13 พ.ค. 2022 เวลา 12:00 • ปรัชญา
#Masayoshi Son ชายที่รู้จักกันในชื่อ The Bill Gates of Japan
Masayoshi Son ชายที่รู้จักกันในชื่อ The Bill Gates of Japan, Tech's Warren Buffet มหาเศรษฐีของญี่ปุ่น ที่ต้องพบเจอกับการผันผวนของชีวิตอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงเป็นหนึ่งในบุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนได้หลายล้านคนทั่วโลก
ผมไม่ใช่ Bill Gates
Masayoshi Son เกิดในครอบครัวเกาหลี ทว่าอาศัยอยู่ในญี่ปุ่น ซึ่งพวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ห่างจากตัวเมืองโตเกียวค่อนข้างมาก อีกทั้งตอนเป็นเด็ก เขายังต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในโรงเรียนและถูกรังแก เนื่องจากภูมิหลังของครอบครัวเขาเป็นผู้อพยพจากเกาหลี
และหลังจากที่เขาอายุได้ 16 ปี เขาก็เริ่มอ่านหนังสือที่เขียนโดย Den Fujita ผู้บริหาร Mcdonald ในญี่ปุ่น และด้วยความชื่นชอบ เขาจึงตัดสินใจโทรหาผู้ช่วยของ Fujita กว่า 100 สาย แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีนัก เขาจึงบินไปโตเกียว เพื่ออ้อนวอนเลขาให้เขาได้เข้าพบ Fujita
หลังจากใช้เวลา 15 นาทีพูดคุยกับฮีโร่ของเขา
เขาก็ตัดสินใจไปเรียนต่อที่อเมริกา แม้ญาติ ๆ ของเขาจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่เขาก็พยายามจนได้ไปเรียนต่อจริง ๆ
เดินนำฝัน
Masa เริ่มเรียนที่ UC Berkeley และระหว่างเรียน เขาก็ตัดสินใจที่จะใช้เวลา 5 นาทีทุกวัน เพื่อหาแนวคิดใหม่ ๆ เกี่ยวกับการสร้างธุรกิจของเขา ซึ่ง Masa ตั้งเป้าหมายที่จะหารายได้ 10,000$ ต่อเดือน
ขณะที่เรียนอยู่ในวิทยาลัย เขายังได้ถามเพื่อน ๆ ของเขาว่า “หากเราต้องการหารายได้ 10,000 เหรียญต่อเดือนควรทำอะไรดี” เพื่อนที่ได้ฟัง ต่างก็คิดว่าเขาบ้าจึงพูดติดตลกว่า “บางทีนายอาจจะหาเงินได้ตามที่คิดจากการขายยานะ”
อย่างไรก็ตาม Masa ก็ยังคงคิดและหาสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นไปได้ต่อไป เขาทุ่มเทมากจนในที่สุด เขาก็ประสบความสำเร็จในการทำพจนานุกรมไฟฟ้าที่แปลคำศัพท์จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาญี่ปุ่น และขายให้กับ ชาร์ป ในราคาประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ
เมื่อวัยไม่ได้วัดความมั่งคั่ง
นอกจากนี้เขายังทำเงินได้อีกล้านเหรียญจากการทำธุรกิจอื่น ๆ และกลายเป็นเศรษฐี ตอนอายุ 19 ปี เขาจึงก่อตั้งบริษัทในสหรัฐอเมริกา เพื่อสานต่อธุรกิจให้เติบโตยิ่งกว่าเดิม
ทว่าหลังจากเรียนจบ เขาก็ตัดสินใจกลับไปญี่ปุ่น เพื่อรักษาสัญญาที่เขาเคยพูดกับแม่ไว้ ด้วยเหตุนี้เมื่อกลับมาที่ญี่ปุ่น เขาจึงเริ่มต้นคิดหาแนวทางทำธุรกิจใหม่อีกครั้ง
เขาใช้เวลาเกือบ 18 เดือนในการตัดสินใจลงทุนครั้งก่อตั้ง Softbank ซึ่งเป็นธนาคารสำหรับซอฟต์แวร์ทุกประเภท เขาตัดสินใจเป็นผู้ค้าส่งซอฟต์แวร์และจัดเก็บซอฟต์แวร์ทั้งหมดให้กับธนาคาร และหลังจากปล่อยตัวสินค้าออกไป ความคิดนี้ของเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก
เติบโต
โดย Softbank หลังจากนั้น ก็กลายเป็นธุรกิจสำคัญของญี่ปุ่น หลังจากประสบความสำเร็จจาก Softbank เขาจึงตัดสินใจที่จะเป็นนักลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี
ในเวลานั้น อีคอมเมิร์ซกำลังเติบโต อาทิ ในประเทศจีน ซึ่ง Masa ที่ต้องเดินทางไปดูงานที่จีน ก็ได้พบกับแจ็ค หม่า และในวันนั้นเขาก็ตัดสินใจลงทุนร่วมกับ แจ็ค หม่า 20 ล้านดอลลาร์ในอาลีบาบา
การลงทุนนี้ถือเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เพราะทันทีที่ อาลีบาบา เปิดตัวสู่สาธารณะ การลงทุนของ Softbank ก็เพิ่มขึ้นเป็น 9 หมื่นล้านเหรียญ ให้ผลตอบแทนเกือบ 4500 %
ทวีความสำเร็จ
ในช่วงทศวรรษ 1990 หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีและเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตพุ่งสูงขึ้นอย่างทวีคูณ ทำให้ผู้คนกลายเป็นมหาเศรษฐีได้ในชั่วข้ามคืน และ Masa ก็คือหนึ่งในคนที่ลงทุนทางด้านนี้เช่นกัน
