Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
คีตาแห่งสยาม
•
ติดตาม
8 พ.ค. 2022 เวลา 02:17 • หนังสือ
✴️ บทที่ 2️⃣ สางขยะกับโยคะ : ปัญญาจักรวาลกับวิธีเข้าถึงปัญญาญาณนั้น ✴️ (ตอนที่ 44)
🌸 โยคะศิลป์แห่งการกระทำที่ถูกต้อง นำไปสู่อนันตปัญญา 🌸
⚜️ โศลกที่ 4️⃣7️⃣ ⚜️
หน้า 301 – 307
❇️ โยคะศิลป์แห่งการกระทำที่ถูกต้อง นำไปสู่อนันตปัญญา ❇️
โศลกที่ 4️⃣7️⃣
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
หน้าที่ของมนุษย์อยู่ที่การกระทำเท่านั้น ไม่ได้อยู่ที่ผลแห่งการกระทำ จงอย่าคิดว่าเจ้าเป็นผู้สร้างผลในสิ่งที่เจ้าได้กระทำ และจงอย่าปล่อยตนติดอยู่กับการนิ่งเฉย
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
ผู้ภักดีคือทิพยวิหค อบอาบอยู่กับวิญญาณแห่งบทเพลงที่ตนขับขาน ไม่คิดถึงสิ่งที่ตนจะได้ หรือทำให้ผู้อื่นพอใจเสียงร้องของตน
🌟 ผู้ภักดีกระทำเพื่ออนันตภาพเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อสนองความพอใจของมนุษย์หรือสนองความต้องการทางวัตถุของตน เขาจึงไม่มุ่งหวังรางวัล ทว่าอุทิศตนทำสิ่งดีเพื่อความดี เพื่อทำให้พระองค์ผู้ทรงเป็นที่รักทรงพอพระทัย ด้วยรู้ว่าพระเจ้าทรงสร้างตนให้เป็นมนุษย์พร้อมด้วยอวัยวะขับเคลื่อนชีวิต เพื่อแสดงบทบาทในละครจักรวาล 🌟
✨ ผู้ภักดีจึงระลึกเสมอว่า #พระฉายาและอำนาจแห่งพระเจ้าภายในตนคือผู้คิดและกระทำสิ่งทั้งปวง เขาจึงไม่อ้างสิทธิ์หรือถือเอาผลแห่งการกระทำเหล่านั้นเป็นของตน แต่ให้การถวายผลแห่งการกระทำแด่พระเจ้านั้น ผู้ภักดีต้องดูแลใจตนเองด้วยว่า #การปฏิเสธรางวัลจะไม่ทำให้เขาเฉยเมยละเลยการกระทำ ✨
คีตาได้เสนอศิลปะแห่งการกระทำที่กอปรด้วยปัญญา ซึ่งจะนำสู่ความสุขและอิสรภาพที่แท้ ไว้ดังที่ได้กล่าวมา
.
◾ “การกระทำอย่างเห็นแก่ตัว” “การถอนตนจากการกระทำ” และ “การกระทำเพื่ออิสรภาพแห่งจิตวิญญาณ” ทั้งสามสิ่งนี้แตกต่างกัน◾
มนุษย์กับแรงจูงใจที่แตกต่างและผลของแรงจูงใจเหล่านั้น อาจจำแนกได้ดังนี้ :
1️⃣ กลุ่มแรก คือผู้ที่มีชีวิตเพื่อความสุขอย่างเห็นแก่ตัว ไม่มีเหตุผลอื่น คนผู้เอาตนเป็นที่ตั้งอาจทำงานเพื่อแสวงหาความมั่งคั่ง เพื่อความมีหน้ามีตาของครอบครัว และคนอื่น ๆ ที่พลอยได้รับประโยชน์ แต่พอใกล้ตาย เขาต้องเลิกละไปจากทุกสิ่งที่ตนครอบครอง บุคคลเช่นนี้จะรู้ตัวก็เมื่อสายไปแล้ว เมื่อต้องผิดหวังจากสิ่งที่คาดไว้ รู้ว่าความสุขไม่ได้มากับชีวิตที่คิดถึงประโยชน์ตนอย่างเห็นแก่ตัว
🛑 ผู้มีปัญญารู้ได้ด้วยการใคร่ครวญว่า ที่สุดแล้วเขาไม่ใช่ผู้กระทำการหรือกระทำหน้าที่ ดังนั้น งานที่พระเจ้ากำหนดให้ทำนั้น เขาไม่ควรกระทำเพื่อตนเองเท่านั้น ผู้ที่กระทำการเพื่อตนจะต้องรับผลกรรมแห่งการกระทำของตน มนุษย์จึงควรแสดงบทที่ได้รับมอบหมาย ไม่ใช่เพื่อสนองความพอใจให้แก่อหังการของตน #แต่เพื่อทำแผนการของพระเจ้าให้สำเร็จ
