15 พ.ค. 2022 เวลา 16:50 • ท่องเที่ยว
September 2015 อินโดนีเซีย ภูเขาไฟโบรโม่ คาวาอีเจี้ยน และบาหลี (Mt. Bromo, Mt. Kawah Ijen, Indonesia)
ฉันเลือกประเทศนี้จากทัศนียภาพของภูเขาไฟที่ประเทศไทยไม่มี ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน อยากจะไปเห็นภูเขาไฟของจริงว่าเป็นยังไง ในช่วงนั้นฉันเป็นนิสิตจบใหม่ ประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศที่ค่าครองชีพไม่แพง เมื่อได้ปรึกษากับเพื่อนแล้วจึงตัดสินใจไม่ยากที่จะตกลงปลงใจไปอินโดนีเซียด้วยกันเป็นกลุ่มสาวๆทั้งหมด 4 คน
เริ่มเดินทาง.... เราเริ่มบินจากประเทศไทย ไปต่อเครื่องที่สนามบิน Kuala Lumpur มาเลเซีย ก่อนจะไปสิ้นสุดที่สนามบินเล็กๆในเมือง Yogyakata ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมของชาวชวา ตั้งอยู่บนเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย
เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ แต่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม เป็นเมืองที่มีขนส่งสาธารณะครอบคลุมจุดหลักๆอยู่มากมาย ฉันถือโอกาสใช้รถขนส่งสาธารณะ เพื่อที่จะดูวิธีชีวิตของคนในเมืองนั้นๆ และประหยัดงบประมาณ ด้วย
เมืองนี้ผู้คนน่ารัก มีความเป็นกันเองและมีน้ำใจดี คนในเมืองมีความยินดีที่จะช่วยเหลือคนแปลกหน้าอยู่บ่อยๆ แม้เค้าจะพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ก็ตาม แต่สกิลที่ต้องใช้กับที่นี่หลักๆคือการต่อราคา ราคาของทุกอย่างที่เราซื้อ สามารถถูกลงมาได้ถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว
เมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังคือ วัดบุโรพุทโธ (Borobudur) เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในโลก เรามีโอกาสได้นั่งรถเมลล์ออกนอกเมืองไปที่บุโรพุทโธ เราชอบจังหวะเวลาที่เราได้นั่งรถเมลล์ ให้หน้าปะทะลมธรรมชาติจากริมหน้าต่าง ได้มองวิวภูเขา ต้นไม้ ใบหญ้า ถึงแม้จะเป็นการเดินทางที่ทรหดเพราะใช้เวลายาวนาน และรถไม่มีแอร์และพัดลมติดอยู่เลย (เหมือนรถประจำทางตามชนบท)
ทั้งยังมีผู้คนแน่นเบียดเสียดเต็มรถ แต่ผู้คนบนรถกลับไม่ได้มีสีหน้าบิดเบี้ยวหรือบูดบึ้งแต่อย่างใด ทุกคนดูมีความสุขที่จะได้เดินทางไปยังจุดหมายของแต่ละคน กระเป๋ารถเมลล์ก็ร้องเพลงด้วยความสนุกสนาน เป็นเพราะเค้าพอใจกับเรื่องง่ายๆและสิ่งที่เป็นอยู่รึป่าวนะ หรือเป็นเพราะเค้าคิดว่าเดี๋ยวก็จะถึงที่หมายที่พวกเค้าอยากไปแล้ว สำหรับตัวเราเอง บรรยากาศที่ทุกคนยิ้ม สนุกสนานนี้ก็ทำให้ความรู้สึกแออัดในรถลดลงไป
หลังจากที่เราไปบุโรพุทโธแล้ว เราก็นั่งรถไฟไปเมือง Surabaya ซึ่งเป็นเมืองหลักของเกาะชวาฝั่งตะวันออก เพื่อที่จะขึ้นไปหาภูเขาไฟโบรโม่ (Bromo) กัน
เดินทางไปหาภูเขาไฟโบรโม่
เราถึงสถานีรถไปเมือง Surabaya ประมาณเที่ยงคืน Adi และ Jane คนขับรถและไกด์มารับเราที่สนามบินเพื่อเดินทางไป Mt. Penanjakan เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขาไฟโบร่โม่ Adi ขับรถพาเราออกจากสถานีรถไฟ และค่อยๆออกจากตัวเมืองไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าสู่ทางขึ้น Mt Penanjakan ระหว่างทางถนนค่อยๆเล็กลงจากถนน 4 เลนเป็นถนน 2 เลน จนไปถึงทางลาดชันที่ขึ้นไปสู่ภูเขา