ทำให้ในช่วงที่เกิดฟองสบู่ดอทคอม หุ้นของเขาจึงเติบโตขึ้นอย่างก้าวมากและทำให้เขากลายเป็นคนที่ร่ำรวยกว่า Bill Gates นานถึง 3 วัน
เขาทำเงินได้เกือบ 10 ล้านเหรียญต่อสัปดาห์ มูลค่าสินทรัพย์ส่วนตัวของเขารวมแล้วเกือบ 78 พันล้านดอลลาร์ ทว่าทันทีที่ฟองสบู่ดอทคอมแตก เขาก็ต้องสูญเงินไปเกือบ 70 พันล้านดอลลาร์ ภายในหนึ่งวัน
วิกฤต
ซึ่ง Masa เล่าว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตกลงมาจากหน้าผาสูง แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกท้อแท้เลย”
ซึ่งการสูญเสียครั้งใหญ่นี้ทำให้ Masa ตัดสินใจที่จะมองอนาคตมากขึ้น เขารู้ว่าการปฏิวัติมือถือกำลังจะมาในช่วงเวลาอันใกล้ เขาจึงคิดที่จะเข้าซื้อธุรกิจ
Vodafone Japan ที่มีมูลค่ากว่า 20 พันล้านดอลลาร์
ทว่าก่อนที่จะเข้าซื้อ เขามีเงินเพียง 2 พันล้านดอลลาร์ ดังนั้นเขาจึงไปที่ธนาคาร เพื่อโน้มน้าวให้ธนาคารญี่ปุ่นปล่อยเงินกู้ให้เขา 18 พันล้าน เพื่อเข้าซื้อกิจการ Vodafone Japan
คิดคำนวณ
และระหว่างรอธนาคารดำเนินการ เขาก็ได้เดินทางไปพบกับ Steve Jobs ซึ่งระหว่างการประชุม เขาได้เสนอการวาดภาพลงบน iPod ให้กับ Steve ด้วยการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
แม้ในวันนั้น Steve Jobs จะโยนกระดาษที่เขียนไอเดียของ Masa ลงในถังขยะด้วยท่าทางติดตลก พร้อมทั้งพูดว่า “เรากำลังทำเช่นนี้อยู่ครับ”
Masa จึงบอกกับ Steve ว่า “เพราะแบบนี้ ผมจึงต้องการเป็นผู้ให้บริการเฉพาะ กับ บริษัท Apple ในญี่ปุ่น ไงครับ”
แต่เรื่องที่น่าแปลกคือ ในวันนั้น Steve Jobs ยังสร้าง iPhone ไม่เสร็จ และ Masayoshi ก็ไม่ได้เจ้าซื้อ Vodafone ดังที่ตั้งใจไว้
Masayoshi son
เพราะ Masa ตัดสินใจที่จะจัดตั้งกองทุน เพื่อการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์, IOT และ big data มูลค่า 1 แสนล้านเหรียญ โดยกองทุนนี้ ถือเป็นหนึ่งในกองทุนร่วมลงทุนที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ทำให้ระหว่างการระดมทุน Masa จึงได้เข้าพบกับ เจ้าชาย Mohammed Bin Salman ของซาอุดิอาระเบีย และ Masa ได้โน้มน้าวให้ เจ้าชาย ลงทุนเกือบ 45 พันล้านดอลลาร์สำเร็จภายใน 45 นาทีซึ่งเป็นข้อตกลงมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ต่อนาที
และเมื่อมีคนถามเขาว่าเขาโน้มน้าวเจ้าชายให้ลงทุนมากขนาดนี้ได้อย่างไร Masa ก็จะตอบอย่างมั่นใจว่า “ผมเพียงแค่พูดเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนผมเอง
Sandro Salsano and Masayoshi Son
โดยผมบอกกับเจ้าชายว่า ถ้าพระองค์ให้เงินผม 45,000 ล้านเหรียญ ผมจะให้ผลตอบแทนพระองค์เป็นเงิน 1 ล้านล้านเหรียญ”
ความฝันของ Masa คือการมีอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง 100 Mbps ทั่วโลกผ่านเครือข่ายดาวเทียมทั่วโลก ซึ่งจะบินเข้าใกล้โลกมากที่สุด แตกต่างจากดาวเทียมที่มีอยู่ในปัจจุบัน
และจะส่งมอบ downlink 100 Mbps ที่ส่งตรงมาจากท้องฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่นี้ ทำให้ Masa ต้องวางแผนระดมทุนเพิ่มอีก 100 พันล้านดอลลาร์ทุก ๆ 3 ถึง 5 ปี และเรื่องนี้ก็กำลังจะเกิดขึ้นจริงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
“อยากไปถึงดวงจันทร์ ต้องไม่มองเพียงแค่ดวงดาว”
🫠👉🏻บทความนี้ยาวมาก ๆ ๆ แบมขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงจุดนี้ ตลอดจนอ่านเนื้อหาจนจบนะคะ หวังเหลือเกินว่าทุกท่านจะได้รับประโยชน์และสร้างความเพลิดเพลิน ต่อผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อยนะคะ 😙**
ติดตามเรื่องเล่าจากดาวนี้เพิ่มเติมได้ที่
หากชื่นชอบก็อย่าลืมกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ สามารถแชร์แนวคิด มุมมองดีๆได้ใน Comments นี้เลย
#เรื่องเล่าจากดาวนี้
โฆษณา