💥 คำสอนนี้ไม่ได้หมายความว่า ชีวิตมนุษย์ถูกกำหนดหรือคำนวณมาแล้วในทุกด้าน คำสอนชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ซึ่งเกิดมาพร้อมกับการเลือกเสรีและมี ญาณปัญญานั้น ต้องใช้คุณลักษณะเหล่านี้ค้นให้พบว่าพระเจ้ากำหนดหน้าที่ใดมาให้ตน แล้วทำหน้าที่นั้นให้สำเร็จ แม้การค้นหาหน้าที่แห่งชีวิตนี้เป็นเรื่องยากสำหรับมนุษย์ แต่ถ้าเขาแสวงหาพระเจ้าด้วยสมาธิ เสียงจากจิตสำนึกภายในจะแนะนำเขาในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ว่างานนั้นจะเป็นการบริหารจัดการระดับสูงที่ต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น หรือการจัดการภายในบ้าน และการดูแลครอบครัว หน้าที่เหล่านี้ล้วนเติมเต็มบทตอนที่จำเป็นในละครแห่งจักรวาล 💥
🛑 หลายคนคิดผิด ๆ ว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะทำงานทางโลกโดยไม่มีแรงจูงใจส่วนตัว ไม่หวังผลการกระทำในรูปของความสำเร็จ แต่ที่เป็นจริงก็คือว่า เมื่อบุคคลทำงานเพื่อหวังผลทางวัตถุ เขาจะไม่ตื่นตัว ไม่ฉลาด ไม่สุขใจเท่ากับยามที่เขาทำงานไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เพื่อความพอพระทัยแห่งพระเจ้า
🛑 คนร่ำรวยที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจผู้จบลงที่การเห็นแก่ได้ และคิดว่าตนคือผู้สร้างหรือเป็นเจ้าของความสำเร็จนั้นแต่ผู้เดียว ย่อมหวาดหวั่นเมื่อคิดว่าเมื่อตายไปเขาต้องสูญเสียทุกสิ่ง แต่ถ้าผู้ประสบความสำเร็จคนนี้ใช้ความสามารถไปด้วยจิตที่คิดว่า ความสำเร็จของเขาเพื่อพระเจ้า แล้วใช้ความโชคดีของตนช่วยเหลือผู้ที่โชคดีน้อยกว่า เขาจะพบคุณลักษณะใหม่ ๆ ในวิญญาณซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานมาแล้ว เขาจะเกิดพลังแรงกล้า ศรัทธาในความสำเร็จ และเกิดความสุขภายในที่สามารถกระทำเพื่อให้ความสุขแก่ลูก ๆ ของพระเจ้าได้มากขึ้น การกระทำอย่างนี้ดียิ่งกว่าการสะสมความมั่งคั่งเพื่อความพอใจส่วนตน ซึ่งต้องพรากจากมันไปเมื่อต้องไปสู่หลุมฝังศพ และที่เป็นกันส่วนใหญ่คือ ทิ้งสมบัติไว้ให้ญาติที่ไร้ค่าทะเลาะแย่งชิงและผลาญทรัพย์สินเหล่านั้น
.
2️⃣ บุคคลประเภทที่สอง คือผู้ที่เข้าใจคำสอนในคัมภีร์กันอย่างผิด ๆ คิดว่ากิจกรรมและความทะยานอยากทั้งหลายของมนุษย์เกิดจากอหังการ เขาจึงถอยไปอยู่กับศีลธรรมและเมินเฉยต่อหน้าที่ คีตาได้เตือนผู้ที่มีทัศนะเช่นนี้ว่า #แม้กิจกรรมที่ทำอย่างมีอหังการก็ยังดีกว่าการเมินเฉยต่อหน้าที่
💥 ผู้ที่ทำหน้าที่ในชีวิตด้วยอหังการ ไม่ยกย่องพระเจ้าว่าทรงก่อให้เกิดการกระทำทุกอย่าง แต่เขาก็ทำหน้าที่ของตนไป เขาจึงได้รับพรในรูปของกรรมดีบางอย่างกับความสุขทางโลก #แต่คนที่เมินเฉยต่อหน้าที่ ไม่ว่าที่จะสนองอหังการตนหรือสนองความพอพระทัยของพระเจ้า #เอาแต่ปฏิเสธ อย่างขวานผ่าซากแล้วไซร้ เขาย่อมได้รับการตัดสินที่น่าขยั้น ทั้งในด้านวัตถุและจิตวิญญาณ❗
💥 นี่เป็นคำเตือนด้วยเช่นกัน สำหรับผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณที่ “ยังไม่สุกงอมพอ” ที่คิดว่าตนนั้นไม่ติดยึดกับผลของการกระทำแล้วเกียจคร้านเฉื่อยชา ทั้งทางกายและจิต จิตวิญญาณจะเติบโตไม่ได้บนผืนดินความเฉื่อยชาที่ตายซาก 💥
.
