15 พ.ค. 2022 เวลา 01:57 • ข่าว
ธุรกิจในประเทศไทยปิดตัว เพราะ “ประยุทธ์” หรือโควิด-19
เรื่องของธุรกิจที่กำลังล่มสลาย และปิดตัวลงในช่วงเวลานี้คงต้องถอยกลับไปดูเหตุการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เพราะนับตั้งแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทย
ระหว่าง ขั้วอำนาจสุเทพ เทือกสุบรรณ ในนามของพรรคประชาธิปัตย์
กับขั้วอำนาจของทักษิณ ชินวัตร ในนามของพรรคพลังประชาชน จนกระทั่งมาสู่พรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน
กระทั่งเกิดการถ่วงดุลอำนาจทางการเมืองโดยขั้วอำนาจทหารของ 3 ป. อันประกอบด้วย ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประวิตร วงษ์สุวรรณ และป๊อก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในนามของพรรคพลังประชารัฐปัจจุบัน
การช่วงชิงอำนาจทางการเมือง ครอบงำประเทศ เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
และปฏิเสธไม่ได้ว่า
การพัฒนาของระบอบการปกครองประชาธิปไตยในประเทศไทย
มิได้เกิดจากอำนาจของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง
หากแต่มีการชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน
หรือถึงไม่ชักศึก ศึกก็เข้ามาอยู่ดี
นั้นก็คือ ขั้วอำนาจสหรัฐอเมริกา และขั้วอำนาจจีนแผ่นดินใหญ่
ขั้วอำนาจทั้งใน และนอกประเทศเหล่านี้ จึงกลายเป็นคลื่นใต้น้ำ กลายเป็นภูเขาไฟใต้ทะเล ที่สร้างความปั่นป่วน รอวันปะทุ รอวันเกิดคลื่นยักษ์ สึนามิ ถาโถดเข้าสู่ประเทศไทย
กระบวนการช่วงชิงอำนาจทางการเมือง แท้ที่จริงแล้ว ถูกบดบังด้วยกระบวนการช่วงชิงอำนาจทสงเศรษฐกิจของผู้นำโลก
ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ได้อะไรจากประเทศไทย ทำไมถึงต้องเล็งเป้าที่ประเทศไทย
คำตอบง่ายๆ คือ ประเทศไทย เป็นเมืองหน้าด่านทางการเมืองกับขั้วอำนาจสหรัฐอเมริกา และเป็นจุดหมายปลายทางเศรษฐกิจสำคัญของการกิน การอยู่ และตลาดการค้า ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีความสำคัญต่อการเดินหมากการเมืองของประเทศจีนแผ่นดินใหญ่
สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศไทย คือ พื้นที่ทำกิจกรรมโครงการ หรือที่เรียกว่า Project ทางการเมืองที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากปล่อยให้ประเทศไทยเหนียวแน่นกับประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ การจะเข้ามาพักคอย พักผ่อน ตั้งฐานชั่วคราวในประเทศไทยจะเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น ดังนั้น กลเกมการบีบ ปิดล้อม แล้วคลาย ผ่อนกลเกม จึงเป็นสิ่งที่ประเทศสหรัฐอเมริกาทำกับประเทศไทยอยู่เนือง ๆ
แต่สิ่งหนึ่งที่ประเทศสหรัฐอเมริกาทำกับประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ผ่านกลไกความเชื่อ มีมาอย่างยาวนาน ไม่ว่ากลไกทางด้านศาสนา ที่ซ่อนรูปผู้นำจิตวิญญาณในการชักชวนให้นับถือพระเจ้า หรือพระเยซูคริสต์ ตลอดจนการเปิดโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ จะเห็นร่องรอยของการปฏิบัติการจิตวิทยาในพื้นที่หวังผล คือ ภาคอีสานของประเทศไทย
