4 พ.ค. 2022 เวลา 09:27 • ความงาม
Marlou - Carnicure / L’Animal Sauvage
Marlou เป็นแบรนด์น้ำหอมสัญชาติฝรั่งเศสเปิดตัวออกมาในปี 2016 กับการนำเสนอกลิ่นอายตามธรรมชาติที่มาจากร่างกายคนและโทนกลิ่นที่เป็น Core Concept หลักของแบรนด์อย่างโทน Animalic ซึ่งถือว่าเป็นที่มาที่ไปที่น่าสนใจในการสร้างสรรค์น้ำหอมไม่น้อย แต่คาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าเนื้อกลิ่นจะต้องมาสายมินิมัลแน่นอน เพราะเรื่องที่เกี่ยวกับกลิ่นที่สื่อสารถึงร่างกายมนุษย์นั้น ค่อนข้างจะชี้ตรงมาสไตล์แบบนี้อยู่แล้ว
ซึ่งในการเปิดตัวครั้งแรก แบรนด์ก็สื่อสารกับความเป็น Animalic มาเรียกเรตติ้งกันก่อนเลย กับรุ่น L’Animal Sauvage ที่สื่อถึงคำว่า “สัตว์ป่า” โดยวางจำหน่ายที่ขนาด 30 ml ก่อน ซึ่งส่วนตัวเมื่อเห็นชื่อและรู้ความหมายครั้งแรก ก็คิดว่าจะต้องดุดันและมีความสตรองเป็นแน่แท้ พอผ่านมาไม่เท่าไหร่ เมื่อแบรนด์เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะจุดขายมีความชัดเจน การเปลี่ยนแปลงทางด้าน Package และรุ่นน้ำหอมที่มีเพิ่มขึ้นมา ชื่อรุุ่นจึงได้เปลี่ยนให้มีความเก๋มากขึ้นจนกลายเป็น Carnicure ในที่สุด (เอาจริงๆ ความหมายก็ไม่ได้จะต่างกันมาก แค่ชื่อมีความเก๋มากขึ้นเพราะเป็นภาษาสเปน) เช่นนั้น เมื่อความอยากรู้อยากเห็นได้ที่ ก็จัดเอามาลองซะเลยดูกันซักหน่อยว่า ความสาบปลุกเร้า Animalic ของรุ่นนี้จะสร้างความเป็นสัตว์ป่าได้มากขนาดไหน
เปิดตัวมาอรกสเปรย์ เอ๊ะ! สัมผัสได้ถึงความสดชื่นแกมสะอาดกึ่งเปรี้ยวอมหวานนวลหน่อยๆ ที่ให้ความรู้สึกคล้ายกลิ่นของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) อ่อนๆ + ดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลาย (Orange Blossom) เลยทำให้ได้ความรู้สึกแบบบรรยากาศที่มีความสดชื่นวูบขึ้นมา พร้อมกับกลิ่นที่แอบโปร่งแกมหวานคล้ายจะเป็นโทนไวโอเล็ตที่ซ้อนอยู่ แต่เพียงไม่ถึง 5 วินาที กลิ่นโทน Animalic ที่เป็นโทนติดสาบเร้าติดตุ่ยๆ ที่เป็นสาย Animalic Musk ที่ดันขึ้นมาให้จับต้องได้แบบว่านี่คือแกนหลักของกลิ่น พร้อมกับกลิ่นที่ให้อารมณ์กึ่งขนสัตว์ที่ติดสาบแปร่งแกมกลิ่นยูรีนที่ออกทางคล้ายปัสสาวะแกมน้ำลายที่วูบขึ้นมาด้วย เลยทำให้แบบว่า เอออออ Animalic จริงๆ แต่ยังถือเป็นเรื่องดีที่กลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังจัดจ้านหนักหน่วงจนทำให้เหมือนเราเป็นสัตว์ป่าประเภทหนึ่งแบบจริงจังไปเสียก่อน
สิ่งที่บอกได้อย่างหนึ่งเลยก็คือ เพราะความเป็นน้ำหอมแนว Niche & Art Perfume กลิ่นเปิดอาจจะไม่ได้สร้างความรู้สึกที่ประทับใจเท่าไหร่ แบบที่หลายๆ แบรนด์สายนี้เขาก็ทำกันมา ซึ่งถ้าเรารอซักหน่อย เมื่อกลิ่นเริ่มมีการเซทตัวและเข้าสู่ช่วงกลาง โทน Animalic ในช่วงแรกจะเริ่มเบาลงมาก กลิ่นแปร่งๆ แบบขนสัตส์กึ่งยูรีนแกมน้ำลายจะเบาลงมา โดยที่ยังคงมีความเป็น Musk ที่เด่นอยู่ เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะเข้าโทนแป้งนวลนุ่มแกมหวานเล็กๆ มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะมีโทนแป้งของไวโอเล็ตมาเสริม พร้อมกับกลิ่นไม้หอมครีมมี่หน่อยๆ ที่เป็นลักษณะของไม้จันทน์หอมที่เป็นตัวเสริมสร้าง Effect ครีมมี่ติดไม้หน่อยๆ มากกว่าจะมา Take Over แต่
