
จะบอกเธอว่า ทำสำเร็จให้ใหญ่โตขนาดไหนก็แค่นั้น
เพราะพ่อเธอก็ไม่สามารถมารับมารู้ได้อยู่ดี
มันก็เลยทำให้เธอหมดไฟที่จะไปต่อ
พอรู้แบบนี้แล้ว ผมก็เลยไปพาพ่อเธอมาครับ
ให้เธอได้ปรนนิบัติพ่อของเธอ และบอกวิธี
ไปหาพ่อของเธอ ย้ำกับเธออีกครั้งด้วยว่า
เธอสามารถไปหาพ่อของเธอได้บ่อย
เท่าที่เธอต้องการเลยทีเดียว
พอเธอได้รู้แล้วว่า ความสำเร็จของเธอ เธอสามารถเล่า
สามารถให้พ่อเธอเห็นได้
คุณว่า อะไรจะเกิดขึ้น?
พฤติกรรมทุกพฤติกรรมที่เราเห็น เป็นเพียงผลลัพธ์
และเมื่อมีผลลัพธ์ ก็ต้องมีสาเหตุ
ถ้าเราอยากเปลี่ยนพฤติกรรม เราก็ต้องหาสาเหตุ
หาเหตุที่มาของพฤติกรรมนั้น พอเราหาเหตุได้
เปลี่ยนเหตุนั้น ผลก็จะเปลี่ยนไปด้วย
สำหรับสาวเจ้านางนี้คือ จิตสำนึกหรือสติ
บอกว่ามีเป้าหมายต้องพิชิต แต่จิตใต้สำนึกหรือ
อารมณ์บอกว่า พิชิตได้ก็เท่านั้น เพราะไม่มีพ่อ
อยู่ดูความสำเร็จของเราแล้ว
ผลก็คือ หมดไฟแต่ก็อยากสำเร็จ
แล้วคุณล่ะครับ เห็นว่าอย่างไร?
เมนท์มาคุยกัน มาเล่าให้ฟังได้นะครับ
#lifeaswish ใช้ชีวิตได้ดังที่ใจปรารถนา
#coachjai #โค้ชจ๋ายหมอเทวดา
#เรื่องเล่าหมอเทวดา #passion #หมดไฟ
โฆษณา