6 พ.ค. 2022 เวลา 04:49 • หนังสือ
📚 รีวิวหนังสือ The Ride of a Lifetime บทเรียนการทำงานและความเป็นผู้นำจากอดีต CEO ของ Walt Disney Company (Part I) 📚
The Ride of a Lifetime 🌈
เขียนโดย Robert Iger
👉🏻 หากพูดถึงตัวการ์ตูนอย่าง มิกกี้เม้าส์ ซินเดอเรลลา ปีเตอร์แพน หรือสโนว์ไวท์กับคนคระทั้งเจ็ดนั้น แทบทุกคนที่เคยผ่านวัยเด็กมานั้นน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยตัวการ์ตูนเหล่านั้นเป็นการ์ตูนที่เรียกได้ว่าเป็นตำนานของ Walt Disney เลยก็ว่าได้
1
⭐️ “Rober Iger” หรือจะเรียกว่า Bob Iger นั้นเป็น CEO ของบริษัท Walt Disney Company แห่งนี้ในช่วงปี 2005 – 2020 ซึ่งช่วงเวลาที่เค้าทำการบริหารงานที่ Walt Disney นั้นเค้าทำให้บริษัทเติบโตขึ้นอย่างมาก และปิดดีลการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่ได้อย่างประสบความสำเร็จหลายดีล ตั้งแต่การเข้าซื้อบริษัท Pixar ของ Steve Jobs และอีกหลายบริษัทที่โดดเด่นมากมาย เช่น Marvel และ Lucas Film (บริษัทที่สร้างหนังอมตะตลอดกาลอย่าง Star Wars นั่นเอง)
📌 หนังสือ “The Ride of a Lifetime” (มีแปลเป็นภาษาไทยแล้วด้วยครับ) เป็นหนังสือที่ Bob Iger เป็นคนเขียนเองโดยเล่าเรื่องราวตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ ๆ ไต่เต้าจากตำแหน่งผู้รายงานสภาพอากาศจนได้มาเป็นเบอร์ 1 ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Disney โดยในหนังสือ Bob ได้ให้บทเรียนเกี่ยวกับการทำงาน ความเป็นผู้นำ และการบริหารงานที่น่าสนใจมากมายเลยทีเดียวครับ
อ้อ ลืมบอกไปว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสืออีกหนึ่งเล่มที่ Bill Gates แนะนำด้วยนะครับ ถ้าใครติดตาม Bill Gates จะทราบว่าปกติเค้าไม่ค่อยจะแนะนำหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจแนวนี้เท่าไหร่ แสดงว่าหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ธรรมดาแน่นอนครับ...😲
……………..
“Starting at the Bottom”
Robert Iger หรือ “Bob” นั้นเริ่มทำงานโดยการเป็นผู้รายงานสภาพอากาศของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งก่อนจะย้ายมาอยู่ที่สถานีโทรทัศน์รายใหญ่อย่าง ABC ในตำแหน่ง Studio Supervisor ที่ต้องทำงานถ่ายทำรายการต่าง ๆ ในสตูดิโอ
และจากการทำงานกับสตูดิโอ Bob บอกว่าทำให้เค้าได้นิสัยดี ๆ หลาย อย่างจากงานนี้ คือ ทำให้เค้าเป็นคนที่ตื่นเช้ามาก ๆ ☀️ เพราะเวลาจะถ่ายทำ เค้าก็ต้องมาเตรียมงานเช้ามาก ๆ ก่อนถ่ายจริง ซึ่งนิสัยที่ตื่นเช้านี้เค้าก็ยังปฏิบัติมาอยู่จนถึงทุกวันนี้เลยครับ โดยเค้าจะตื่นประมาณตี 4 กว่า ๆ ครับ โดยเค้าชอบที่จะใช้เวลาในช่วงเช้าในการคิดงาน อ่านหนังสือ และออกกำลังกายก่อนที่จะเริ่มเวลาทำงาน เรียกได้ว่าเป็น “morning routine” ยอดนิยมของผู้นำหรือผู้ที่ประสบความสำเร็จเลยหละครับ
👉🏻 อีกสิ่งหนึ่งที่เค้าได้คือ ความอดทนครับ การทำงานลักษณะนี้มักจะทำงานถ่ายทำเป็นเวลานานหามรุ่งหามค่ำที่ต้องใช้ความอดทนมาก ทำให้เค้าได้สิ่งนี้มาอยู่กับตัวและได้ใช้ในการทำงานตลอดมาจนปัจจุบันเลยครับ