สิ่งที่สำคัญมากอย่างหนึ่งเลย คือ ในการเป็นโทนแป้งแกม Musk ที่ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่พอกลิ่น Animalic ในช่วงต้นที่ยังตามมาในช่วงนี้ แม้จะเบาลงไป แต่ก็สร้างความรู้สึกปลุกเร้าเย้ายวนแฝงได้ดีมากทำให้ปลายกลิ่นจะแอบมีความ Dirty หน่อยๆ ได้อย่างน่าสนใจและสะกิดจมูกให้รับรู้ได้ไม่ยาก เรียกว่าเป็นความเรียบง่ายที่มีกิมมิคแฝงอย่างสมดุลย์เลยก็ว่าได้และทำได้ดีเสียด้วย
แน่นอนเลยว่าเมื่อ Musk กลายเป็นกลิ่นเด่น ในช่วงท้ายก็จะยังคงเดิมและยืนหนึ่งเสียด้วย แถมมีเพื่อนที่เสริมโทนแป้งอบอุ่นอย่างวานิลลาเข้ามาทำให้กลิ่นมีความนุ่มนวลมากขึ้นอีกสเต็ป เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะก็ยังมีความ Dirty เนียนๆ ที่เย้าลึกแฝงอยู่ ซึ่งจะเป็นกลิ่นออกทางหนังและ Civet หรือชะมดเช็ด แต่จะไม่ได้เด่นจนกลบความนุ่มนวลของ Musk เน้นให้ความรู้สึกเย้าและห่ามแบบมีเสน่ห์ในเนื้อกลิ่นแทน นอกจากนี้ยังมีไม้จันทน์หอมก็ยังสร้างความครีมมี่เบาๆ ทำให้เนื้อกลิ่นมีโทนสว่างกับ Musk เข้าไปอีก
ซึ่งพอเรียบเรียงโทนกลิ่นเลยรู้ได้เลยว่าชั้นแรกจะเป็นกลิ่นปร่าระเรื่ออื่นๆ ของพิมเสนแกมไม้จันทน์หอมครีมมี่นวลๆ ที่มีโทนสว่าง แกนกลางเป็น Musk ที่มีความนุ่มนวลสะอาดแกมแป้งอบอุ่น และปิดท้ายด้วยความลึกแฝงเซ็กซี่เย้าน่าซุกของโทน Animalic ที่ทั้งหมดผสานรวมกันเป็นโทนมินิมัลที่ดูเหมือนเรียบง่ายแต่มีความน่าซุกและดึงดูดแบบผิวกายมนุษย์ที่มีมิติทางกลิ่นที่มีเสน่ห์ตามธรรมชาติ ถือเป็นการปิดท้ายได้อย่างเหมาะเจาะมากจริงๆ
เหมาะสำหรับ - Unisex เลย ไม่ว่าจะเพศไหนก็จัดได้สบายมาก เพราะเป็นกลิ่นสายมินิมัลที่ไม่ต้องเยอะสิ่งแต่มีเสน่ห์ดึงดูด ซึ่งอย่างน้อยถ้าผ่านช่วงต้นไปได้ที่เหลือคือเสน่ห์เต็มๆ เลยเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เอาจริงๆ ครอบจักรวาลการใช้งานทั้งหมดเลยก็ยังได้ แต่ให้งดการฉีดใส่เสื้อผ้านที่สวม เพราะกลิ่นโทนช่วงต้นจะติดยาวจนอาจจะทำให้ดูเป็นกลิ่นไม่พึงประสงค์เอาได้ และรวมไปถึงนามค่ำคืนด้วยที่เข้ากับหลายๆ สถานการณ์ เพียงแต่จะไม่ได้เหมาะกับการใส่ไปปล่อยเสน่ห์ท่องราตรีที่ไหนนัก เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังจัดจ้านเท่าไหร่
ความทน - อันนี้ต้องยอมเขาเลย กลิ่นทนมากแบบที่ใช้กี่ทีก็แตะ 15 ชม. ได้สบายๆ เสมอ เช่นนั้นยังไงก็แตะที่ 8 ชม. ได้สบายๆ
การกระจาย - กลิ่นกระจายกำลังดีในช่วงต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางราวๆ 3 ชม. ก่อนที่จะงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 10 แล้วจะผ่อนลงเป็น Skin Scent ในที่สุด
สรุป - เป็นการสร้างสรรค์กลิ่นที่เอาข้อดีของ Serge Lutens - Musc Koublai Khan มาเจอกับ Kiehl’s - Original Musk ได้ตรงกลางพอดี และสร้างสรรค์ออกมาได้มีเสน่ห์ในการเป็นโทน Musky สายนุ่มชวนซุกได้อย่างพอเหมาะมาก โดยอิงกลิ่นผิวกายคนที่มีมิติต่างๆ ได้อย่างพอดิบพอดี ไม่เแปลกใจเลยที่กลิ่นนี้เป็นตัวสร้างชื่อในแบรนด์นี้และยังคงเป็นตัวหลักมาเสมอ
หมายเหตุ:
1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”
โฆษณา