5 พ.ค. 2022 เวลา 03:28 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เงินเดือนที่ไม่ใช่เงินเดือน
มาถึงวันที่ 5 ของเดือนที่ 5 กันแล้ว หลายคนน่าจะล้มละลายจากโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจต่าง ๆ ให้เสียเงินที่หามาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายในช่วงเดือนที่ผ่านมา
แน่นอนครับ ผมก็เช่นกัน
หากจำได้ในบทความที่แล้วที่ผมได้พูดถึงการซื้อการ์ดจอมาขุดเหรียญดิจิทัล ในช่วง 5.5 นี้ผมก็สั่ง Power Supply ไป เพราะของเดิมที่มีอยู่จะใช้ไฟฟ้ามากกว่าทำให้มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสูงกว่า เป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ทำให้รายได้ในการขุดเพิ่มขึ้นแต่อย่างน้อยก็ช่วยลดค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นได้เล็กน้อย
ซึ่งแน่นอนว่าเงินเดือนที่ผมได้เมื่อเดือนที่แล้วจนถึงตอนนี้เหลือไม่ถึงหลักพันบาท
ผมหวังว่าปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นกับใครหลาย ๆ คน เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
เนื่องจากผมไม่ได้มีรายได้จากงานเพียงอย่างเดียว ผมขายสลัดด้วย จึงทำให้เงินที่ได้มาจากการขายของ นำมาหมุนเวียนเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละวันได้
แต่ถ้าใครมีหลายทางเดียว ผมว่าน่าจะลำบากพอสมควร การมีรายได้ทางเดียวนับว่าเป็นหายนะทางการเงิน ณ เวลานี้ก็เป็นไปได้
ทั้งจากปัญหาเงินเฟ้อสูง ส่งผลให้ราคาสินค้าต่าง ๆ ปรับสูงขึ้นตาม รวมถึงผลกระทบจากสงครามทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
หากคุณเคยได้ยินนักเศรษฐศาสตร์บางคนพูดถึงเงินเฟ้อว่า ถ้าเงินเฟ้ออ่อน ๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแต่ถ้าเฟ้อมหาศาลจะเริ่มหายนะ
ผมจำไม่ได้หรอกว่าใครเป็นคนที่พูดไว้ และเขาก็ไม่ได้พูดไว้ตามที่ผมลงบทความแบบนี้หรอก แต่เพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ
หลักการตรงนี้จะได้ผลที่ดีเมื่ออัตราเงินเดือนเพิ่มตามเงินเฟ้อที่เหมาะสมหรือมากกว่าก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นปัจจุบันคือหน่วยงานหลายภาคส่วน ไม่สามารถเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานได้ตามอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เพราะรายจ่ายที่สูงขึ้นส่งผลให้กำไรน้อยลง รวมการเพิ่มเงินเดือนพนักงานทำให้รายจ่ายสูงขึ้น สวนทางกับรายได้ที่ลดลงทำให้รายได้น้อยลงไปอีก
ซึ่งสิ่งที่หลายประเทศกำลังพยายามทำคือการพิมพ์เงินออกมาเพิ่ม เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายและเกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ
ผลที่ตามมาคือ หนี้สาธารณะ เพิ่มสูงขึ้น เป็นเงาตามตัว แล้วถ้าเกิดรัฐบาลไม่สามารถจ่ายหนี้ที่สูงขึ้นได้จะเกิดอะไรขึ้น