หลังจากที่ Bob ได้ทำงานที่สถานโทรทัศน์ ABC เค้าได้ทำงานกับหัวหน้าที่ชื่อ Roone Arledge ซึ่งเป็นคนหนึ่งเลยที่ตัวเค้านับถือมาก
1
Roone เป็นหัวหน้าที่ชอบความสมบูรณ์แบบมาก เป็นพวก “perfectionism” ซึ่งจากการทำงานกับ Roone ทำให้เค้าได้รับวิธีการทำงานที่เน้นคุณภาพมาก ๆ นั้นมาด้วย แต่ถ้ามองอีกด้านเค้าบอกว่า Roone ก็เป็นคนที่ไม่สนใจอย่างอื่นแต่ทุกอย่างจะต้องเนี้ยบ
💡 แต่ตัวเค้ามองว่า “perfectionism” ที่ดีนั้นต้องเป็นการสร้างวัฒนธรรมหรือ mindset ให้ไม่ยอมรับสิ่งที่ไม่มีคุณภาพมากกว่าการจะทำทุกสิ่งให้ดีที่สุดโดยไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลย อันนี้ค่อนข้างสำคัญเลย เพราะการที่เราต้องการอะไรที่ดีที่สุดนั้นส่วนใหญ่มักจะแลกมาด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นถูกมั้ยครับ?
1
💡 อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ Bob ได้รับความยอมรับจากการทำงานกับ Roone ก็คือ เค้ากล้าที่จะยืดอกรับผิดครับ
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เค้าพลาดในการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไม่ทัน ทำให้ทางสถานีไม่สามารถ on air รายการนั้นได้ และเมื่อมีการประชุมผู้บริหารเช้าวันจันทร์ Roone ก็ถามกลางห้องประชุมว่าใครทำพลาด ด้วยความที่ Bob เป็นคนค่อนข้างตรง ๆ และใหม่ เค้าก็ยกมือรับความผิดพลาด ทำให้ทั้งห้องประชุมนั้นเงียบกริบเลยครับ แต่หลังจากนั้น Bob บอกว่า Roone ปฏิบัติกับตัวเค้าต่างไปจากเดิม และให้การยอมรับในตัวเค้ามากขึ้น ทำให้เค้านั้นได้รับโอกาสในการทำงานที่สำคัญมาก ๆ ในภายหลังครับ
“In your work, in your life, you will be more respected and trusted by the people around you if you honestly own up to your mistakes” 👍🏻
2
……………..
”Betting on Talent”
ในปี 1985 ด้วยผลงานที่โดดเด่น Bob เองได้รับการโปรโมตเป็น Vice President ของ ABC Sports แต่หลังจากนั้นไม่นาน ABC ก็ถูกขายให้กับบริษัทที่ชื่อ Capital Cities ครับ ซึ่งทำให้เค้าได้เจอกับผู้บริหารสองคนของ Cap Cities ที่ชื่อ Tom Murphy กับ John Burke ที่มีส่วนอย่างมากกับความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของ Bob ครับ
การเข้ามาซื้อสถานีโทรทัศน์ ABC นั้น Cap Cities ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างให้เกิดความสามารถในการแข่งขันได้มากขึ้น เช่น การเข้าไปลดต้นทุน
และแน่นอนครับเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง พนักงานหลายคนที่ ABC ก็เริ่มไม่ค่อยพอใจกับการเข้ามาบริหารของคนใหม่และมีการลาออกเกิดขึ้น โดยมีหัวหน้าเก่าของ Bob คนหนึ่งที่ได้ลาออกไปตั้งบริษัทของตัวเองและภายหลังได้ชวน Bob ไปร่วมงานด้วย ซึ่งตัวเค้าเองเกือบแล้วที่จะลาออกไปแล้วแต่มันเกิดเหตุการณ์ที่ว่าเมื่อเค้าจะเข้าไปพบผู้บริหารเพื่อจะคุยเรื่องลาออกนั้น ทว่าเค้าดันได้รับข้อเสนอให้เลื่อนขั้นขึ้นไปอีกเป็น Senior Vice President ทำให้เค้าอยู่ที่นั่นต่อซึ่งเค้าบอกว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องครั้งสำคัญในชีวิตเค้าเลยครับ ✅
