8 พ.ค. 2022 เวลา 17:54 • ธุรกิจ
ผมเป็นคนเพื่อนน้อย...
น้อยจริงๆ น้อยจนนับคนได้ไม่เกินจำนวนนิ้วที่มีอยู่ในมือหนึ่งข้าง
 
ไม่ใช่เพื่อนที่เป็นแค่คนรู้จัก แค่พูดคุยกันเฉยๆ ตามมารยาท เพื่อนในที่นี้ผมหมายถึงเพื่อนที่เป็นเพื่อนจริงๆ ที่เราสนิทด้วย คือสนิทใจที่จะพูดคุย สนิทใจที่จะเปิดเผยเรื่องราวต่างๆ ไว้เนื้อเชื่อใจกันและกันได้ เพื่อนแบบนี้แหละที่ผมมีอยู่ไม่กี่คนในโลก ส่วนตัวผมรู้สึกว่าคนเราไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนเยอะมากก็ได้ เอาแค่น้อยๆ แต่มีคุณภาพ น่าจะดีกว่าการมีเพื่อนมากๆ แต่ไร้ซึ่งความผูกพันใดในความรู้สึก
ทำเป็นปากดี จริงๆ ก็แค่พูดให้กำลังใจตัวเองไปอย่างนั้นแหละ ก็สงสัยเหมือนกันว่าเราน่าจะนิสัยไม่ดีในสายตาคนอื่นรึเปล่า
แต่โชคดีว่ายังมีเพื่อนที่พอจะเรียกได้ว่าสนิทกันอยู่บ้าง และหนึ่งในเพื่อนสนิทไม่กี่คนที่ผมพอจะมีอยู่นั้นเป็นคนญี่ปุ่น ขอเรียกเธอสั้นๆ ว่าเคก็แล้วกัน
เคเป็นเพื่อนผู้หญิง แต่ลึกๆ แล้วสำหรับผม เคดูจะเป็นเหมือนเพื่อนผู้ชายเสียมากกว่า ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมและการแต่งเนื้อแต่งตัวที่ดูเท่ๆ เหมือนผู้ชาย แถมนิสัยของเคยังดูห้าวๆ ไม่ได้อ่อนหวานสุภาพเรียบร้อยเหมือนผู้หญิงญี่ปุ่นในอุดมคติของชายไทย เพราะอย่างนี้ผมเลยรู้สึกว่าเคเหมาะจะเป็นเพื่อนผู้ชายสำหรับผมเสียมากกว่า
แต่ไม่ว่าเคจะเป็นเพื่อนผู้หญิงหรือเพื่อนผู้ชาย สำหรับผม เคก็คือเพื่อนที่จริงใจ นิสัยดี และมีน้ำใจมากคนหนึ่งที่ผมมีในโลกนี้ ผมกับเครู้จักกันเพราะเราได้ทำงานที่เดียวกัน อพาร์ทเม้นท์ของเราก็อยู่ใกล้กัน เวลาเลิกงานดึกๆ เราก็ได้กลับบ้านพร้อมกันบ่อยๆ แถมยังมีโอกาสได้แวะไปนั่งกินดื่มด้วยกันจนดึกดื่นค่ำคืนบ่อยๆ อีก ด้วยเหตุผลเหล่านี้กระมังถึงทำให้เราสนิทกันได้
เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้วที่เคได้ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ตอนนี้เคตัดสินใจลาออกจากงานประจำในกรุงเทพฯ และตั้งใจที่จะหยุดพักชีวิตการทำงานไว้ชั่วคราว เพื่อเอาเวลาไปเดินทางท่องเที่ยวดูโลกบ้างอย่างที่เธอชอบ และหลังจากนั้นก็คงถึงเวลาที่เคจะต้องกลับบ้าน หรือก็คือกลับญี่ปุ่นนั่นแหละ
ผมถามเคว่าแล้วยังจะกลับมาเมืองไทยอีกไหม เคบอกว่าตอนนี้ยังไม่แน่ใจ แต่ยังไงก็คงต้องกลับบ้านก่อนและคงใช้เวลาตัดสินใจอีกพักใหญ่ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตดี
ในขณะที่อนาคตยังเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนสำหรับเค และยังไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนเราจะได้เจอกัน ในช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนที่เคจะซาโยนาระบางกอกไป เราก็ได้แวะไปนั่งกินดื่มด้วยกันอีกครั้ง เคบอกว่าอยากกินไก่ย่าง ผมเลยตัดสินใจพาเคไปกินไก่ย่างร้านโปรดของผมในซอยอ่อนนุช เป็นร้านประจำที่ผมแวะมาทานบ่อยเพราะอยู่ใกล้บ้าน
ชื่อร้านคือลำดวนเนื้อย่าง ลำดวนคือชื่อเล่นของเจ้าของร้าน สาวอีสานวัย 44 ที่เดินทางจากมหาสารคามมาหาอะไรทำที่บางกอก หลังลาออกจากการทำงานในโรงงานเพชรพลอยเพราะเบื่อการเป็นลูกจ้าง เลยปรึกษากับสามีที่เป็นชาวอีสานด้วยกันว่าจะเปิดร้านขายอาหารอีสาน จากร้านเล็กๆ ที่เริ่มในต้นขายในช่วงปี พ.ศ.2533 ก่อนจะขยับขยายกลายเป็นร้านตึกแถวติดแอร์สองห้องอย่างในปัจจุบัน
ร้านนี้มีอาหารอร่อยหลายเมนู แต่ขอเลือกสัก 2 เมนูที่มาแล้วต้องสั่ง มาแนะนำสัก 2 เมนูแล้วกัน ตั้งชื่อร้านว่าเป็นเนื้อย่างลำดวน แน่นอนว่าเมนูแรกก็ต้องเป็นเนื้อย่าง เคล็ดลับอยู่ที่การเลือกใช้เนื้อโคขุนแบบที่ร้านเนื้อย่างดีๆ เค้านิยมใช้กัน ซึ่งกว่าจะได้เนื้อแบบนี้มาก็ต้องตระเวนหากันอยู่เกือบจะครบทุกตลาดในกรุงเทพฯ เนื้อของลำดวนจะหมักไม่ต่ำกว่า 6-7 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เพื่อให้เนื้อนุ่มและเครื่องปรุงทุกอย่างเข้าถึงเนื้อใน หมักทิ้งไว้ข้ามวันได้ก็ยิ่งดี เวลาย่างเอาแค่สุกพอประมาณ ย่างนานเกินจะแห้งและแข็ง ถ้ากะเวลาสุกเป็นจะได้เนื้อย่างที่ฉ่ำชุ่มไปด้วยเครื่องเทศอยู่ภายใน เป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยประสบการณ์ล้วนๆ
อีกหนึ่งเมนูแนะนำคือไก่ย่าง เนื้อไก่ที่นุ่มแน่นกล่อมกลมกำลังดี หอมกลิ่นพริกไทยดำ หลังการหมักไก่ทิ้งไว้ 5-6 ชั่วโมง จะนำไปอบถ่านประมาณ 10-15 นาที ในช่วงนี้น้ำมันส่วนเกินที่อยู่ในเนื้อไก่จะค่อยๆ ไหลหยดออกมา ลดความมันเลี่ยนออกไปได้เยอะ การอบทำให้เนื้อไก่นุ่มกว่าปกติ แถมยังทำให้สุกถึงเนื้อในได้โดยไม่ทำให้หนังเกรียม หลังอบเสร็จจึงนำไปย่างต่อด้วยไฟกลางๆ อีกครั้งบนเตาถ่าน
ร้านนี้ขายไก่ย่างแค่วันละประมาณ 10 กิโลกรัม ตั้งใจว่าจะขายให้หมดแค่วันต่อ
วัน เพราะเนื้อไก่ไม่เหมือนเนื้อวัวที่หมักเก็บไว้ค้างคืนได้ ฉะนั้นใครที่ตั้งใจจะมากินไก่ก็ควรจะรีบๆ หน่อย เพราะไก่มักจะหมดเร็วกว่าเนื้อ ส่วนที่พิเศษอีกอย่างของไก่ย่างที่นี่คือการใส่หอมเจียวทอดกรอบมาให้กินแกล้ม เป็นสูตรเดียวกับที่ไก่ย่างที่บ้านเกิดผม เมื่อหอมเจียวกรอบๆ มาเจอกับไก่ย่างเนื้อนุ่มหอมมันก็ยิ่งเข้ากันไปใหญ่ อย่าลืมสั่งข้าวเหนียวร้อนๆ มากินคู่กันสักกระติ๊บจะดีมาก
ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผมกับเคไปนั่งกินอาหารอีสานด้วยกัน ไม่เคยมีครั้งไหนที่เคจะกินข้าวเหนียวหมดกระติ๊บ เคเป็นคนกินน้อย ทุกครั้งที่เคกินไม่หมด เคก็จะยกข้าวเหนียวในกระติ๊บนั้นส่งให้ผมกินต่อ รวมถึงอาหารอย่างอื่นด้วย นี่เป็นความลงตัวอย่างหนึ่งในการคบกันของเพื่อนสองคนที่มีอุปนิสัยในการกินที่แตกต่าง คือเคกินน้อย ผมกินเยอะ เคกินไม่หมด ผมกินไม่พอ เคส่งต่อให้ผม ผมรับมากินต่อ แบบไม่ต้องมานั่งคิดเล็กคิดน้อย และผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรหากจะต้องกินของต่อจากเค
แต่คราวนี้เห็นทีจะไม่เป็นเหมือนทุกครั้ง และผมคงต้องสั่งข้าวเหนียวเพิ่ม เพราะคราวนี้ เคกินข้าวเหนียวหมดกระติ๊บ
เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ผมเห็นเคกินข้าวเหนียวหมดกระติ๊บ ผมถามเคว่าทำไมคราวนี้กินข้าวเหนียวหมดได้ เคบอกว่าความหิวอาจจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่เหตุผลหลักสงสัยจะเป็นเพราะไก่
“ไก่ย่างร้านนี้อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมา”
ผมไม่ได้ถามเคต่อ เรื่องที่บอกอร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมา หมายความว่าเป็นไก่ย่างที่อร่อยที่สุดตั้งแต่ที่เคยได้กินมาในเมืองไทย หรืออร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมาตลอดทั้งชีวิตกันแน่ แต่ถึงอย่างไรมันก็คงจะเป็นไก่ย่างที่อร่อยมากสำหรับเค เพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน ที่ผมเห็นเคหวงจานไก่ย่างไว้กินคนเดียว แม้อาหารจานอื่นจะอร่อยไม่แพ้กัน แต่วันนี้เคบอกว่าอย่างอื่นไม่กินก็ได้ ขอแค่ไก่ย่างเท่านั้นที่เคต้องการ
ดีใจที่ได้ยินเคพูดเช่นนั้น ถึงแม้ว่าวันนี้อาจจะเป็นมื้อสุดท้ายที่เราได้กินอาหารด้วยกัน ก่อนที่เคจะซาโยนาระบางกอกไป และก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่จะได้มานั่งกินดื่มด้วยกันแบบนี้อีก แต่ถึงอย่างไรเคก็จะยังคงสถานะเพื่อนที่น่ารักแบบนี้ตลอดไปสำหรับผม
หากเส้นทางชีวิตของคนเราเป็นเส้นตรงคนละเส้น เส้นตรงของผมกับเส้นตรงของเคก็คงจะเป็นเส้นตรงสองเส้นที่พาดผ่านมาตัดกันในช่วงเวลาหนึ่ง และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เส้นตรงสองเส้นนั้นจะเดินทางของมันต่อ บางคนเกิดมาได้ใช้เวลาร่วมกันแค่ช่วงสั้นๆ แต่หากช่วงสั้นๆ นั้นมีคุณค่าพอให้จดจำ มันก็คงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ยืนยาวในความรู้สึกไปอีกแสนนาน
และผมก็คงอดไม่ได้ที่จะต้องคิดถึงเคทุกครั้งที่ได้แวะมากินไก่ย่างที่ร้านนี้ ไก่ย่างที่เคบอกว่าอร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมา
หากไม่ได้คิดถึงกรุงเทพฯ ไม่ได้คิดถึงชีวิตที่นี่ ไม่ได้คิดถึงเพื่อนคนนี้ อย่างน้อยก็ขอให้คิดถึงไก่ย่างก็ยังดี
หวังว่าไก่ย่างจานนี้คงจะมีแรงดึงดูดมากพอที่จะทำให้เคอยากกลับมากินอีก
เพราะนั่นหมายความว่าเพื่อน
อาจจะมีโอกาสได้กลับมาเจอเพื่อนอีกครั้ง
โฆษณา