8 พ.ค. 2022 เวลา 10:32 • ดนตรี เพลง
[รีวิวอัลบั้ม] RAMONA PARK BROKE MY HEART - Vince Staples
สังคมทำร้ายฉัน
[รีวิวอัลบั้ม] RAMONA PARK BROKE MY HEART - Vince Staples
-กล้าเคลมว่าเพจนี้เป็นเพจที่รีวิวอัลบั้มของ Vince แทบทุกอัลบั้ม ยกเว้น Hell Can’t Wait และ Summertime ‘08 ที่ไม่ได้รีวิวเพราะยังไม่ได้เข้าวงการนี้ลึกพอ แน่นอนว่าผมถูกโฉลกงานเพลงที่ผ่านมา ไม่เว้นแม้แต่สองอัลบั้มที่ไม่ได้รีวิว ถูกโฉลกในอุดมการณ์ที่อยากจะนำเสนอฮิปฮอปรูปแบบใหม่ ไม่ตายตัวบ้าง สังเกตได้เลยว่าอัลบั้มที่ผ่านมามู้ดเพลงแทบไม่ซ้ำกันเลย อย่างที่ได้เคยรีวิวไปคือผ่านหมด เคยให้ Big Fish Theory เป็น best album ด้วย แต่สำหรับอัลบั้มนี้ ผมกลับไม่มีอารมณ์ร่วมเลยว่ะ ยิ่งกว่างาน self-titled อีกนะ
-ตอนที่รีวิวอัลบั้ม self-titled เมื่อปีกลาย เคยคิดถึงสูตรการรันอัลบั้มสั้นๆไม่ถึงครึ่งชั่วโมงไปว่า นี่อาจจะไม่ใช่สูตรที่ต้องยึดตายตัวได้นานแน่ มู้ดเพลงที่เสิร์ฟมาก็ lo-fi personal คราวนั้นผมก็เพิ่งติเรื่องข้อจำกัดที่ทำให้เราไม่ได้เห็นด้านเข้มข้นอย่างที่เคยเป็นมาตลอด กลับมาคราวนี้แกเล่นถ่างขยายมู้ดไม่เน้นพลุ่งพล่านแบบ self-titled ไปจนถึง 16 เพลง ด้วยความยาวกว่า 40 นาที ราวกับว่า มึงบ่นว่ากูทำอัลบั้มสั้นไป กูจัดให้เลย 2 เท่า ผลลัพธ์ที่ได้ เอิ่มมมม หรือว่าไอ้สูตรไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่เคยรักษาไว้ตั้งแต่ FM! และ self-titled จะดีสำหรับนายวิ้นซ์จริงๆกันแน่ เริ่มคิดไปคิดมา ณ จุดนั้น
-Length Play อาจจะไม่ใช่ประเด็นจักสำคัญอะไร หากสาสน์ของอัลบั้มหนักแน่น ชัดเจนในเป้าประสงค์มากพอ คือรู้ตัวเองว่าอยากให้คนฟังได้อะไร อยากท้าทายคนฟังก็ว่าไป แปลกดีที่ผมกลับรู้สึกว่า RAMONA PARK BROKE MY HEART เป็นความ nostalgia ถึงความรุนแรงบ้านใกล้เมืองเคียง Long Beach California ที่ล่องลอยและแสนด้านชาเสียจนมีจุดที่เริ่มจะวกวน ไม่มีจุดสะกิดต่อม thrill หรือแม้กระทั่งความรู้สึก survivor guilt ที่ตื้นเขินไปหน่อย โดนความเฉยชากลบจนแบนราบ ไม่คล้อยตามเสียเลย