รวมทั้ง กลไกด้านองค์กรเอกชนที่เรียกกันว่า เอ็นจีโอ ในรูปขององค์กรเครือข่ายหลากหลายประเด็นทั้งสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม สุขภาพ การค้ามนุษย์ พืชพรรณและสัตว์ป่า สัตว์เลี้ยง และที่สำคัญ คือ องค์กรด้านการเมืองการปกครอง ที่ชูประเด็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยมากระตุ้นให้พลังมวลชนที่อยู่ตรงข้ามกับซีกของรัฐบาล ขับเคลื่อนอยู่ตลอดเวลา
ทั้งนี้ เป้าหมายทำลายล้าง ที่ต้องแตกหัก คือ สถาบันอันเป็นศูนย์รวมความเชื่อ รวมทั้งสถาบันอันเป็นที่เคารพศรัทธาและเชื่อมโยงกับอำนาจทางทหาร เป็นเป้าหมายสำคัญที่ต้องสร้างกระแส ความปั่นป่วนและนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง
เมื่อสถานการณ์ทางการเมือง และเศรษฐกิจของประเทศไทย ถูกรายล้อมด้วยหมาล่าเนื้อ และพรานโฉดที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อโจมตี ทำลายล้าง โดยที่การตั้งรับของประเทศไทย อยู่ในสภาวะที่โอนอ่อนไปตามกระแสลม
เพราะแต่ละคน แต่ละกลุ่ม แต่ละสถาบัน ต่างก็มีแผล มีจุดด้อย มีจุดอ่อน
ยิ่งในปัจจุบัน ผู้ที่เกี่ยวข้องของแต่ละสถาบันต่างมุ่งต่อการเอาตัวรอด มากกว่าที่จะมองไปข้างหน้าว่าจะขับเคลื่อนความอยู่รอดของประเทศไทยไปสู่ทิศทางใด นั่นยิ่งเป็นจุดอันตรายของประเทศไทย
เมื่อมาดูการเมืองภายใต้การบริหารของ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่หักด่านอรหันต์เข้ามายึดเส้าหลิน โดยขึ้นอยู่การเป็นเจ้าสำนัก โดยมีรองเจ้าสำนักที่มาจากขั้วอำนาจเดียวกัน และมีพลพรรคมาจัดตั้งเป็นค่ายกลจากฝ่ายธรรมะ แถมด้วยฝ่ายอธรรม
สถานการณ์เช่นนี้ สักวันหนึ่ง เจ้าสำนักย่อมอ่อนเปลี้ยเสียขา เพราะความเกรงอกเกรงใจรองเจ้าสำนัก และความเกรงอกเกรงใจต่อพลพรรคจากฝ่ายธรรมะ และอธรรม ย่อมนำไปสู่การขาดความเด็ดขาด
เพราะหากวันใด ตัดสินใจอะไรเด็ดขาดลงไป วันนี้ก็ย่อมแตกหัก
เพราะหากวันใด ไม่ตัดสินใจทำอะไร ก็จะกลายเป็นหอกข้างแคร่
สถานการณ์เช่นนี้ เจ้าสำนัก ผู้ได้ชื่อว่าเยี่ยมยอดทั้งบุ๋น และบู๋ในอดีต กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาอ่อนระโหยโรยแรง
เพราะการปกครองทางการเมืองในทุกประเทศทั่วโลก หากผู้นำไปเด็ดขาด อำมหิตอย่างประธานาธิบดีวลานีเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย
คิม จอง ฮึน ประธานาธิบดีแห่งเกาหลีเหนือ
ประธานาธิบดีฮุนเซ็น แห่งกัมพูชา
หรือนายพลอ่องหลาย แห่งเมียนมาร์
ผู้นำคนนั้น หาอาจคิดทำการสิ่งใดได้สำเร็จโดยง่าย และไม่อาจยึดครองอำนาจในนานอย่างแน่นอน
เพราะการโค่นล้มออกจากอำนาจ มีผู้จ้องจองกฐินอยู่ตลอดเวลา ทั้งขั้วอำนาจของตนเอง ขั้วอำนาจต่างขั้ว และขั้วอำนาจนอกประเทศ
ขณะนี้ ประเทศไทยผ่านเหตุการณ์การขัดแย้งทางการเมืองมากว่า 8 ปี
และประเทศไทยได้มีการปรับโครงสร้างพื้นฐานอำนาจทางการเมืองมากพร้อมกับการเข้ายึดอำนาจของ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา”
ด้วยการเข้ายึดอำนาจในห้วงเวลานั้น มีเป้าหมายสำคัญ และผลที่เกิดขึ้น คือ การเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมืองของประเทศไทยใหม่
เรียกว่า การสร้างสมดุลทางการเมืองครั้งใหม่ ด้วยการยึดอำนาจ จัดระเบียบ วางระบบ
แล้วขับเคลื่อนกิจกรรมโครงการในสิ่งที่ทำได้ยาก หรืออยากทำ
แต่ยังขาดคนเด็ดขาด มีอำนาจที่เด็ดขาด มีภาพลักษณ์ความโปร่งใส ไม่ส่อทุจริตมาบริหารจัดการเรื่องนี้ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างภายใต้การบริหารของรัฐบาล “ประยุทธ์ จันทร์โอชา”