3️⃣ กลุ่มที่สาม ประกอบด้วยผู้มีญาณปัญญา และทำหน้าที่ทั้งทางโลก ทางศีลธรรม และทางจิต ด้วยความคิดที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยเท่านั้น★
★เป็นหน้าที่ที่ทุกวิญญาณหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในฐานะบุตรของพระเจ้า ที่ต้องทำให้พระบิดาเจ้าทรงพอพระทัย ดังที่พระเยซูทรงตรัสว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” (มัทธิว 3:17) การทำงานเพื่อความเป็นอิสระแห่งวิญญาณคือการทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย การทำให้พระเจ้าพอพระทัยคือการได้รับการปลดปล่อย
🛑 เมื่อคีตากล่าวว่าอย่าหวังผลของการกระทำ ไม่ได้หมายความว่า ให้ทำงานเหมือนเครื่องจักร ไม่คิดถึงผลที่เหมาะควรของกิจกรรมนั้น❗ แต่คีตาสอนว่า ต้องทำงานอย่างฉลาด อย่างกระตือรือร้น ด้วยจิตที่มุ่งหวังจะสร้างผลที่ถูกต้องแห่งการกระทำ #ไม่ใช่เพื่อตัวเอง #แต่เพื่อพระเจ้าและบุตรของพระองค์ทุกคน
🌟 ผู้ภักดีที่กระทำการดีทุกอย่างเพียงเพื่อพระเจ้า มีชีวิตอยู่ในโลกด้วยทิพยอนุมัติ มีความพอใจอย่างยิ่งอยู่ภายใน ไม่เจ็บปวดกับความล้มเหลว ไม่ดีใจ อย่างเกินเลยกับความสำเร็จ เมื่อผู้ภักดีที่แท้พบความล้มเหลว ทั้งที่ได้วางแผนแล้วอย่างรอบคอบ เขาจะไม่ท้อถอย แต่จะพยายามต่อไปให้มากขึ้นเพื่อความสำเร็จซึ่งจะได้ถวายแก่พระเจ้า เมื่อความเพียรของเขาอุดมด้วยความสำเร็จ เขาไม่ดีใจจนเกินการณ์ ไม่ลิงโลดยินดีที่ตนทำได้สำเร็จ หากแต่พอใจไปกับความคิดที่ว่า เขาอาจทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย #และได้ใช้ความสำเร็จนี้รับใช้ผู้อื่น 🌟
💥 คนทั่ว ๆ ไปไม่รู้ว่าทำไมเขาจึง “ต้อง” มาเกิดในครอบครัวนั้น ๆ หรือ “ต้อง” เกิดมาทำหน้าที่นั้น ๆ (ไม่ใช่หน้าที่อื่น ๆ) เมื่อรู้ว่าตนไม่อาจรู้สิ่งนี้ได้ ผู้ภักดีที่ศรัทธาจึงยกความรับผิดชอบให้อยู่ที่พระเจ้า (“สละผลแห่งการกระทำของตน”) เขาปฏิเสธที่จะทำให้อหังการพอใจ เพราะหลงคิดว่าตนเป็นผู้กระทำ อย่างไม่เห็นพระเจ้าอยู่ในสายตา❗
🛑 ผู้มีธรรม ปฏิบัติหน้าที่ทางกาย เช่น กินอาหาร อาบน้ำ และออกกำลังกาย และผู้ที่ทำหน้าที่ทางจิต เช่น การอบรมจิต ฝึกจิตให้มีสมาธิ และผู้ที่ทำหน้าที่ทางวิญญาณด้วยการทำสมาธิ ล้วนตระหนักว่า #กิจกรรมเหล่านี้ไม่มีประโยชน์อื่นใด #นอกจากการเข้าถึงจิตแห่งพระเจ้า
