10 พ.ค. 2022 เวลา 20:33 • ความคิดเห็น
ผมอยากให้พิจารณา “ประเภทของสินค้า” เป็นอันดับแรกครับ
1) commodities คือสินค้าที่ไม่ว่าผู้ผลิตจะเป็นเจ้าไหน สินค้าแต่ละเจ้าแทบจะไม่แตกต่างกันในเชิงคุณภาพ เช่น นำ้ตาลทราย หรือ เกลือ เป็นต้น และแต่ละเจ้าจะแข่งขันกันเรื่องราคาเป็นหลัก
2) differentiated products คือสินค้าที่เน้นเรื่อง Styles หรือจะเรียกว่าใช้ brands ในเชิงการตลาด ซึ่งสินค้าประเภทนี้ ไม่ได้มุ่งเน้นตัดราคาขายกันเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด เช่น สินค้า fashion เสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้า, ไวน์ เป็นต้น จะเน้นความแตกต่างเชิงคุณภาพและ brand loyalty
ถ้าคุณ “ไม่ได้ผลิตสินค้า” ด้วยตัวเอง แต่คุณซื้อมันมาจาก “แหล่งกระจายสินค้า” แล้วมาขายต่อ นั่นคือ คุณแบกรับความเสี่ยงในเรื่องทั้ง “คุณภาพ” และ “ราคา” ที่เป็นต้นทุนตายตัว เพราะถ้าร้านอื่นได้สินค้าแบบเดียวกัน แต่เขาซื้อมา “เยอะ” กว่าคุณ เป็นไปได้ว่า เขาจะได้ “ราคาต่อหน่วย” ตำ่กว่าคุณ และเขาสามารถขายตัดราคาคุณได้ เพราะ “สายป่าน” ของเขายาวกว่า!
แต่ถ้าคุณ “ผลิตสินค้าเอง”
สินค้าของคุณจะ “แตกต่าง” จากคู่แข่งอย่างแน่นอน!
คิดง่ายๆว่า ไม่ว่าเราเองจะทำอาหารอย่าง “ไก่ทอด” หรือ แค่ “ไข่ต้ม” ใช่ว่าเราจะทำมันออกมาเหมือนกันทุกครั้งไป
ประสาอะไรกับ “คุณภาพ” ที่สามารถเปรียบเทียบกันได้กับ “เจ้าอื่นๆ”?
ดังนั้นหากคุณสามารถ “ควบคุม” และ “ปรับปรุง” และ “รักษา” —> “คุณภาพ” ของสินค้าของตัวเองได้ และคุณเอง “มั่นใจ” และ “ภูมิใจ” กับสินค้าของตัวเอง จนคุณบอกกับตัวเองว่า ถ้าคุณเองสวมบทเป็นลูกค้า คุณก็ไม่มีทางจะไปซื้อสินค้าประเภทเดียวกันจากเจ้าอื่น
เมื่อนั้น คุณเองก็ไม่จำเป็นต้องหวาดหวั่นต่อสิ่งใด!
สำหรับผม เวลาผมจะเลือกซื้อสินค้าใดๆ ผมจะพิจารณาจาก
โฆษณา