หลังจากนั้น Bob ก็ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานสำคัญอีกครั้งกับการถ่ายทอดสดกีฬาโอลิมปิดฤดูหนาวที่ Calgary และงานออกมาประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทำใหผู้บริหารอย่าง Tom Murphy กับ John Burke จับตามอง Bob มากขึ้นด้วยผลงานที่เข้าตาจัง ๆ และพร้อมที่จะมอบโอกาสให้ Bob อีกครั้ง
🌟 ซึ่งตัว Bob ได้เล่าว่าหัวหน้าและผู้บริหารนั้นให้โอกาสกับเค้ามากมาย แล้วตัวเค้าจะเป็นคนที่ตอบตกลงในทุก ๆ โอกาสที่ได้รับ เพื่อที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเค้าสามารถทำงานใหม่ ๆ ได้ แม้จะได้รับมอบหมายงานที่ไม่คุ้นเคยเลย
หลังจากนั้นครับเค้าก็ได้โอกาสก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ของหน่วยงาน ABC TV ซึ่งเค้าไม่มีประสบการณ์บริหารช่องโทรทัศน์ทั้งหมดขนาดนี้มาก่อนเลย โดยก่อนหน้านี้เค้าดูแลงานในส่วนที่เดี่ยวกับกีฬาอย่างเดียวเป็นหลัก แต่ผู้บริหารก็ให้ความไว้ใจ Bob และเชื่อว่าเค้าทำได้จากสิ่งที่เค้าโชว์ให้เห็นมาตลอด ซึ่ง Bob พูดในหนังสือเล่มนี้หลายครั้งเลยนะครับว่าเค้านับถือหัวหน้าเค้าสองคนนี้มากที่เป็นคนให้โอกาสและเชื่อใจเค้าตลอดมา
และหลังจากนั้นอีกไม่นานครับ เค้าก็ได้รับโอกาสใหม่อีกแล้วให้รับตำแหน่ง President ของ ABC Entertainment ที่ต่างจากสิ่งที่เค้าเคยทำมาตลอดเลย และทำให้เค้าต้องย้ายจาก New York ที่เค้าอยู่มาตลอดไปยัง Los Angeles และทำให้เค้าต้องกลับมาปรึกษากับภรรยาของเค้าในขณะนั้น (ภรรยาคนแรก ซึ่งภายหลังแยกทางกัน) ซึ่งภรรยาก็ให้ความสนับสนุน Bob เป็นอย่างดีโดยผมอยากยกประโยคที่เค้าเขียนไว้ในหนังสือที่ภรรยาบอกกับเค้าว่า
“Life is an adventure, if you don’t choose the adventurous path, then you are not really living”
2
……………..
“Know What You Don’t Know”
หลังจากที่ Bob ได้เลื่อนตำแหน่งมาทำงานในสิ่งที่ตัวเค้าไม่มีประสบการณ์มาก่อน ถามว่าเค้าทำอย่างไรครับในสถานการณ์แบบนั้น? 🧐
👉🏻 อย่างแรกเลยที่เค้าบอกคือเราต้องไม่ “fake” ทำเป็นว่ารู้ครับ และเราต้องถ่อมตน เราไม่สามารถจะเสแสร้งหรือหลอกคนอื่นได้ในเรื่องที่เราไม่รู้ครับ
👉🏻 เค้าแนะนำให้เรารู้จักยอมรับว่าเราไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องอะไรและรู้จักถามคำถาม แต่ในฐานะผู้นำ เราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ให้เร็วที่สุดนะครับ เค้าบอกว่า “true authority” กับ “true leadership” เกิดมาจากการที่เรารู้ว่าเราเป็นใครและไม่ได้มีการเสแสร้งเป็นอย่างอื่น
💡 บทเรียนต่อมาที่ Bob ได้เล่าให้ฟังก็คือ การทำความผิดพลาด ซึ่งเค้าบอกว่า เค้าไม่ต้องการทำงานหรืออยู่ในธุรกิจที่ทำงานเน้นความปลอดภัยไว้ก่อน แต่เค้าอยากที่จะสร้างโอกาสใหม่ ๆ ที่จะก่อให้เกิดสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ซึ่งการที่จะสร้างโอกาสใหม่ ๆ หรือ นวัตกรรมต่าง ๆ แน่นอนว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการลองผิดลองถูกได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้าง แต่ผู้บริหารต้องยอมรับสิ่งเหล่านี้ หรือที่เค้าใช้คำว่า “permission to fail”
……………..
