9 พ.ค. 2022 เวลา 05:38 • หุ้น & เศรษฐกิจ
หุ้นไทยเสี่ยงโดนบอมซ้ำ!! Short Sales พุ่ง 9 พันล้านบาท สูงสุดในรอบปี เตือนนักลงทุนเตรียมรับแรงกระแทก
ตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงเข้ามารุมเร้าไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายในประเทศและนอกประเทศ ล่าสุดนายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ได้ออกมาเปิดเผยถึงประเด็น SET Index ที่ทวีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลอย่างไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบ
ทั้งนี้นายประกิต สิริวัฒนเกตุ เปิดเผยว่า ปริมาณการ Short Sales ศุกร์ที่ผ่านมาพุ่งเกือบแตะระดับ 9 พันล้านบาท จนทำให้ Short Sales ทำจุดสูงสุดในรอบปี โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาปริมาณการ Short Sales อย่างมากก็แค่ระดับ 8.5 พันล้านบาท ในช่วงต้นเดือนมีนาคม ที่มีเรื่องของรัสเซียบุกยูเครน ทำให้ Short Sales อยู่นระดับที่สูง
แต่ปัจจุบันไม่มีประเด็นเพิ่มเข้ามาใหม่เลย โดยไม่มีข่าวลบรุนแรง คือ ช่วงที่มีข่าวลบรุนแรง อย่างรัสเซียบุกยูเครน พูดง่ายๆ คือ อารมณ์ตอนความกลัวตอนนั้นทำให้เกิดแพนิค ทำให้ Short Sales อยู่นระดับที่สูง จึงไม่แปลก แต่สัปดาห์ก่อนดูซึมๆลง แล้ว Short Sales อยู่นระดับที่สูงแบบนี้ เรียกว่า “แปลก” แม้ว่าปริมาณข่าวลบยังมีอยู่ แต่ไม่น่าจะทำให้ตกใจ และที่สำคัญ Short Sales ที่จำนวนมากในช่วงต้นมีนาคมดังกล่าว เป็นวันที่ดัชนีตลาดหุ้นร่วงแรง แต่วันศุกร์ที่ผ่านมาไม่ได้เป็นแบบนั้น เพียงแค่ 13 จุด ถือว่าไม่เยอะ แต่ทำไม Short Sales ทำจุดสูงสุดในรอบปี?
อย่างไรก็ตามจากปริมาณการ Short Sales ศุกร์ที่ผ่านมาพุ่งเกือบแตะระดับ 9 พันล้านบาท ดังกล่าว หากนำมาหารด้วยมูลค่าซื้อขายของทั้งตลาด เปอร์เซ็นการ Short Sales กลายเป็น 12.3% ถือว่าสูงที่สุดตั้งแต่ตนเองทำงานมาเลย หรือตั้งแต่ที่ตนเองเคยเห็นมาเลย
โดยในช่วงปีโควิด-19 ก่อนที่จะมีเหตุการณ์เกิดซูเปอร์สเปรดเดอร์ การแพร่ระบาดเกิดขึ้น Short Sales ในช่วงนั้นทะยานไปราว 8 พันล้านบาทซึ่งถือเป็นระดับสูงสุด คิดเป็น 8%ของมูลค่าการซื้อขายภาพรวมในช่วงเวลานั้น ซึ่งก็ถือว่าน่าตกใจแล้ว และตามมาด้วยแพนิค เกิดเหตุการณ์ Circuit Breaker (เซอร์กิตเบรกเกอร์)
ดังนั้นการที่ Short Sales มาในระดับสูงมักจะตามมาด้วยประเด็นบางอย่าง อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ปริมาณ Short Sales เมื่อเทียบกับมูลค่าซื้อขายของตลาดจะไม่เกิน 8-9% แต่ตอนนี้กลายมาเป็น 12% จึงมองว่ามีความต้องการบางอย่างที่จะ “ขย่ม” หุ้นไทยรออยู่ นั่นแปลว่าตลาดจะซบเซา และจะมีจังหวะร่วงแรงให้เห็น