คือ การเปลี่ยนโครงสร้างทางกฎหมาย ดังจะเห็นได้จากมีการจัดระเบียบองค์กร หน่วยงาน วิธีการทำงาน วางแผนการยุทธศาสตร์ในวันข้างหน้าด้วยการออกกฎหมายมาวางกรอบเป็นเรื่อง ๆ อย่างมากมาย
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างต่อมา คือ โครงสร้างพื้นฐานที่มากด้วยผลประโยชน์ มีการใช้จ่ายงบประมาณด้วยเงินจำนวนมหาศาลทางด้านถนนหนทาง สะพานลอย สะพานยกระดับ อุโมงค์ลอดทางแยก ผิวการจราจรในเส้นทางหลัก ระบบการขนส่งทางราง สนามบิน
เงินงบประมาณในช่วง 8 ปีของการบริหารประเทศ ถูกนำไปจัดสรรในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานมากมายมหาศาล โดยคาดหวังว่าในวันข้างหน้า สิ่งเหล่านี้ ผนวกกับวิสัยทัศน์ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติจะสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครให้ข้างหลัง จะเกิดขึ้นได้จริงและเป็นคุณูปการต่อประเทศไทยชั่วลูกชั่วหลาน
แต่ประเด็นหนึ่งที่รัฐบาลนี้ รับรู้ และลืมคิด หรือคิดว่าคงไม่เป็นไร หนักกว่านี้ประเทศไทยก็ผ่านมาแล้ว ก็คือ เหตุการณ์จากต่างประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจปากท้องและการเงินของประชาชน ซึ่งรัฐบาลมองเพียงมิติเดียว มุมเดียว คือ เสถียรภาพรัฐบาลและเศรษฐกิจมวลรวมของประเทศ เพราะรัฐบาลมองว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจตามหลักเศรษฐศาสตร์นั้นมีผลต่อการบริหารจัดการประเทศ
ดังนั้น เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญที่สองแทรกแซงเข้ามา คือ การระบาดของไวรัส โควิด-19 ซึ่งรัฐบาลรับรู้ความเสี่ยงมาตั้งแต่ต้น แต่ไม่คิดว่าจะส่งผลระยะยาวต่อระบบเศรษฐกิจทั้งโลก แล้วกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
ปัจจัยสำคัญของสองประเด็นดังกล่าว กำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นฐานเสียงหลักในการสนับสนุนให้รัฐบาลคงอยู่ หรือเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายตรงข้าม จุดชนวนให้รัฐบาลต้องพ้นจากอำนาจไป นั่นคือ ความเปราะบางของการดำรงอยู่ในอำนาจของ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หลังจากผ่านห้วงเวลาวิกฤตการณ์การระบาดของโควิด-19
สิ่งที่เกิดขึ้น และน่าตกใจของประเทศไทย คือ การทยอยปิดตัวของธุรกิจที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน ทั้งธุรกิจที่มาจากต่างประเทศ และธุรกิจที่ก่อตัวขึ้นในประเทศ
การประกาศปิดตัว ลดจำนวนคนงาน ลดสำนักงานขาย ลดกำลังการผลิต
พร้อม ๆ กับการปลดป้ายสถานประกอบการ
แพนด้า สุกี้ บะหมี่ - ห้างพาต้า ปิดกิจการ
แม้ว่ามันจะมิได้เกิดจากผลงาน หรือฝีมือของรัฐบาล “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แต่เพราะผลพวงที่ถูกพ่วงจากกระแสเศรษฐกิจโลกในเวลาเดียวกันด้วย
รวมทั้ง การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคจากการใช้ชีวิตออนไลน์ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ทำให้เวลานี้ ธุรกิจการค้าปิดหน้าร้าน แต่ทำธุรกิจอยู่ด้านหลังประตู ด้วยวิธีการขายทางออนไลน์ ส่งสินค้าทางบริการขนส่งสินค้าและบริการโลจิสติกส์
สิ่งเหล่านี้ คือ ผลกระทบระลอกสามของเศรษฐกิจฐานราก เพราะแรงงานในระบบเหล่านี้จะต้องลดจำนวนลง เพราะเกินความจำเป็น และธุรกิจของปรับขนาดของกำลังแรงงานคนเพื่อลดต้นทุน
