8 พ.ค. 2022 เวลา 12:20 • ปรัชญา
จะหนี หรือ จะสู้ต่อ?
ไม่อยากรับรู้ หรือเจอหน้าใครทั้งนั้น มันรู้สึกว่าอยากจะเอาตัวออกจากโลกใบนี้ อยากให้ประตูห้องนอน เป็นห้องแห่งกาลเวลา ที่เราสามารถเข้ามาหลบ หลีกหนีจากโลกของความเป็นจริง
ไม่ต้องมีเวลา ไม่ต้องรู้สึก ไม่หิว ไม่เหงา ไม่โกรธ ไม่เกลียด อยู่ในสภาวะไร้น้ำหนัก ไร้ซึ่งพันธะ ภาระ ความผูกผัน และความรับผิดชอบต่าง ๆ
ตอนนี้ เราหลบมาอยู่ในห้องแห่งกาลเวลาแล้ว มันรู้สึกปลอดภัย ไม่ต้องกลัวใครจะมาทำร้าย ไม่ต้องกลัวว่าใครจะทำให้เสียใจ อยู่ในช่วงเวลา และความรู้สึกที่เราเลือกอยากจะเป็น อยากจะรู้สึก เป็นห้องที่เราสามารถเอาแต่ใจตัวเองได้เต็มที่
แต่ถึงเวลาที่เราต้องกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้วสินะ
การที่จะก้าวออกไป มันต้องใช้ความกล้าหาญ เผชิญหน้ากับความรู้สึกที่จะถาโถมเข้ามา เหมือนกำลังจะเปิดประตูไปเจอคลื่นยักษ์ ที่จะซัดเข้ามากระแทกหน้า กลายเป็นน้ำตาที่ท่วมท้น แรงกระแทกทำให้ หมดแรง และล้มลงและไม่อยากจะลุก
น้ำจากคลื่นที่ซัด ไหลเข้าตาและจมูก ตาบวม จมูกบวม หายใจไม่ออก เป็นเพราะพายุและคลื่นชีวิตมันซัดน้ำตาเข้ามานี่เอง
ห้องแห่งกาลเวลาไม่มีอยู่จริง เพราะเวลายังคงเดินต่อไป และข้างนอกห้องนั้น โลกแห่งความเป็นจริง ก็ยังคงเป็นทะเลชีวิตที่กว้างใหญ่
คลื่นชีวิตยังคงอยู่ในทะเล ซึ่งเราอาจจะมองไม่เห็นมัน ในเวลาที่ทะเลสงบ
สายลม เสียงนก ความเบาสบาย ความอบอุ่น ความเพลิดเพลิน การปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับฟองคลื่นเล็ก ๆเสียงคลื่นที่กระทบมาเป็นระลอก ทำให้อยากนั่งอยู่ตรงนี้นานๆ ในเวลาที่ทะเลสงบ เราอยากจะดื่มด่ำกับช่วงเวลานี้ และไม่อยากให้มันหายไปเลย
แต่ท้องฟ้ากลับเริ่มมืดลง ลมเริ่มพัดแรงขึ้น ความหนาวเริ่มทำให้เราต้องโอบกอดตัวเองไว้ เสียงคลื่นในทะเลเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ คลื่นลูกเล็ก และคลื่นลูกใหญ่ เริ่มปั่นป่วนกระทบกัน น้ำทะเลเริ่มกระเซ็นสูงขึ้น สูงขึ้น
ความชื้น ความหนาว ลมที่กระโชกแรง การกอดตัวเองคงไม่สามารถปกป้องร่างกายให้อุ่นได้เพียงพอ
มือที่เริ่มซีด ปากเริ่มสั่นจากความหนาว ลมและสายฝนที่พัดแรง จนเราไม่สามารถลืมตามองอะไรได้เลย ทำได้แค่นั่งกอดเข่า และก้มลงกอดตัวเองให้แน่นขึ้นกว่าเดิม
เราทำได้แค่นั่งอยู่ตรงนั้น ด้วยใจที่สั่นผวา มันช่างมืด และไม่มีทางสู้ได้เลย เราคือผู้แพ้อย่างสมบูรณ์แบบ ในใจได้แค่ภาวนาให้พายุระลอกนี้ผ่านไปสักที ภาวนาให้มีคนมองเห็น และเข้ามานั่งโอบกอดข้างๆ นั่งด้วยกันจนกว่าพายุจะผ่านไป