“Enter Disney”
หลังจากที่ Bob ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น COO ของ Cap Cities/ABC ไม่นาน บริษัทก็โดนทาง Disney ซึ่งมี CEO ในขณะนั้นคือ Michael Eisner (ซึ่งดำรงตำแหน่ง CEO ของ Disney มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1984 จนกระทั่งถึงปี 2005 เลยทีเดียว)
หลังจากที่ Bob Iger ได้เข้ามาอยู่ใน Disney ผลงานชิ้นแรกที่เค้าทำคือการทำ magazine ซึ่งเป็นสิ่งที่ใหม่มาก ๆ กับ Disney ทำให้เค้าได้เรียนรู้การทำงานกับวัฒนธรรมขององค์กรใหญ่อย่าง Disney ว่าไม่ง่ายเลย เพราะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากมายโดยเฉพาะหน่วยงานส่วนกลางที่มีอิทธิพลในการตัดสินใจลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ของ Disney ที่มีชื่อเรียกว่า Strategic Planning ที่ Bob นั้นไม่ชอบเอาเสียเลย เพราะมันเหมือนการรวมศูนย์กลางการตัดสินใจไว้ที่นี่ ทำให้การตัดสินใจช้า และมีความลำบาก (หลังจากเค้าเป็น CEO เค้าเลยจัดการ re-org โดยยุบหน่วยงานนี้เสียเลย!)
1
⭐️ การตัดสินใจลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ นั้นเค้าได้แนวความคิดมาจากหัวหน้าเก่าของเค้าอย่าง Dan Burke ว่า “Avoid getting into the business of manufacturing trombone oil” แปลว่าให้หลีกเลี่ยงการลงทุนทำธุรกิจอย่างการขายน้ำมันให้กับเครื่องทรอมโบน ถึงแม้จะขายได้ดี ได้เยอะขนาดไหน แต่น้ำมันทรอมโบนปีหนึ่ง ๆ ก็มีปริมาณการใช้ที่น้อยมาก ๆ หมายความว่า ถึงแม้เราจะเป็นรายใหญ่ในธุรกิจนี้และทำได้ดีมากแค่ไหนก็ตาม แต่ธุรกิจนี้มันเล็กมาก ๆ มันก็ไม่คุ้มอยู่ดี ให้เราไปลงทุนในธุรกิจที่ได้ผลตอบแทนสูงมากพอจะดีกว่า ⭐️
หลังจากนั้น Bob ยังต้องเจอกับปัญหาที่เจ้านายสองคนไม่ลงรอยกัน (Michael Eisner ที่เป็น CEO กับ Michael Orvitz ที่เป็นเหมือนเบอร์ 2 ในตอนนั้น) การที่เจอปัญหาแบบนี้ มันส่งผลกระทบต่อพนักงานมาก ๆ ซึ่งเค้าเปรียบเทียบปัญหานี้ให้ฟังอย่างเข้าใจได้ง่ายเลยว่า มันเหมือนปัญหาพ่อแม่ทะเลาะกัน และไม่ยอมคุยกัน ทำให้ลูก ๆ เกิดความเครียดและหันมาคุย และนินทาพ่อแม่กันเอง เหมือนที่พนักงานเกิดความเครียด สับสน ทำให้มาจับกลุ่มคุยกัน และพนักงานก็ไม่มีความสุขครับ 😆
สุดท้าย Michael Ovitz ก็ต้องโดนให้ออกไป เนื่องจากปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมและวิธีการทำงานของ Disney ไม่ได้
💡 ถึงแม้จะเก่งขนาดไหน แต่หากเราไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมองค์กรนั้น ๆ ได้เราก็อาจจะอยู่ได้ยากนะครับ หรือไม่ก็ไม่มีความสุขเป็นแน่ครับ
……………..