อากาศรอบนอกเริ่มเย็นลงจนฝ้าเริ่มขึ้นที่กระจก เราต้องคอยช่วยเช็ดกระจกไปพลางระหว่างที่ Adi ขับรถขึ้นไปในทางลาดชันขึ้นเรื่อยๆ ทางขึ้นเขาค่อนข้างลาดชัน และเราขึ้นตอนกลางคืน แต่ Adi บอกเราว่าเขาขับขึ้นเขาลูกนี้มาทั้งชีวิตจนเขารู้ว่าถนนแต่ละโค้งอยู่ตรงไหน ความชำนาญเส้นทางและทักษะการขับรถของเขาทำให้เรารู้สึกปลอดภัย
เมื่อถึงจุดหนึ่ง Adi จึงเปิดกระจกเพื่อให้อากาศภายนอกเข้ามาภายใน ทำให้เราได้รู้ว่าข้างนอกหนาวมากแค่ไหน จนเราต้องขอให้ Adi จอดรถพักเพื่อให้พวกเราใส่เสื้อกันหนาว หลังจากนั้นไม่นาน Adi ก็จอดรถตรงจุดพักรถ เพื่อให้เราไปเปลี่ยนรถเป็นรถ Jeep Four Wheel เพราะทางหลังจากนี้นั้นเป็นทาง Off-road ไม่สามารถใช้รถธรรมดาขับไปได้ และแล้วการผจญภัยของเราก็ได้เริ่มขึ้น
เมื่อรถ Jeep เริ่มออกเดินทางบนทางที่ขรุขระไม่เป็นถนน รถโยนพวกเราไปมา เสมือนเราอยู่ในเครื่องซักผ้า เราได้แต่ลุ้นอยู่กับเพื่อนในรถว่าการเดินทางอันยาวนานนี้จะจบลงเมื่อไหร่ พร้อมทั้งแปลกใจว่าคนขับรถมองเห็นเส้นทางได้อย่างไร เพราะทางที่ไปนั้นฝุ่นตลบและควันหนามาก พร้อมทั้งยังมืดอยู่มองไม่เห็นเส้นทางเลย แต่คนขับหักรถเลี้ยวไปมาเหมือนหลบอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
แล้วรถจี๊บก็มาหยุดลงตรงหน้าจุดชมวิว Penajagun 1 คนเริ่มมาอยู่ตรงนี้กันพอสมควร หลังจากที่เราลงมาจากรถรออยู่ที่จุดชมวิวสักพักใหญ่ แสงแรกของวันใหม่ก็เริ่มขึ้น ท้องฟ้าค่อยๆเปลี่ยนสีจากสีมืดดำเป็นสีน้ำเงินเข้ม สีฟ้าครามค่อยๆสว่างขึ้นและมีแสงส้มอมทองทอแสงอ่อนๆ เราเริ่มเห็นม่านหมอกและวิวตรงหน้า ฉันแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ภาพเบื้องหน้าคือภาพของภูเขาไฟโบรโม่ และภูเขาลูกอื่นๆ ทั้งหมด 3 ลูก ตั้งอยู่ระหว่างหุบเขาขนาดใหญ่ มีหมองบางๆจางๆ ไหลผ่าน และมีกลุ่มควันเล็กๆลอยอยู่เหนือปากปล่องภูเขาไฟ นี่สินะ ภูเขาไฟของจริง ครั้งแรกในชีวิตที่ฉันได้เห็นภูเขาไฟ แม้จะเป็นมุมที่อยู่ไกลๆ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟลูกนี้
ณ เวลานั้น ฉันและเพื่อนๆ แทบจะหยุดหายใจ ทุกคนเงียบกริบไม่คุยกัน ได้ยินแต่เสียงชัตเตอร์ของกล้องดังลั่นเป็นทิวแถว ความเหนื่อยล้าที่เดินทางมานานมันหายเหนื่อยเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า เห็นธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นี้จริงๆ ภูมิประเทศที่เราไม่เคยได้เห็นมาก่อนในบ้านเรา ทำให้เราตระหนักได้ถึงความหลากหลายและความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ
ภูเขาไฟโบรโม่ เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ จึงยังมีควันออกมาจากปากปล่องอยู่เรื่อยๆ ก่อนหน้านี้ก็มีการปะทุไปเมื่อปี 2553 สำหรับชาวอินโดนีเซียแล้ว พวกเขาเชื่อว่าภูเขาไฟแต่ละลูกเป็นเสมือนเทพเจ้าประจำแต่ละท้องถิ่น ในทุกๆปีก็จะมีเทศกาลบูชาเทพเจ้าที่ภูเขาไฟที่คนจะเดินเท้าขึ้นไปบูชาที่ปากปล่องภูเขาไฟอีกด้วย
หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นและฟ้าสว่างมากแล้ว เราได้เดินทางต่อไปยังภูเขาไฟโบรโม่เพื่อจะเดินขึ้นไปยังปากปล่องภูเขาไฟ ช่วงขากลับทำให้เรารู้ว่าสาเหตุของความขรุขระและฝุ่นตลบตลอดทางตอนขามานั้นเป็นส่วนของทะเลทรายนั่นเอง
เราข้ามทะเลทรายเล็กๆกลับมาเพื่อไปยังภูเขาไฟโบรโม่ และเดินเท้าต่อไปยังปากปล่องภูเขาไฟ ระหว่างเดินทางดินตรงภูเขาไฟนั้นเป็นดินทราย เวลาเราเดินขึ้น 3 ก้าว เราจะไถลลงมา 2 ก้าวทำให้เราเดินขึ้นไปได้ช้าและเหนื่อยมากกว่าปกติ โชคดีที่ปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่ไม่สูงมากนัก เราเดินไปไม่นานก็ถึง
เมื่อไปถึงปากปล่อง ควันและกลิ่นกำมะถันลอยมาเตะจมูกเป็นอย่างแรก ตรงปากปล่อง จะมีราวกั้นกันตกทำไว้อย่างปลอดภัย ในปล่องภูเขาไฟมีของเหลวสีเทาๆ และควันโขมงลอยขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา เราชื่นชมปากปล่องภูเขาไฟอยู่ไม่นานก็พากันลงมาเพราะว่าทนกลิ่นกำมะถันไม่ไหว
ก่อนที่เราจะเดินทางชมทัศนียภาพด้านอื่นๆของภูเขาไฟโบรโม่ และทะเลทรายอันเล็กๆตรงนี้ก่อนที่จะเดินทางเข้าที่พัก เพื่อเก็บแรงไว้เดินทางไปภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน (Mt. Kawah Ijen) ในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น (ไว้ฉันจะเล่าต่อถึงภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยนในครั้งต่อไปนะ)
การเดินทางมาภูเขาไฟโบร่โม่และคาวาอีเจี้ยน ทำให้ฉันเห็นความมหัศจรรย์ และความหลากหลายของธรรมชาติ เราได้เห็นความเป็นอยู่ของผู้คนที่อยู่ร่วมกับภูเขาไฟ
พอได้ยินคำว่าภูเขาไฟ หลายๆคนมักจะคิดถึงภาพภูเขาไฟระเบิดพ่นลาวาและเถ้าถ่านมากมาย ทำลายพื้นที่ทุกจุดที่ลาวาร้อนไหลผ่าน แต่เวลาภูเขาไฟสงบอยู่นั้น ก็เปิดโอกาสให้เราได้เดินทางมายลโฉมความงดงามของธรรมชาติในอีกรูปแบบของเขาเหมือนกัน
ภูเขาไฟทำให้ฉันเรียนรู้ถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆที่ทำให้ฉันเริ่มตระหนักรู้ว่าธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน ได้เห็นวัฏจักรที่วนเวียนอยู่บนโลกนี้ แม้ภูเขาไฟระเบิดนั้นจะดูน่ากลัว แต่หลังจากภูเขาไฟระเบิดได้ผ่านไป ภูเขาไฟก็ได้มอบความอุดมสมบูรณ์กลับมาให้แก่ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
มนุษย์เราไม่สามารถจะป้องกันไม่ให้ภูเขาไฟระเบิดได้ แต่มนุษย์เราพยายามเรียนรู้ที่จะทำนายการเกิดขึ้นเพื่อจะได้อยู่กับสิ่งนี้และหลบหลีกความเสียหายที่จะเกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด นี่คือสิ่งที่ผู้คนที่อาศัยอยู่กับภูเขาไฟพยายามเรียนรู้มาเสมอ
สิ่งนี้เป็นเครื่องตอกย้ำว่ามนุษย์เรานั้นไม่ได้เป็นผู้ควบคุมทุกสิ่ง ธรรมชาติต่างหากที่ยิ่งใหญ่กว่าเรามากนัก แต่มนุษย์เรานั้นเป็นผู้ที่ปรับตัวกับทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตได้เก่งมากต่างหาก และอย่าลืมว่าธรรมชาติและมนุษย์นั้นเชื่อมโยงกันในหลายมิติ ธรรมชาติดูแลเรา พวกเราก็ควรจะดูแลธรรมชาติเช่นเดียวกัน
โฆษณา