ล้มกระดานแล้วเล่นใหม่ น่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุด
อย่าลืมว่ารัฐบาลก็มีภาระค่าใช้จ่ายที่ขาดดุลงบประมาณอยู่แทบจะทุกปี (ผมหมายถึงรัฐบาลทุกประเทศนะ) ดังนั้นปริมาณหนี้ก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ
ถ้าเป็นแบบนั้นก็พิมพ์เงินเข้ามาจ่ายหนี้ได้สิ ถ้าสามารถทำได้
ผลกระทบจากการพิมพ์เงินเพิ่มคือมูลค่าของเงินที่ลดลง คุณจะต้องใช้ปริมาณเงินมากขึ้นในการซื้อของเท่าเดิม แบบที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
สำหรับวันนี้มี 2 สิ่งที่อยากจะให้ทุกคนที่เข้ามาได้รู้ คือ
1. รายจ่ายของคนหนึ่ง คือ รายรับของอีกคนหนึ่ง
หากทุกคนพยายามที่จะเก็บเงินไว้และไม่ใช่จ่ายเลย ผลกระทบที่จะตามมาก็คือเศรษฐกิจจะล้ม จากการขาดสภาพคล่องของเงินในระบบ (ซึ่งแน่นอนว่าผมก็อยากทุกคนมีเงินเก็บไว้บ้าง การใช้เงินทั้งหมดโดยไม่เผื่อความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเช่นกัน)
หากใครคนหนึ่งมีรายได้ เขาก็จะสามารถมีกำลังที่จะใช้จ่ายเพื่อตัวเขาและกิจการของเขา กิจการของเขาก็ต้องหาสินค้าและบริการจากการที่มีคนซื้อไปบริโภค
ซึ่งเมื่อกิจการนั้นมีรายได้จะถือว่ากิจการนั้นมีเครดิตที่ดีทำให้สามารถกู้เงินมาเพิ่มผลผลิตได้ ทำให้มีเงินมากขึ้นในการขับกิจการธุรกิจให้เดินหน้าต่อไป เกิดการจ้างงานมากขึ้น เมื่อจ้างงานมากขึ้น คนตกงานน้อยลง หลายคนมีรายได้เพิ่มเขาก็จะใช้จ่ายมากขึ้นตามรายได้ที่เขาหามาได้
เมื่อเป็นแบบนี้เศรษฐกิจก็จะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง
2. พยายามทำให้รายรับท่วมรายจ่ายเข้าไว้
แม้ผมจะบอกว่าให้ใช้จ่าย แต่ผมก็จะเบรคคนที่หาข้ออ้างในการใช้จ่ายเงินที่ไม่ได้ส่งผลต่อการเพิ่มผลผลิตหรือการอยู่รอดในชีวิตประจำวัน
หากรายจ่ายของคุณท่วมรายรับ หายนะทางการเงินได้เกิดขึ้นแล้ว เป็นวงจรอุบาทว์ของหนี้และปัญหาต่าง ๆ ตามมา
ผมพยายามบอกว่าไม่ให้ทุกคนเป็นหนี้ใช่ไหม
เปล่า ผมไม่ได้ต้องการสื่อถึงแบบนั้น
ถ้าเป็นหนี้แล้วสามารถจ่ายหนี้นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณจ่ายหนี้ไม่ได้ต่างหาก
ดังนั้นคำจำกัดความที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด คือ ให้รายรับท่วมรายจ่ายเข้าไว้ และอย่าให้รายจ่ายท่วมรายรับ
เมื่อคุณได้รับเงินเดือนมา ไม่ว่ามันจะพอหรือไม่พอใช้ในแต่ละเดือน ขอให้นึก 2 ข้อที่ผมบอกไปให้ถูกที่และถูกเวลาด้วย หากรายรับท่วมรายจ่ายผมยินดีกับคุณด้วยที่คุณมีส่วนที่จะทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ สำหรับคนที่รายจ่ายท่วมรายรับ ผมเป็นกำลังใจให้นะครับ สิ่งที่ง่ายที่สุดในการแก้ไขปัญหา อาจจะไม่ใช่การลดรายจ่าย (เพราะบางครั้งมันสุดจนลดอะไรไม่ได้แล้ว) คือการเพิ่มรายรับ ทำให้รายรับท่วมรายจ่ายเข้าไว้ แล้วคุณจะใช้ชีวิตได้อย่างง่ายขึ้น
โฆษณา