หลังวิกฤตการณ์โควิด -19 มีข่าวดี คือ รัฐบาลจะยกเลิกมาตรการคุมเข้ม เข้าสู่การเปิดประเทศรับคนจากทั่วโลกเดินทางเข้ามาประเทศไทย
ในขณะที่โรงแรม สถานบริการ ร้านอาหาร ร้านค้าจำนวนมาก ปิดตัว ปิดตายมาก่อนล่วงหน้า
A&W ปิดกิจการ
ประเด็นของการมองไปข้างหน้าในเรื่องเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาล เป็นเรื่องที่ถูกละเลย และล้มเหลวในการบริหารอย่างยิ่ง
รัฐบาลมองแต่เศรษฐกิจมหภาค ให้ความสำคัญเศรษฐกิจฐานราก เพียงเศษเงินจากโครงการคนละครึ่ง หรือการชดใช้ ชดเชยราคาน้ำมัน ชดเชยราคาส่วนต่างผลผลิตทางการเกษตร
แต่การบริหารจัดการเศรษฐกิจฐานราก
มันมีมากกว่าการชดเชย ชดใช้ เยียวยา ประกันราคา
ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจหากเข้าไปในศูนย์การค้าในแทบจะทุกแห่ง ที่มีผู้คนไม่เกินสองชั้น คือ ชั้นที่ 1 ที่เป็นที่ตั้งร้านค้า บูธขายของ ซุปเปอร์มาร์เก็ต และชั้นที่ 2 ที่เป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ ธนาคาร ร้านมือถือ นอกนั้น ร้างว่างเปล่าไร้ผู้คน
จึงไม่ต้องแปลกใจ หากเข้าไปในซอยต่าง ๆ จะพบป้ายแขวนปิดประตู ขาย ให้เช่า เซ้งกิจการ หรือกำลังรื้อถอนป้าย รื้อถอนอาคาร
ทั้งหมดนี้ จะไปกล่าวโทษ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ไม่ได้ เพราะระบบเศรษฐกิจมันเป็นปัญหาทั้งโลก
แต่เป็นปัญหาที่รัฐบาล “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ไม่ได้บริหารจัดการวิสัยทัศน์ และยุทธศาสตร์ในเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น เพราะหากมีการวางแผน และบริหารจัดการเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ เหมือนเช่นที่บริหารโครงสร้างพื้นฐาน ถนน หนทาง รางรถไฟ รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง สนามบิน ประชาชนในโครงสร้างเศรษฐกิจฐานรากก็คงได้กินอิ่ม นอนอุ่น เหมือนกับ ผู้รับเหมาโครงการก่อสร้างต่าง ๆ เหล่านั้น
ตัวอย่างของธุรกิจที่ปิดตัวลง หรือปรับขนาดธุรกิจลงในช่วงสองปีที่ผ่านมา เช่น ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจสวนสนุก ธุรกิจโรงเรียน ร้านอาหารแบรนด์ต่างประเทศ ธุรกิจคาเฟ่ ธุรกิจภัตตาคาร และอีกหลายธุรกิจที่มีเพิ่มขึ้นทุกวัน
บทสรุปสุดท้ายของเรื่องนี้ อยากจะบอกว่าประเทศไทยมีความพร้อมหลายด้านในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ขอเพียงผู้นำประเทศมีความกล้าหาญในการคิด และลงมือทำอย่างเด็ดเดี่ยว โดยจะต้องเพิ่มบทบาทการให้ความสำคัญต่อเศรษฐกิจปากท้อง และเศรษฐกิจฐานรากมาเป็นอันดับแรก ก่อนยกระดับสู่เศรษฐกิจมหภาค เพราะโครงสร้างของประเทศ ประกอบด้วย ลมหายใจและความหวังของประชาชน ไม่ใช่ลมหายใจและความหวังในการเพิ่มอันดับรวบของเจ้าสัวนายทุนนักธุรกิจ
แม้ว่าเงินรายได้ของเจ้าสัวนายทุนนักธุรกิจจะมีผลต่อดุลทางการเงินระหว่างประเทศ แต่เศรษฐกิจปากท้องคือดุลอำนาจทางการเมืองที่รัฐบาลต้องบริหารจัดการความเสี่ยงไปในเวลาเดียว
สุดท้ายนี้ เมื่อผู้นำประเทศไม่อำมหิตในการตัดสินใจในเรื่องที่มีผลกระทบต่อพลังมวลชนทางสังคม การย้อนศรสวนเลนส์ก็จะเกิดขึ้นจากพลังมวลชนที่จะตัดสินใจอย่างอำมหิตในการพลิกขั้วอำนาจทางการเมือง ซึ่งในอีกไม่นานไม่ช้าการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญก็ย่อมเกิดขึ้นในระบบการเมืองการปกครองของประเทศไทยอีกระลอกอย่างแน่นอน
โฆษณา