🛑 มนุษย์ควรคิดถึงร่างกายว่าเป็นสัตว์ประเสริฐที่พระเจ้ามอบหมายให้เขาดูแล เขาจึงต้องดูแลมันอย่างเหมาะสม★ เขาต้องคิดในทางที่ดีที่งาม เพราะจิตคือวิหารแห่งพระองค์ มนุษย์เป็นเพียงผู้ดูแลวิหารจิตนั้น เขาต้องให้เกียรติวิญญาณของตน และสร้างสัมพันธ์กับอภิจิตด้วยการทำสมาธิ เพราะวิญญาณคือภาพลักษณ์แห่งพระบิดาเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่บนสรวงสวรรค์
★นักบุญฟรานซิสแห่งอัสสสิผู้รักพระเจ้า เรียกกายของท่านว่า “น้องลา" เพราะมันมีประโยชน์ แต่มันก็ มักดื้อด้าน เรอเน ฟือเลิพ-มิลเลอร์ ได้เล่าไว้ในหนังสือ Saints That Moved the World (Thomas Y. Crowell Co., 1945) ว่า ตอนที่นักบุญฟรานซิสกำลังสร้างวิหารที่ซานดาเมียน ท่าน “ใช้กายของท่านทำงานหนักแทนแรงงานสัตว์ ท่านแบกหินก้อนใหญ่ซึ่งหนักมาก และครั้งหนึ่งท่านพูดว่า ‘น้องลา แบกหินก้อนนี้ไปที่ซานดาเมียนนะ’ และบางครั้งเมื่อน้องลาหมดแรงเพราะตรากตรำเกินไป ฟรานซิสผู้ขี่ก็จะให้กำลังใจ ทำให้ลาสงบ พูดกับน้องลาอย่างขึงขังว่า ‘น้องลาเอ๋ย นี่เป็นพระประสงค์แห่งองค์พระเป็นเจ้า เราต้องรีบกันหน่อยแล้วนะ’ แล้วกายน้องลาก็เชื่อฟัง... วิญญาณของฟรานซิสชอบร้องเพลงยามที่มีความสุข...กายลาขับร้องคลอไปด้วยอย่างดี แล้วสิ่งแสนประหลาดก็เกิดขึ้น กายลากับวิญญาณซึ่งได้ยินพระสุรเสียงแห่งพระเจ้าได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน”
🛑 เมื่อกาย จิต และวิญญาณกระทำการด้วยความหลงอหังการ จะทำให้บุคคลนั้นมุ่งไปที่ผลแห่งการกระทำ ซึ่งจะก่อให้เกิดกรรมและความอยากได้ใคร่มีที่ซับซ้อน ที่จะส่งผลสู่การเกิดใหม่ แต่ผู้ที่มีชีวิตด้วยการดูแลกาย จิต และวิญญาณเพื่อพระเจ้า ไม่ใช่เพื่ออหังการ ย่อมพ้นแล้วจากการสร้างกรรมที่จะนำไปสู่การเกิดใหม่ เมื่อตายไปเขาย่อมเป็นอิสระอยู่กับบรมธรรมซึ่งสถิตอยู่ทุกที่ทุกกาล
✨ ด้วยเหตุนี้ จึงควรทำทุกหน้าที่ทั้งทางกาย จิต และวิญญาณ ด้วยการใช้ชีวิตที่มีสุขอนามัยและด้วยการคิดใคร่ครวญ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เกิดจาก ความทะยานอยากอย่างเห็นแก่ตัว มุ่งทำแต่สิ่งทิพย์สิ่งดี หลีกหนีความเกียจคร้านเฉื่อยชา ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างความพอใจให้ทั้งแก่อาตมันและพระเจ้า ✨
.