-โดยเฉพาะช่วงกลางอัลบั้มตั้งแต่ EAST POINT PRAYER ที่มี Lil Baby มาแจมก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก LEMONADE ท่วงทำนอง slow jam ที่ได้ Ty Dolla $ign มาฟีทจนผมเริ่มเบื่อแล้ว ไม่รู้ว่าใครเป็นเหมือนผมมั้ย MAMA’S BOY เป็นการสรรเสริญชาวแก๊งค์ crip ที่ดูเลื่อนลอยไปเรื่อย BANG THAT ที่ประสานกับ Mustard ในแบบที่เริ่มจะหมดมุก แล้วดูเหมือน vibe เพลงจะเริ่มซ้ำๆกัน ช่วงกลางอัลบั้มเกือบจนจะจบอัลบั้มเป็นช่วง slow burn ที่ผมอยากจะกดข้าม
พื้นที่ตรงนี้สามารถ Tie-In โฆษณาได้ สินค้า บริการ ครีมได้หมด
(ยกเว้นของผิดกฏหมาย)
สนใจโฆษณาลงบนโพสต์ทั้งสองช่องทาง
เพจ Facebook ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 15,000 คน และ ใน Blockdit อีก 230 คน
ติดต่อได้ที่อีเมล์ 💌 iamistyle.4real@gmail.com
-ก่อนที่จะพูดถึงช่วงท้ายอัลบั้ม ย้อนไปที่ช่วงแรกของอัลบั้ม โอเคผ่าน ราวกับว่าผมเริ่มแววเซนส์ป็อปของนายวิ้นซ์เฉิดฉายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนแอบมีหวัง หลังจากที่เราเห็นพลังงานแบบนี้ปริ่มๆในอัลบั้มที่แล้วอ่ะนะ โดยปกตินายวิ้นซ์มาเวย์ฮาร์ดคอสุดโต่งพร้อมบวก พร้อมใส่ความ negative ทุกเมื่อ คราวนี้ในช่วงประมาณ 6 แทร็คแรก บีทเพลงที่มาจาก Mustard ปรับค่ากลางให้ catchy ติดหูคนหมู่มากได้ไม่ยาก อีกอย่างมวลรวมอารมณ์ในเพลงแอบซ่อนความไม่ชอบมาพากล anxiety PTSD ความรุนแรงบนท้องถนน ภายใต้ vibe เพลงที่ไม่ดาร์กจัด เป็นการสื่อสารกับคนฟังที่ตรงจุดและเข้าถึง point โดยไม่หนักกบาลเกินไป เป็นความพยายามในการทำเพลงลุ่มลึกทางอารมณ์ที่เข้าท่าอยู่
-อินโทรเปิดอัลบั้ม THE BEACH ชวนระลึกถึงอินโทรเปิดอัลบั้ม Summertime ‘08 ที่คราวนั้นมาอย่างดาร์ก distort เสียงริมชายหาดได้หลอนหู แต่สำหรับเพลงนี้เสียงชายหาดปกติ เสียงปืนดังปังที่ไม่กระโชกโฮกฮาก เป็นการเกริ่นนำที่เราจะได้กลิ่นความไม่ชอบมาพากลของชุมชนรอบข้าง แต่เป็น vibe ที่สบายกว่านั่นเอง AYE! (FREE THE HOMIES) เป็นการตอกย้ำความสบายรื่นหูที่เราจะได้ยินต่อจากนี้ อีกทั้งอารมณ์ของเพลงมีความประนีประนอม อยากเห็น homie ออกจากคุกรับอิสรภาพ มีโอกาสในการใช้ชีวิตบ้าง ประหนึ่งเป็น anthem เฉลิมฉลองโจรหรือนักเลงเก่าที่ได้ออกจากคุกนั่นเอง DJ QUIK เป็นการบูชาดีเจชั้นครูแห่ง west coast ที่มาในโทนเงียบ Lo-Fi ต่อด้วยเพลงตัวแทน Radio Friendly อย่าง MAGIC ที่น่าจะเปิดทางสู่ความเป็นเมนสตรีมมากที่สุด บทเพลงเฉลิมฉลองความเป็นไทของชาวแก๊ง
-NAMELESS เป็น interlude สั้นๆที่น่าสนใจในการบอกเล่าประเด็นความรุนแรงของอาวุธปืนกับการถกเถียงเรื่องการป้องกันตัวเองด้วยการต้องลั่นไก แต่ก็ต้องแลกกับการโดนลงโทษทางกฎหมายซึ่งมีพรรณนาต่อในเพลง WHEN SPARKS FLY ที่ฟังดูเผินๆเหมือนเพลงรัก จริงๆแล้ววิ้นซ์กำลังเปรียบเปรยความสัมพันธ์ระหว่างคนกับปืนที่ค่อนข้าง toxic เสียจนคนต้องเดือดร้อน ติดคุกติดตะราง sampling เพลง I Gave You Power ของ Nas ได้โดดเด่นมาก ซึ่งผมดันชอบแทร็คนี้มากที่สุดในอัลบั้มด้วย
-สองแทร็คสุดท้ายยังดีที่มีอะไรให้พูดถึง เริ่มจุดติดได้บ้าง หลังจากที่เจอกับความ slowburn ในช่วงกลางอัลบั้มที่ไม่จักสำคัญใดๆ ROSE STREET เป็นการย้ำให้ฟังช้าๆชัดๆว่า กูไม่ได้แร็ปเพลงรัก กูแค่แสดงความเคารพวิถีชีวิตชาวแก๊งค์เว้ย ซึ่งการมีเยือนร้านดอกไม้ที่ Long Beach นั้นกะเอาดอกไม้ไปวางในหลุมฝังศพของชาวแก๊งผู้วายชนม์นั่นเอง เลยลิ้งค์ต่อกันในเพลงสุดท้าย THE BLUES เหมือนเป็นคู่ขนานของเพลงเปิดอัลบั้ม THE BEACH ที่มีทั้งเสียงชายหาดและเสียงปืนที่ขัดจังหวะอย่างฉับพลัน สำหรับ THE BLUES แล้วมันคือโมเมนต์ยืนโง่ๆอยู่ริมทะเลที่ทุกอย่างรอบตัวดันด้านชาไปหมด โดยนายวิ้นซ์ใช้เทคนิคสะกดจิตคนฟังให้ด้านชาตาม (ขออธิบายเพลงนี้เยอะหน่อย)
-โดยเฉพาะท่อนฮุกที่นายวิ้นซ์พูดทั้ง Money made me numb และ Waiting ’til the Lord allows it ซ้ำกัน 6 ครั้ง จนสิ่งที่มีค่าทั้งเงินและศรัทธาในพระเจ้ากลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายไปโดยปริยาย เหมือนวิ้นซ์พยายามจะสื่อสารว่า ชื่อเสียง เงินทองทั้งหลายที่เขาสามารถหาได้ง่ายกว่าแต่ก่อน ศรัทธาในพระเจ้าเริ่มไม่มีความหมาย หากมิตรสหายรอบข้างทยอยหายไปทีละคนจากความรุนแรงหรือไม่ก็การติดคุกติดตะราง
I keep gettin' smaller houses but I won't find peace 'til the Lord allows it
THE BLUES - Vince Staples
-ท่อนนี้น่าสนใจ วิ้นซ์เผยว่า ด้วยฐานะที่เติบโตของตัวเอง เขาตัดสินใจซื้อบ้านหลังเล็ก แทนที่จะซื้อคฤหาสน์ไปเลยเพราะหลีกเลี่ยงความเหงาจากพื้นที่โล่งๆในบ้าน ถึงยังไงด้วยประสบการณ์การเติบโตในย่าน Ramona Park ที่มีความรุนแรงไม่เว้นแต่ละวัน กลับทำให้จิตใจเขาไม่มีทางสงบซักที ต่อให้มีความพยายามจะซื้อบ้านหลังเล็กก็ตาม
Can you please come post my bail?
It's a hunnid thousand
Know you say you wish me well
But I really doubt it
THE BLUES - Vince Staples
-ขอยกอีกท่อนที่น่าสนใจ เป็นการตั้งคำถามถึงความรักที่แท้จริงว่า จะมีมั้ยการที่คนนึงๆยอมมองข้ามข้อผิดพลาดของคนเหล่านั้น ต่อให้เสียเงินค่าประกันตัวเรือนแสนเพื่อให้ตัวเขาเป็นปกติสุข ไม่ใช่แค่คำอวยพร wish me well แค่ลมปาก ในเมื่อยังไม่ได้คำตอบ ก็ต้องแทนที่ด้วยการภาวนาให้อยู่รอดปลอดภัยจากใครซักคนก็ยังดี เป็นการปิดอัลบั้มที่เหงาสัดๆ ถูกแทนที่ด้วยเสียงทะเลแห่งความหว้าเหว่แทน ถ้าสังเกตให้ดีคือพอมาวนที่แทร็คแรก แม่งคือจุดวนลูปแห่งความรุนแรง แล้วจบลงที่ความว่างเปล่าชัดๆ
-แหม่อธิบายเกี่ยวกับเพลงสุดท้ายไปเยอะมาก จริงๆแล้วมันไม่มีความจำเป็นใดๆเลยกับการที่วิ้นซ์นั้นจะต้องยัดแทร็คให้ยาวยืดถึง 16 แทร็ค 41 นาทีเลยด้วยซ้ำ ควรมีแค่ 10-11 แทร็ค ไม่ควรถ่างความ slow burn ในช่วงกลางอัลบั้มเลย สาระสำคัญมันปูทางมาตั้งแต่ Self-Titled แล้วด้วยซ้ำ แต่ก็ยอมใจในความพยายามที่จะลดอีโก้ตัวเองมาทำเพลงที่ย่อยง่ายขึ้น ไร้ซึ่งการฉีกกรอบทดลอง ราวกับคนที่ออกทัวร์ก่อนช่วงโควิดมาแสนเนิ่นนาน จนได้มาอยู่บ้าน นั่งทบทวนความทรงจำในอดีตด้วยซุ้มเสียงฮิปฮอปที่คุ้นเคย
-นี่คือ chapter 2 ของการออกไปมองสังคมรอบข้างแล้วตกผลึกได้ว่า ความรุนแรงในบ้านใกล้เรือนเคียงทำร้ายจิตใจเราทางอ้อม ตามที่ชื่ออัลบั้มต้องการจะสื่อเลย ความสำเร็จทางความฝัน ชื่อเสียงเงินทอง ไม่สามารถล้างภาพความรุนแรง ความทรงจำที่เลวร้ายเหล่านั้นได้เลย เป็นการพรากความบริสุทธิ์ของหนุ่มสาวที่ต้องอยู่ให้เป็นอย่างระแวดระวัง ภายใต้ความป่าเถื่อนที่ถูกเพิกเฉย ไม่ได้รับการแก้ไข
-ยอมซื้ออุดมการณ์เหมือนเดิม แต่ไม่ขอซื้อทั้งอัลบั้มด้วยความที่มันแบนราบในช่วงกลางอัลบั้มเนี่ยแหละ จริงๆที่รีวิวมาช้าเป็นเพราะเกร็ดข้อมูลอัลบั้มนี้ดันน้อยมากๆ พอ vibe เพลงมันแบนราบขนาดนี้ ผมแอบไม่ขวนขวายที่จะไขรหัสเอามาเขียนต่อเลย มันมีแค่บางเพลงเท่านั้นที่พอจักสำคัญต่อการ support สังคมทำร้ายฉันจริงๆ อย่างน้อยไหนๆก็ตามนายวิ้นซ์มาครบทุกอัลบั้ม รีวิวครั้งนี้เป็นการเก็บตก self-development ของวิ้นซ์เลยก็แล้วกัน
ต่อให้เข้าใจ แต่ไม่ขอซื้อปกอัลบั้มอีกหนึ่งกรุบ
Top Tracks: THE BEACH, AYE! (FREE THE HOMIES), DJ QUIK, MAGIC, WHEN SPARKS FLY, PLAYER WAYS, ROSE STREET, THE BLUES
Give 6.5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา