การพัฒนาไปสู่การเป็น Smart City ของกรุงเทพฯและสิงคโปร์
การพัฒนาไปสู้ Smart City ของกรุงเทพฯ จำเป็นที่จะต้องใช้เวลา เพื่อให้พอเห็นภาพตาม เทรนด์มีซี่จึงขอนำเอากรอบ 4 ใน 7 หลัก Smart City ของ DEPA มาใช้
เพื่อแสดงให้เห็นว่ากรุงเทพฯ วิเคราะห์ว่ากรุงเทพฯ ของเรานั้นพัฒนาไปอย่างไรบ้างแล้ว โดยจะขอนำไปเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเป็น Smart City เพื่อให้เห็นทิศทางของการพัฒนา
1. ด้านพลเมือง
สิงคโปร์: ในปี 2018 ได้มีการเปิดตัวแอปพลิเคชัน Moments of Life เป็นบริการสำหรับครอบครัวตั้งแต่ การแจ้งเกิด, แจ้งรับผลประโยชน์การมีบุตร, การติดตามประวัติสุขภาพบุตร เช่น การฉีดวัคซีน ครบจบในแอปฯ เดียว
กรุงเทพฯ: เปิดตัวแอปพลิเคชัน "ทะเบียนบ้านดิจิทัล" ในช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2022
2. ด้านการดำรงชีวิต ความปลอดภัย
สิงคโปร์: ตั้งแต่ปี 2012 รัฐบาลสิงคโปร์นำเทคโนโลยีอย่างกล้องวงจรปิด ติด มากกว่า 50,000 ตัว ต่อมาในปี 2017 ก็ได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน MyResponder ที่สามารถแจ้งเตือนอาสาสมัครให้เข้ามาช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทันที ก่อนที่รถพยาบาลจะเดินทางมาถึง มีระบบ Elderly Monitoring System (EMS) เซนเซอร์ในบ้านเพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวของผู้สูงอายุ
กรุงเทพฯ: ในปี 2017 พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่ากรุงเทพฯ ได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดครอบคลุมพื้นที่แล้ว จำนวนทั้งสิ้น 53,249 ตัว แต่ยังไม่ใช่กล้อง AI ทั้งหมด โดยที่ 80% ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ และตำรวจเป็นผู้ควบคุมการจราจร
นอกจากนี้กรุงเทพฯ มีแอปพลิเคชัน "หมอ กทม." ที่เป็นช่องทางในการเชื่อมโยงข้อมูลด้านสุขภาพ และอำนวยความความสะดวกให้แก่ประชาชนในการเข้าถึงบริการรักษาทางการแพทย์ ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น จ่ายเงินผ่านแอปได้ โดยได้มีการเปิดใช้งานในเดือนมีนาคม 2022
3. ด้านพลังงาน
สิงคโปร์: มีการตั้งเป้าจะเปลี่ยนมาใช้รถ EV ให้หมด เช่น เปลี่ยนรถบัสเป็นรถไฟฟ้า 100% พร้อมเพิ่มจุดชาร์จแบตเตอรี่เพื่อรองรับยานยนต์ไฟฟ้าที่จะมีเพิ่มขึ้น ภายในปี 2040
กรุงเทพฯ: ตั้งแต่ปี 2011 กระทรวงพลังงาน และกรุงเทพมหานคร ร่วมมือในการสนับสนุนทางวิชาการและงบประมาณ ในการเผยแพร่ความรู้ สร้างจิตสำนึก อบรม และในปี 2022 ขสมก. มีแผนการดำเนินการระยะสั้นในการจ้างเอกชนวิ่งให้บริการ ใช้รถพลังงานไฟฟ้า (EV) ใช้ NGV แทนรถเก่า และส่งเสริมการลงทุนพลังงานสีเขียว
4. ด้านสิ่งแวดล้อม
สิงคโปร์: ให้คณะกรรมการพัฒนาที่อยู่อาศัยของสิงคโปร์ (HDB) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1960 จัดสรรดูแลจัดการ ชุมชนที่อยู่อาศัย ทำให้มีการออกแบบที่พักและสาธารณูปโภคสอดคล้องกับการมีพื้นที่สีเขียว และยังมีนโยบาย Green City ตั้งแต่ปี 1967 ทำให้ปัจจุบันสิงคโปร์มีพื้นที่สีเขียวเป็นอันดับสองของโลก เฉลี่ยที่ 29.3% หรือกว่า 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมด
กรุงเทพฯ: ปัจจุบันกรุงเทพฯ มีพื้นที่สีเขียวในรูปแบบสวนสาธารณะเพียง 2.60% ของพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้งหมด หรือคิดเป็นพื้นที่สีเขียวเพียง 3 ตารางเมตรต่อ ประชากร 1 คนเท่านั้น โดยในช่วงปลายปี 2019 กรุงเทพฯ ได้เริ่มโครงการ Green Bangkok 2030 เพื่อเพิ่มพื้นที่สาธารณะสีเขียวในกรุงเทพฯ อย่างทั่วถึง เช่น การพัฒนาที่อยู่อาศัย สวนสาธารณะ คลองโอ่งอ่างวิสัยทัศน์ตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี
เราคงพอมองเห็นความพยายามของทุกภาคส่วนของกรุงเทพฯ ที่ได้ลงมือทำไปแล้วและยังคงเดินหน้าต่อไปแม้จะมีอุปสรรคมากมาย
หากเรามองสิงคโปร์เป็นตัวอย่างคงจะเห็นได้ว่า วิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกล การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ววางแผนที่ดีและการทำต่อเนื่องบนผลประโยชน์ของชาติ จะเป็นแนวทางให้ กรุงเทพฯ และประเทศไทยใกล้ความเป็น Smart City ได้เร็วยิ่งขึ้นแน่นอน
╔═══════════╗
ท่านที่สนใจรับการอัปเดตเทรนด์อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ขอเชิญชวนเข้าร่วม
- Trends Community : Facebook Group สังคมเพื่อการร่วมแบ่งปันเทรนด์ใหม่ๆ ในแต่ละอุตสาหกรรม ร่วมออกไอเดีย และแสดงความคิดเห็นร่วมกันว่าเทรนด์ใดที่เหมาะกับลูกค้าคนไทย
- Trendmizi : Newsletter ติดตามข่าวสารด้านเทรนด์แห่งอนาคตในรูปแบบ Email อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ไม่พลาดข่าวเทรนด์ที่น่าสนใจ ท่านที่สนใจ Comment ไว้ได้เลย ทางเราจะติดต่อกลับเพื่อให้ท่านลงทะเบียนครับ
╚═══════════╝
Trendmizi คลังเทรนด์ออนไลน์เพื่อการพัฒนาแบรนด์และธุรกิจ โดยศูนย์วิจัยเทรนด์และคอนเซ็ปต์แห่งอนาคต Baramizi Lab
#Trendmizi
#คลังเทรนด์ออนไลน์
#trend
เรื่อง: Lalitpan Chuamthaisong (ลลิตพรรณ เชื่อมไธสง) , Content Creator
ที่มา:
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
