4 พ.ค. 2022 เวลา 07:52 • ข่าว
เมื่อพระไม่หลุดพ้นจากเสวยวิมุติสุข ก็กลายเป็นกับดักสู่ “เสวยกามสมมุติ” บนสันเขื่อนในราตรีที่มืดดับ
ลูกสาวพระยามาร นางตัณหา นางราคะ นางอรดี เปลื้องผ้า โชว์เรือนร่าง
ตำนานใต้ต้นไทรบนพื้นที่เลี้ยงแพะ ไม่อาจเปรียบได้กับพื้นที่อ่างเก็บน้ำที่ทำให้พระหนุ่มรูปหล่อ กับสาวพริตตี้รูปงามที่สร้างเรื่องราวฉาวโฉ่ จนต้องปราชิก ปิดตำนานพระนักพูดด้วยการลาสิกขาบทท่ามกลางกระแสเงินปิดปากสาว ปิดข่าวฉาวโฉ่ไม่ได้
กระแสข่าวพระภิกษุในยุคสังคมออนไลน์ มีออกมาสะพัดเผยแพร่ไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งพระเสพเมถุน-เสพสังวาส ทั้งพระตุ๊ด พระแต๋ว พระเกย์ กลายเป็นความเสื่อมของบุคคลสมมติในพุทธศาสนาไม่เว้นแต่ละวัน
ยิ่งปราบ ยิ่งโผล่ ยิ่งโชว์ออกหน้าสื่อให้เห็นในทุกพื้นที่ กลายเป็นเหยื่อของการขุดค้น โหนกระแส หิวแสง แข่งกันนำเสนอ
มาดูเรื่องนี้ในยุคพุทธกาล มีเหตุการณ์แบบนี้หรือไม่
จากภาพพุทธประวัติ ภาพที่ 28 เราจะเห็นภาพสตรีสามงาม 3 คน อวดถัน โชว์เต้า ร่ายรำต่อหน้าพระพุทธเจ้า หวังยั่วยวนให้พระองค์ตบะแตก
ตามพุทธประวัติบันทึกไว้ว่า ครั้งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ บรรลุธรรมแล้ว พระองค์เสด็จไปประทับโคนต้นไทรในพื้นที่บริเวณที่เขาเลี้ยงแพะ
เรียกเหตุการณ์นี้ว่า เป็นการประทับเสวยวิมุติสุข ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็นเวลา 7 วัน
คำว่า “เสวยวิมุติสุข” คือ คำที่ใช้กับบุคคลผู้ทรงหลุดพ้นแล้ว เรียกว่า เป็นการพักผ่อน ผ่อนคลายพระอริยาบถหลังจากการตรากตรำการปฏิบัติธรรมมาอย่างหนัก ก่อนที่พระองค์ท่านจะบรรลุธรรม รู้แจ้ง เห็นจริง เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ทรงตรัสรู้
ในห้วงเวลาดังกล่าว พระยามาร ซึ่งพยายามทุกทางที่จะครอบงำ เอาชนะพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ยังไม่บรรลุธรรม จึงส่งลูกสาว 3 นาง คือ นางตัณหา นางราคา และนางอรดี
มาร่ายรำ ยั่วยวน พระพุทธเจ้า ในทุกรูปแบบทั้งเปลื้องผ้า เล้าโลมในทุกรูปแบบ แปลงเป็นหญิงสาววัยต่างๆ หวังให้พระพุทธเจ้าเกิดกิเลส ถูกครอบงำด้วยกามตัณหา
แต่พระพุทธเจ้า มิทรงมีพระอาการใดๆ และมิทรงลืมพระเนตรเพื่อทอดพระเนตรการยั่วยวนของลูกสาวพระยามารทั้งสาม
แปลความเรื่องราวในเหตุการณ์นี้ ได้ว่าการกระทำของ 3 นาง คือ กิเลส ที่ครอบงำด้วย ตัณหา ราคะ และความริษยา
แต่ผู้บรรลุธรรม รู้แจ้งเห็นจริงอย่างพระพุทธเจ้า ไม่เพลี่ยงพล้ำพ่ายแพ้ต่อสิ่งยั่วยุ
แถมพระองค์หนีห่างจากกิเลส กลายเป็นว่ากามตัณหา กามราคะ หาอาจทำให้บุรุษรูปงามในเพศบรรพชิต ต้องจมดิ่งสู่ห้วงอบายมุขไปได้ไม่
เรื่องราวนี้ เมื่อมาพิจารณากับเหตุการณ์ของศิษย์ตถาคตผู้เป็นนวกะ อ่อนต่อการประพฤติปฏิบัติ ย่อหย่อนต่อพระธรรมวินัย
พระยามารยังไม่ทันได้ส่งลูกสาวทั้ง 3 คนมายั่วยวน ก็ตบะแตก ตกสู่ขุมนรกแห่งความมืดดำในกามราคะ
ส่วนสตรีนางนั้นเล่า ยังไม่อาจเปรียบเทียบลูกสาวพระยามาร 3 นางได้ แต่ความชั่วในสิ่งที่กระทำวิญญูชนย่อมเห็นได้ว่า นางมิได้มีความเกรงกลัว หรือละอายต่อบาปที่ได้กระทำ
การปล่อยให้เรื่องราวเล่านี้ เกิดขึ้น โดยไม่มีการลงโทษทางสังคม และกฏหมาย ก็เปรียบได้กับการชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน
ไม่ต่างจากการสนับสนุน และส่งเสริม พระยามารให้มาทำลายล้างศรัทธาและความเชื่อในพุทธศาสนา
ภาพพุทธประวัติ ภาพที่ 28 กับงานปฏิมากรรมที่วัดสุทัศน์เทพวรารามบ่งบอกถึงเรื่องราวในพุทธกาล
ข่าวเหตุการณ์ สตรีนางหนึ่ง กับพระนวกะผู้อ่อนต่อโลก กลายเป็นเรื่องราว และกระแสสังคมที่ไม่ควรปล่อยผ่าน แค่เสพเมถุน ปราชิก ลาสิกขาบท แล้วจบทุกเรื่องราว แต่สังคมควรตราหน้า ลงโทษบุคคลเหล่านี้อย่างไร ท่านต้องให้คำตอบแก่สังคม
โฆษณา