“Second in Line”
Bob ได้ให้คำแนะนำในการทำงานไว้ว่า ให้เราตั้งใจทำงานของเราให้ดีที่สุด แล้วก็ต้องอดทนรอโอกาสในการเติบโต มีหลายคนตั้งหน้าตั้งหน้าจะมองแต่การได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้น โดยลืมที่จะ focus กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า หรืองานที่ตัวเองต้องรับผิดชอบให้ดี 😕
1
ซึ่งตัวเค้าเองก็รู้สึกผิดหวังในหลายต่อหลายครั้งที่เค้ามองว่าตัวเค้าน่าจะได้โอกาสเลื่อนขั้นขึ้นไป แต่บางครั้งเหมือนกับเค้าไม่ได้อยู่ในสายตา ซึ่งเค้าได้บอกในหนังสือไว้ครับว่า เมื่อเวลามันใช่ โอกาสก็จะมาเอง ทางดีที่นั้นเราควรจะทำสิ่งที่เราได้รับมอบหมายให้ดีก่อน แล้วสักวันหัวหน้าก็จะเห็นความสำคัญของเราและหยิบยื่นโอกาสให้เองครับ 😉
1
……………..
“Good Things can Happen”
Bob ได้เล่าไว้ว่าการจะเป็นผู้นำที่ดีนั้นต้องเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี ซึ่งมันไม่เหมือนกับการมองโลกสวยนะครับ การมองโลกในแง่ดี หรือ “optimistic” ของเค้าหมายถึง การเชื่อในศักยภาพว่าทีมงานจะสามารถทำผลงานที่ดีออกมาได้ ✅
การเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย หรือ “pessimistic” นั้น จะทำให้เราทำงานแบบไม่กล้าเสี่ยง (risk aversion) ซึ่งแน่นอนว่าทำให้การเกิดนวัตกรรมหรือการทำอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้ยาก
การ set tone ของผู้นำเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อองค์กรและคนทำงาน ผู้นำนำทางไปทางไหน คนก็จะเดินไปตามทางนั้น ๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครที่อยากเดินตามคนที่มองโลกในแง่ร้ายสักเท่าไหร่ ซึ่งสิ่งนี้แหละครับเป็นปัญหาที่ทำให้ Michael Eisner เจอกับการไม่ได้รับความไว้วางใจจากบอร์ดของ Disney โดยเฉพาะจาก Roy Disney (ทายาทของตระกูลที่นั่งอยู่ในบอร์ดของ Disney) และ Stanley Gold ที่เป็นนักกฎหมายของ Roy
Roy นั้นเป็นคนเก่าคนแก่ของ Disney ที่ค่อนข้าง conservative มาก ๆ และอยากที่จะรักษาเอกลักษณ์ความเป็น Disney แบบดั้งเดิมเอาไว้ ดังนั้นเค้าจึงไม่ชอบมาก ๆ ที่ Michael Eisner ไปซื้อบริษัท Capital Cities/ABC เข้ามา เพราะมันเหมือนการนำธุรกิจอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาปนกันกับ Disney ซึ่งการมีอิทธิพลของ Roy ทำให้ Michael Eisner ตกที่นั่งลำบาก ทำให้เค้าใช้กฎที่เกี่ยวกับการที่ต้องเกษียณอายุของสมาชิกบอร์ดมาใช้กดดันให้ Roy ต้องออกจากบอร์ดของ Disney ไปครับ ทั้ง ๆ ที่กฎข้อนี้ไม่เคยนำมาใช้มาก่อนด้วยซ้ำ
แน่นอนครับว่าการที่ Roy ถูกกระทำแบบนี้ทำให้เค้าไม่พอใจมาก จนเมื่อเค้าลาออกมาแล้ว เค้าก็ยังตั้งแคมเปญที่เรียกว่า “Save Disney” เพื่อขับไล่ Michael Eisner ออกจากตำแหน่งต่อ และสุดท้ายเค้าก็ต้องถูกบีบให้ลงจากตำแหน่ง CEO ในที่สุดครับ
ซึ่งแน่นอนว่า Bob Iger ที่เป็นเหมือนเบอร์สองขณะนั้นก็เป็นหนึ่งใน candidate ที่จะเป็น CEO ต่อจาก Michael Eisner แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าการจะให้ Bob สานต่อนั้นก็เหมือนจะทำให้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใน Disney ที่ ณ เวลานั้นต้องการการเปลี่ยนแปลงมาก ๆ
ถามว่าแล้วเค้าจะทำอย่างไรครับถึงจะซื้อใจบอร์ดของ Disney ให้ไว้ใจเค้าในการทำงานบริหารงานเป็น CEO ของ Disney 🤨
……………..
“It’s About the Future” 🌈
ในการต้องมาชิงตำแหน่ง CEO ของ Disney นั้น Bob ได้เล่าให้ฟังว่า เค้าได้ไปรับคำปรึกษาจาก Scott Miller ที่ปรึกษานักการเมืองที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ซึ่งคำแนะนำที่เค้าได้รับคือ “ต้องหากลยุทธ์ที่ทำยังไงถึงจะได้รับชนะโหวตจากสมาชิกบอร์ดของ Disney” 😮 ต้องรู้ว่าใครบ้างที่สนับสนุนตัวเค้า ใครบ้างที่ไม่สนับสนุน โดยให้มุ่งเน้นไปที่คนที่เรามองว่าเค้ายังลังเล หรือยังอยู่ในช่วงการตัดสินใจ หรือภาษาในการเมืองที่เค้าเรียกว่า “swing voters” ที่พร้อมจะย้ายฝั่งได้เสมอ (กลยุทธ์นี้ผมเองมองว่าเจ๋งมากครับ ใครสนใจลองนำไปปรับใช้ดู)
💡 ที่สำคัญให้พูดถึงเรื่องของอนาคต มากกว่าเรื่องของอดีต เพราะจุดด้อยที่เค้าเองมองเห็นก็คือ อดีตที่มีความผิดพลาดในการบริหารงานจาก CEO คนเก่าที่ Bob ก็ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่มาตลอด อาจทำให้คนอื่นและบอร์ดก็มองว่าเค้าเองก็มีส่วนเช่นกัน
⭐️ อีกหนึ่งจุดที่สำคัญคือ การต้องมี strategic priorities ที่ชัดเจนแค่ไม่กี่อย่างก็พอว่าจะทำอะไรบ้างหากได้รับตำแหน่ง CEO และที่สำคัญ vision นั้นต้องชัดเจนแล้วก็ inspire หรือจูงใจให้คนอยากทำตามด้วยครับ ซึ่งวิสัยทัศน์ที่ Bob ได้ตั้งไว้ก็มีดังต่อไปนี้ครับ
🟢 มุ่งเน้นไปในการทำ content ที่มีคุณภาพ
🟡 นำเอาเทคโนโลยีมาใช้พัฒนาปรับปรุงอย่างเต็มประสิทธิภาพ
🔴 กลายเป็นบริษัทระดับโลกจริง ๆ โดยเน้นไปที่ประเทศที่กำลังเติบโตมาก ๆ อย่างจีนและอินเดีย
ซึ่งทั้งสามอย่างนี้ตัวเค้าเองก็ยึดมั่นและใช้ในการบริหารงานที่ Disney มาตลอดหลังจากที่เค้าได้ตำแหน่ง CEO ของ Disney ครับ…
1
……………..
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับการเริ่มต้นของหนังสืออัตชีวประวัติของ Robert หรือ Bob Iger ที่มีเส้นทางการทำงานที่เรียกว่าโชกโชนมาก ๆ ครับว่าจะได้มาเป็น CEO ของ Disney และมีบทเรียนหลายอย่างทีเดียวที่เราจะเอามาปรับใช้ได้เลยนะครับ 😃
ในตอนต่อไปผมจะมาเล่าต่อว่าหลังจากที่ Bob Iger ได้เป็น CEO แล้วเค้าบอกว่ามี 3 สิ่งที่เค้าต้องรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วนเลยในการเข้ามาบริหารงาน Disney และ 3 อย่างนั้นจะเป็นอะไรบ้าง โปรดติดตามในตอนต่อไปนะครับ...⏩
ถ้าไม่อยากพลาดการติดตามการรีวิวหนังสือดี ๆ แบบละเอียดยิบ ฝากกด Like กดติดตามเพจ รวมถึงยังติดตามได้อีกหนึ่งช่องทาง ใน facebook : สิงห์นักอ่าน
โฆษณา