ทั้งนี้ยังมีความน่ากลัวรออยู่ ซึ่งมองว่าประมาทไม่ได้ ทั้งรัสเซีย-ยูเครน ที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น รวมทั้งการเทอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งมองว่าวงเงิน Block Trade อีก 4.3 หมื่นล้านบาท จะเป็นตัวซ้ำให้แย่ลง โดยในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยลดลงรุนแรงภายใน 2 วันช่วงรัสเซียบุกยูเครน วงเงิน Block Trade ทะยานขึ้นไป 5.8 หมื่นล้านบาท แต่พอปูตินสั่งการเท่านั้น วงเงิน Block Trade ก็โดนเช็กบิล ซึ่งต้องตัดขาดทุนเยอะมาก เหลือราว 4.3 หมื่นล้านบาท แปลว่าหายไปราว 1.5 หมื่นล้านบาท ทำให้เกิดเหตุการณ์ลดลงรุนแรง
“เวลา Block Trade ถืออยู่ เวลาหุ้นร่วงแรง ก็จะตามมาด้วย Forced Sell ก็จะยิ่งซ้ำๆ ที่จะแห่กันเท แต่ตอนนี้ยังไม่เป็นแบบนั้น แต่มันน่ากลัวว่าจะเป็น เพราะวงเงิน Block Trade จากวันนั้น ถึงวันนี้ยังไม่ฟื้นขึ้นมา แปลว่าคนโดนโดนตัดขาดทุนในช่วงนั้นยังไม่กลับมา และวงเงิน Block Trade ยังค้างๆคาๆ แม้ตลาดจะดูเหมือนดีขึ้น ก็ไม่สามารถกลับมาได้ แต่ตอนนี้ตลาดกำลังจะแย่ต่ำกว่า 1600 จุด แต่ถ้าตลาดโดนเทลงมาหนักๆ วงเงิน Block Trade อีก 4.3 หมื่นล้านบาท จะต้องเทลงมา หากย้อนกลับไปปี 2018 ช่วงที่เงิน Block Trade ลดลงมารุนแรง และค้างอยู่กับที่ เปรียบเสมือนที่ตลาดเทลงมา ก็ยังค้างอยู่กับที่ แต่เมื่อไหร่ที่ตลาดลดลงแรง วงเงิน Block Trade ก็อาจจะเป็นตัวซ้ำอย่างรุนแรง”นายประกิต กล่าว
ดังนั้นวันนี้สิ่งที่เห็นปัจจุบัน เป็นแค่จังหวะการซึม แต่จะตลาดหุ้นไทยจะมีช่วงของการร่วงลงอย่างรุนแรงแน่นอน วงเงิน Block Trade ก็จะต้องหาย จึงมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะต่ำกว่า 1,600 จุด ซึ่งหากช่วงนี้นักลงทุนต้องการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ให้รอช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน 65 โดยปลายปีนี้น่าจะมีข่าวดียุบสภาเลือกตั้งของประเทศไทยซึ่งถือเป็นความหวังได้
อีกประเด็นที่เป็นความเสี่ยง คือนักลงทุนต่างชาติมีสถานะ Short ต่อเนื่อง โดยในเดือนนี้ผ่านไปแล้ว 3 วัน Short ไปแล้ว 3 หมื่นสัญญา และเดือนก่อนหน้า 6 หมื่นสัญญา ทำให้ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีกลายเป็ 6 หมื่นกว่าสัญญา โดยการ Short นี้เป็นการเปิดสถานะใหม่ด้วย ซึ่งมองว่าน่ากลัว หาก Short ถึงจุดๆหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าจะเทขายหุ้นหรือไม่
ดังนั้นหากถามว่านักลงทุนจะต้องทำอย่างไร มองว่าต้องเหลือหุ้นบางกลุ่มอย่าง โรงแรม โรงพยาบาล ค้าปลีก และบริหารสินทรัพย์บางตัว อย่าง JMT ที่จะเข้าสู่ MSCI global ได้ ที่จะเป็นข่าวดี แต่ภาพรวมตลาดจะยังไม่ดีเท่าไหร่ อาจจะมีกลุ่มโรงกลั่น และถ่านหินที่จะเอาตัวรอดได้ โดยต้องมีเงินสดราว 40%รอสวนกลับเข้ามา
ติดตามอัพเดตความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
.
Facebook : Wealthy Thai
โฆษณา