หลังจากความบ้าคลั่งที่โหมกระหน่ำจนทุกอย่างเปียกปอนไปหมด ฝนก็เริ่มซาลง ทะเลเริ่มกลับไปหลับใหลอีกครั้ง
เราค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา รับแสงอาทิตย์ รับไออุ่นและสายลมเบาๆ ตอนนี้ความเปียกชื้น และความหนาวสั่น ได้หายไปหมดสิ้นแล้ว
เราเงยหน้ามองท้องฟ้า และหวังในใจลึกๆ ว่า หลังจากนี้ เจ้าพายุนั้นคงจะไม่หวนกลับมาอีกแล้วสินะ
มันจะไม่กลับมาแล้วจริงๆ หรอ ? พายุมันจะผ่านไป แล้วจะไม่มีอีกแล้วจริงๆ ใช่มั้ย
เป็นคำถามที่เรามักถามตัวเองอยู่เสมอ และคำตอบที่ไม่อยากได้ยินก็มักจะผุดขึ้นมา
อย่าหลอกตัวเองเลย เพราะเจ้าพายุ มันก็แค่หลับอยู่ แล้วเมื่อไหร่ที่ได้เวลา มันก็จะตื่นขึ้นมา และอาละวาดอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง วนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่แบบนี้ มันไม่มีวันหยุด มันจะมาแบบไม่มีเวลาที่แน่นอน ไม่มีเวลาให้เราเตรียมใจล่วงหน้าได้เลย
มันจะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ โครตเป็นพายุที่เอาแต่ใจตัวเองจริงๆ
แล้วเราจะไหวมั้ยหล่ะ ที่ต้องคอยเผชิญหน้ากับพายุที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลย และต้องเจอกับความไม่แน่นอน เหมือนใช้ชีวิตอยู่กับคนเป็นไบโพลาร์
บางวันอบอุ่น สบาย ผ่อนคลาย บางวันเย็นชา โหดร้าย ไร้เหตุผล
จนถึงจุดหนึ่ง เราบอกตัวเองว่า เราไม่ไหว และเราจะไม่ยอมทนอีกต่อไป และเราก็ดิ้นรนจนเจอทางออก
มันคือห้องแห่งกาลเวลา เป็นประตูทางหนี ที่เราค้นพบเมื่อไม่นานมานี้
เราสามารถเข้าไปแล้วปิดประตู ไม่ต้องรับรู้ใดๆ ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องได้ยิน ไม่ต้องรู้สึกถึงปัญหา หลบพายุ หลบคลื่นชีวิตที่จะถาโถมเข้ามากระแทกใส่เราให้ล้มลง
ห้องแห่งกาลเวลา เป็นห้องที่เราใช้นั่งทำงาน ดูหนัง ผ่อนคลาย พูดคุยกับคนที่เราอยากคุยด้วยเท่านั้น
ห้องนี้เป็นห้องที่สงบ มันมีพลังงาน ที่ทำเราสามารถตกผลึกความคิดต่างๆ ตั้งเป้าหมาย โดยไม่ต้องสนใจสิ่งรอบตัว ไม่วุ่นวาย และในขณะที่เขียนบทความนี้เราก็นั่งเขียนอยู่ในห้องแห่งกาลเวลาของเรานี้แหละ
แต่เราคงอยู่ในห้องนี้ตลอดไปไม่ได้ใช่มั้ย เพราะโลกแห่งความจริง มันก็ยังดำเนินของมันอยู่
มันไม่มีปาฏิหาริย์ มันไม่มีของวิเศษ ไม่ได้มีซุปเปอร์ฮีโร่ หรืออะไรทั้งนั้น
มันมีแต่โลก และดวงอาทิตย์ที่กำลังหมุนรอบตัวเองและโคจรไป ทำให้เวลาเคลื่อนผ่านไป เหมือนกระแสน้ำที่ไม่สามารถหยุดไหลได้ เหมือนทะเลที่ต้องมีระลอกคลื่นเคลื่อนไหวเสมอ เหมือนลมและอากาศที่ไม่มีวันหยุดพัด หรือหมดไปจากโลกนี้
เราเป็นแค่เศษผง หรืออาจจะเล็กกว่าเศษผงก็ได้ ในกระแสแห่งกาลเวลาของจักวาลนี้
จริงๆ แล้วประตูที่กั้นระหว่างห้องแห่งกาลเวลา และโลกแห่งความเป็นจริง ก็เป็นเพียงแค่เส้นบางๆ เท่านั้น
ห้องแห่งกาลเวลาที่เราหนีเข้าไปหลบซ่อนตัว ปกป้องตัวเอง ก็เป็นเพียงแค่ก้อนสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ไหลไปตามกระแสน้ำแห่งชีวิตที่เราไม่เคยมองเห็น เพราะมันกว้างมาก และตัวเราก็เล็กมาก ทำให้เราคิดไปเองว่าเรามีอำนาจที่จะสามารถฝืน ขัดขืน และหนีจากพายุ คลื่นชีวิต และกระแสแห่งกาลเวลาได้
ที่ผ่านมา เราอาจจะเข้าใจผิดว่าเราได้สู้แล้ว เราได้หนีมันมาแล้ว
จริงๆ แล้ว เราไม่ได้แม้แต่จะมีโอกาสได้หนี หรือมีโอกาสสู้เลย เพราะชีวิตเราแค่ถูกพัด หรือไหลไปกับมัน ไม่อาจจะขัดขืน ไม่อาจจะกระโดดออกมาจากกระแสนี้ได้
เราไม่สามารถหนี และเราไม่สามารถสู้มันได้เลย
เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของกระแสแห่งกาลเวลานี้
ถ้านี้คือความจริงที่เราต้องทำความเข้าใจใหม่ การหนีปัญหาไปหลบอยู่ในห้อง หรือการเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับปัญหาก็คงไม่ต่างกัน
เมื่อรู้ความจริงนี้แล้ว เรายอมมั้ยหล่ะ รับได้มั้ยหล่ะ ที่จะไหลไปตามกระแสนี้
อย่าฝืน หรือขัดขืนอีกเลย ศิโรราบ ลดอัตตา ไม่ต้องได้ทุกอย่าง แต่สัมผัสและเรียนรู้กับทุกอย่างที่เข้ามาในกระแสแห่งชีวิต
ลองดูมั้ย ว่าเราจะเหนื่อยน้อยลง ทุกข์น้อยลง เลิกเปรียบเทียบน้อยลงหรือเปล่า
สัมผัสทุกพลังงาน สัมผัสทุกความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ สัมผัสความเย็นยะเยือกและเปียกชื้น สัมผัสความหนาวสั่นถึงขั้วหัวใจจากพายุและคลื่นลม
ปล่อยให้ชีวิต ไหลไปตามกระแส แล้วลองดูสิว่า กระแสนี้จะพาเราไปสู่อะไรได้อีกบ้าง
เรายอมศิโรราบต่อทุกอย่างแล้ว จงพาเราไหลไป เพื่อให้เราเข้าใจความหมายของกระแสแห่งชีวิตนี้
Writer Note:
เมื่อวานก่อนเขียน เกิดเหตุการณ์บางอย่าง ทำให้เรามีอารมณ์ไม่พอใจ สับสน ว้าวุ่นจนนั่งทำงานไม่ได้ เลยเปิดฟังนิ้วกลม พูดถึงหนังสือเรื่อง สิรธรรถะ ทำให้ได้มุมมองเชิงปรัชญาบางอย่าง (ฟังจบก็สั่งหนังสือเลย)
พอตื่นเช้ามาความรู้สึกแย่ๆ และสับสนนั้นยังไม่หายไป เลยเปิดคอมและเขียนบทความนี้ เพื่อระบายอารมณ์และความรู้สึกออกมา พอเขียนเสร็จทำให้เข้าใจตัวเอง และความจริงในการใช้ชีวิตได้มากขึ้น หลังจากนี้ คงต้องใช้การเขียนระบาย และการสะท้อนภาพความคิดจากตัวหนังสือ มาช่วยตบตัวเองให้ได้สติเรื่อยๆ
โฆษณา