◾ จงหาบทที่พระเจ้ากำหนดให้แก่ชีวิตให้พบ ◾
นักแสดงบนเวทีชีวิตที่เกียจคร้านเฉื่อยชา หรือ นักแสดงที่ชอบขบถ ทำให้ละครของพระเจ้าสับสน ในการแสดงนั้น ตัวประกอบที่ไม่ให้ความร่วมมือหรือแสดงเกินบทที่ผู้กำกับกำหนด อาจทำให้ละครเสียหายไปทั้งเรื่องฉันใด ในชีวิตก็เช่นกัน นักแสดงที่ไม่เล่นบทของตนอย่างฉลาด ย่อมขัดขวางแผนการของพระเจ้าได้ฉันนั้น
💥 เมื่อบุคคลปฏิบัติสมาธิ และพยายามค้นจนพบกิจกรรมที่ตนควรกระทำตามแผนการแห่งพระเจ้าแล้ว เขาจะค้นพบด้วยความกระอักกระอ่วนด้วยว่า เขาต้องทำกิจกรรมหลายอย่างเพื่อชดใช้กรรมจากการกระทำและความใคร่ของอหังการที่มีมาตั้งแต่ชาติก่อน ๆ อย่างเช่น ชายคนหนึ่งเคยเป็นนักธุรกิจในชาติก่อน และต่อมา (เมื่อต้องผิดหวังกับชีวิตโลกีย์) ได้มาเกิดในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยแก่จิตวิญญาณ เขาก็ยังไม่วายพบว่าความใคร่ความอยากผุดขึ้นมาในจิตเป็นครั้งคราว เว้นเสียแต่ว่าจะสั่งสมความใฝ่ในพระเจ้าได้แล้วอย่างมั่นคง เขาควรใช้พุทธิปัญญาสลัดไล่ความใคร่ในวัตถุที่ติดมาแต่อดีตชาติ ด้วยการบอกตนเองว่า “ในชาตินี้ ฉันจะทำแต่หน้าที่อันประเสริฐ คือการรู้จักพระเจ้าเท่านั้น ฉันจะไม่ใฝ่ไปกับสิ่งใดอีกเลย”
🛑 ถ้าจิตที่คิดนั้นยังไม่สมประสงค์ เขาอาจทำกิจกรรมทางโลกต่อไป โดยคิดว่า “ในเมื่อฉันถูกความใคร่ในชาติปางก่อนไล่ต้อนให้ต้องทำธุรกิจต่อไปในชาตินี้ ฉันจะทำให้ความอยากนั้นสำเร็จ ด้วยการทำงานไม่ใช่เพื่อสนองอหังการของฉันเอง แต่เพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัยเท่านั้น”
🛑 เราต้องอย่าให้อาหารแก่นิสัยชั่วที่ติดตัวมาแต่ชาติก่อน แต่ต้องตัดมันด้วยคมดาบแห่งพุทธิปัญญา ถ้าพบว่างานนี้ยากเกินกำลัง (“จิตพร้อมแต่กายอ่อนแอ”) เขาควรอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าทุกวัน
🛑 ผู้ที่พยายามอย่างจริงใจ ไม่ย่อหย่อนในการทำให้กรรมในอดีตชาติสำเร็จ ไม่ใช่ด้วยการสนองความพอใจของอหังการ หากแต่เพื่ออิสรภาพแห่งจิตวิญญาณ สุดท้ายเขาจะได้รับการปลดปล่อย ไม่ตกอยู่ใต้การบังคับของกรรมนั้นอีกต่อไป บุคคลผู้พยายามทำกรรมของตนให้สำเร็จ ด้วยการคิดแค่จะให้พระเจ้าพอพระทัย จะเข้าใจได้ในที่สุด ว่าหน้าที่ที่เกิดจากอหังการนิสัยในอดีต กับหน้าที่ที่พระเจ้าทรงมอบหมายนั้นแตกต่างกันอย่างไร
✨ ชีวิตของมนุษย์ไม่ได้ถูกลิขิตมาล่วงหน้า พระเจ้าประทานการเลือกเสรีให้แก่มนุษย์ทุกคน ให้เขาเลือกที่จะ #มีชีวิตตามแผนการแห่งพระเจ้า หรือ #เดินไปบนเส้นทางความโง่หลงหรือความทุกข์ ถ้าผู้คนเข้าใจประเด็นนี้อย่างถูกต้องแล้วไซร้ อรุโณทัยแห่งแดนบรมสุข (ยูโทเปีย) ย่อมปรากฏ❗✨
🛑 คีตาโศลกนี้มีคำสอนที่อาจสรุปได้ว่า : มนุษย์อยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องเมื่อเขามุ่งกระทำหน้าที่ของตนเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย เขาจะไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของความเกียจคร้านเฉื่อยชา — อหังการ สบายใจอยู่กับความนิ่งเนือย หรือทำหน้าที่เพื่อสนองความพอใจของอหังการ หากแต่ทำหน้าที่เพื่อให้แผนการแห่งจักรวาลบรรลุความสมบูรณ์
🛑 ผู้ที่ทำงานเพื่อตนเอง โดยคิดว่าตนนั่นแหละคือผู้กระทำการ จะทำตามความใคร่ไปเรื่อย ๆ จากนี่ไปนั่น พัวพันจนไม่อาจปลดปล่อยตนจากปมทุกข์จาก “ผลการกระทำของตน” แต่ผู้ที่ทำงานอย่างไร้อหังการตัวตน กระทำอย่างไม่สร้างผลกรรม กระทำกิจกรรมทั้งหลายเพื่อความพอใจแห่งพระเจ้า เมื่อเขาทำงานด้วยเป้าหมายนี้เพียงอย่างเดียว เขากิน หลับ เดิน ออกกำลังกาย ดูแลครอบครัว หาเงิน และทำสิ่งดีให้แก่โลกอย่างไม่สร้างพันธะแห่งกรรม ไม่หวั่นไหวไปกับความสำเร็จและความล้มเหลว #บุคคลเช่นนี้ย่อมได้เสวยสุขจากจิตที่สงบ
.
◾ การตีความหลักการกระทำที่ถูกต้องในเชิงลึก ◾
#โศลกนี้อาจตีความในเชิงลึกได้ว่า ผู้เริ่มเดินไปบนเส้นทางการทำสมาธิทุกคน ส่วนหนึ่งถูกทดสอบโดยกิจกรรมและฟังไปกับอินทรีย์สัมผัส เมื่อเขาพยายามดิ่งสู่การรวมกับพระเจ้า ภาวะไม่น่าพอใจนี้เรียกว่า กิจกรรม หรือ อกิจกรรมที่ไม่เป็นไปในฝ่ายจิตวิญญาณ (ไม่ใช่แค่การเกียจคร้านเท่านั้น แต่รวมถึงกิจกรรมที่ไม่เอื้อต่อความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ เหล่านี้ เรียกว่า “อกิจกรรม)
💥 โยคีผู้มีความเพียรสามารถก้าวข้ามกรรเมนทรีย์ทั้งห้า โดยเพ่งจิตไปที่จักระระหว่างนั้นเอวถึงท้ายสมองไปจนถึงจักระจิตพระคริสต์ระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง บางครั้งเมื่อโยคีพ้นจากกิจกรรมทางอินทรีย์ทั้งปวง อยู่ในภาวะสุขอย่างยิ่งนั้น ท่านจะนิ่ง #ขาดความปรารถนาที่จะปฏิบัติให้ก้าวหน้าต่อไป
🛑 โยคีที่พอใจกับภาวะความสุขแห่งสัตวะนี้ ไม่พยายามเข้าถึงจักระในสมอง เพื่อรับรู้อนันตหรรษาแห่งการหลุดพ้น คีตาจึงแนะนำโยคีให้ก้าวต่อไปบนเส้นทางสมาธิ อย่าหยุดอยู่ที่ความสุขข้างทางและฤทธิ์อำนาจ โยคีผู้มุ่งมั่นจะไม่หมกมุ่นอยู่กับภาวะสุขชั้นรอง ๆ ลงไป หากแต่พัฒนาต่อไปจนไปถึงบรมวิญญาณอันสูงสุด
💥 ด้วยเหตุนี้ แม้โยคีที่พัฒนาแล้วอย่างสูงก็ยังต้องระลึกไว้เสมอว่า ท่านควรทำสมาธิเพื่อพบพระเจ้าเท่านั้น และเพื่อได้รับการอนุมัติจากพระองค์ อย่าสนองอหังการความใคร่ที่จะได้พบปรากฏการณ์หรือฤทธิ์อำนาจใด ๆ 💥
🌟 เมื่อบุคคลเริ่มติดใจตอนใดตอนหนึ่งของภาพยนตร์แห่งชีวิตที่แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา แม้ผู้มีธรรมชาติใฝ่ในทางจิตวิญญาณ ก็จะตกอยู่ในความจำกัดคับแคบ ต่อเมื่อเขาได้ชมภาพยนตร์ทั้งหมด ได้เรียนรู้บทเรียนทิพย์จากภาพยนตร์แห่งชีวิต ได้เป็นหนึ่งเดียวกับเอกภาวะเบื้องหลังภาพที่เคลื่อนไป เขาจะเป็นสุขและเป็นอิสระอย่างยิ่ง❗🌟
(มีต่อ)
หนังสือ
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
เล่ม 1 บทที่ 2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย