📚 รีวิวหนังสือ The Ride of a Lifetime บทเรียนการทำงานและความเป็นผู้นำจากอดีต CEO ของ Walt Disney Company (Part II) 📚
1
👉🏻 ใน Part I นั้นผมได้เล่าไปแล้วว่า Robert หรือ Bob Iger นั้นไต่เต้าจากพนักงานมาจนถึงตำแหน่ง CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Walt Disney Company ได้อย่างไร
ในช่วงท้ายของตอนที่แล้วได้เกริ่นเอาไว้ว่าเมื่อ Bob ได้รับการรับเลือกจากบอร์ดบริหารของดีสนีย์แล้วว่าให้ดำรงตำแหน่งเป็น CEO นั้น Bob บอกว่ามีสิ่งเร่งด่วน 3 สิ่ง ที่เค้าต้องทำเป็นสิ่งแรกเลยหลังจากเป็น CEO ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้ต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า “Respect” หรือ การเคารพคนอื่นครับ ถึงทำได้สำเร็จครับ
1️⃣ สิ่งแรกเลยที่เค้าต้องจัดการคือปัญหากับ Roy Disney อดีตบอร์ดบริหารที่มีปัญหาไม่ชอบ CEO ตั้งแต่คนก่อนหน้าเค้าคือ Michael Eisner และโยงต่อเนื่องมาถึงตัว Bob เองด้วย และที่สำคัญยังสร้างปัญหาใหญ่ให้กับภาพลักษณ์ของบริษัทพอสมควรเนื่องจากเค้า discredit Michael อย่างหนัก และถึงขนาดสร้างเว็บไซต์ SaveDisney.com ขึ้นมาเพื่อโจมตี Disney แถมยังทำเรื่องฟ้องร้องบริษัทเป็นเรื่องใหญ่โตมากเลยครับ 😱
💡 ถามว่าแล้ว Bob ทำอย่างไรบ้างครับให้ Roy ยอมยุติการสร้างปัญหาให้กับดีสนีย์ครับ?
Roy Disney ผู้ซึ่งเป็นหลานแท้ ๆ ของ Walt Disney (ผู้ก่อตั้งบริษัท) นั้นโดยลึก ๆ แล้วรักและผูกพันกับบริษัทดีสนีย์อย่างมาก แต่โดนบีบให้ต้องลาออกจากบอร์ดไปเมื่อปี 2003 ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้รับการเคารพและให้เกียรติจากบริษัทเลย
⭐️ โดยเริ่มต้น Bob ได้ทำการพูดคุยหารือกับนักกฎหมายประจำตัวของ Roy เพื่อรับฟังปัญหาอย่างจริงใจ หลังจากนั้นเค้าถึงได้นัดคุยกับ Roy อย่างเปิดอก ทำให้เค้าเข้าใจ Roy มากขึ้นถึงการที่ Roy ไม่ได้รับการเคารพ และด้วยความภาคภูมิใจมาก ๆ ในความเป็นคนเก่าคนแก่ของดีสนีย์ รวมถึงอีโก้ในตัวทำให้มันเป็นเรื่องที่เค้าทำใจรับไม่ได้ เมื่อโดนกระทำแบบนี้จาก CEO คนก่อนหน้า
Bob จึงเสนอให้ Roy ได้กลับเข้ามาในดีสนีย์ที่เปรียบเสมือนบ้านของเค้าอีกครั้งในฐานะที่ปรึกษาพิเศษและให้สิทธิ Roy ในการไปเปิดตัวหนังเรื่องใหม่ ๆ ของดีสนีย์ รวมไปถึงการเปิดตัวสวนสนุกแห่งใหม่และงานใหญ่ ๆ ต่าง ๆ
โดยให้ค่าตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ กับ Roy ในตำแหน่งที่ปรึกษานี้ ซึ่งจะช่วยทำให้ Roy เหมือนได้กลับมาบ้านหลังเก่าอย่างดีสนีย์อีกครั้งหนึ่ง แลกกับการที่ Roy ต้องหยุดทำทุกอย่างที่ทำลาย Disney ทั้งเรื่องของการปิดเว็บไซต์ที๋โจมตีดีสนีย์รวมไปถึงการที่จะทำเรื่องฟ้องร้องด้วย ทำให้สุดท้ายคนอย่าง Roy นั้นยอมทำตามข้อตกลงนี้ครับ
🌟 Bob ได้ให้บทเรียนในเรื่องนี้ไว้ว่าคนอย่าง Roy นั้นต้องการ “Respect” อย่างมาก
1
การที่เค้าให้ข้อเสนอที่ตอบสนองในสิ่งที่ Roy ต้องการนี้ได้ทำให้บริษัทนั้นได้ประโยชน์มากกว่า เนื่องจากข้อเสนอนี้มีต้นทุนที่น้อยกว่าเทียบกับการที่เค้าจะต่อสู้กับเรื่องแบบนี้รวมไปถึงเรื่องการฟ้องร้องให้ถึงที่สุด
ซึ่งเค้าบอกจริง ๆ แล้วเค้าไม่จำเป็นต้องไปคุยดี ๆ กับ Roy ก็ได้และสามารถจะต่อสู้การฟ้องร้องไปให้ถึงที่สุด แต่สุดท้ายแล้วน่าจะทำให้บริษัทต้องสูญเสียหลาย ๆ อย่างทั้งต้นทุนที่มากกว่ารวมถึงภาพลักษณ์ของบริษัทอีกด้วย
2️⃣ สิ่งถัดมาอย่างที่สองที่ Bob ต้องจัดการแก้ไขก็คือความสัมพันธ์กับ Steve Jobs และบริษัท Pixar
ต้องเกริ่นก่อนว่าก่อนหน้าที่ Bob จะเป็น CEO นั้น ทางดีสนีย์นั้นมีปัญหาที่ไม่ลงรอยกับ Pixar อย่างมากในการร่วมงานกัน ทำให้ Steve Jobs นั้นไม่ชอบเอาเสียเลยครับและบอกไว้ว่าจะไม่ร่วมงานกับทางดีสนีย์อีกต่อไป
1
แต่เนื่องด้วย Bob นั้นมองเห็นโอกาสทางธุรกิจและศักยภาพที่สูงมาก ๆ ในการทำหนังอนิเมชั่นของ Pixar ที่มีตัวอย่างหนังที่โด่งดังมาก ๆ อย่าง Toy Story และต้องการให้ดีสนีย์นั้นจับมือเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจในอนาคต
Bob จึงได้ตัดสินใจโทรหา Steve Jobs เล่าให้ฟังถึงไอเดียที่ว่าเค้าอยากทำสิ่งที่คล้าย ๆ กับ iPod ที่บรรลุรายการโทรทัศน์ต่าง ๆ ของ Disney ไว้สำหรับดูเมื่อไหร่ก็ได้
ซึ่งเค้าเรียกชื่อมันว่า “iTV” ซึ่งปรากฏว่า Steve Jobs นั้นสนใจครับ เนื่องจากเค้ากำลังทำสิ่งที่คล้าย ๆ กัน อยู่และหลังจากนั้นเค้าได้บินมาเจอกับ Bob แล้วก็โชว์ iPod แบบใหม่ที่สามารถเล่นวิดีโอได้ ซึ่งจะทำให้คนสามารถดูวิดีโอต่าง ๆ ได้บน iPod ไม่ใช่แค่ฟังเพลงเหมือนแต่ก่อน
🌟 สิ่งที่ Bob ได้ทำก็คือการมี empathy และ respect ในตัวของ Steve Jobs ซึ่งแตกต่างจากที่ Steve Jobs ได้รับจาก CEO คนก่อนหน้า นอกจากนี้ Bob ยังแสดงให้เห็นความจริงใจและเอาจริงกับการต้องการความร่วมมือกับ Steve Jobs ซึ่ง Steve Jobs ยังเคยพูดว่า เค้าไม่เคยเจอใครในธุรกิจด้านสื่อบันเทิงที่กล้าที่จะเสี่ยงและ disrupt ธุรกิจของตัวเองแบบ Bob มาก่อนเลย
1
หลังจากนั้นดีสนีย์ก็ทำการเข้าซื้อบริษัท Pixar ของ Steve Jobs ด้วยมูลค่าที่สูงถึง 7.4 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อมาบบรรลุเป้าหมายการเติบโตของดีสนีย์ที่ช่วงหลังการทำหนังอนิเมชั่นนั้นไม่สามารถสู้ทาง Pixar ได้เลย ดีลที่สำคัญดีลนี้ก็ได้มาจากความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง Bob กับ Steve นั่นเองครับ 👍🏻
3️⃣ สิ่งถัดมาที่ Bob บอกว่าต้องรีบจัดการคือ การจัดการกับหน่วยงาน Strategic Planning ครับ 😆
1
อย่างที่เคยเกริ่นไว้ในตอนที่แล้วครับว่าเมื่อ Bob ได้เข้ามาทำงานกับดีสนีย์ เค้ามองเห็นวัฒนธรรมองค์กรที่เค้าไม่ชอบเลยคือ ความเชื่องช้าในการตัดสินใจที่ทุกอย่างต้องวิ่งผ่านไปหาหน่วยงาน Strategic Planning ในการจะตัดสินใจทั้งหมด
หลังจากเค้าได้รับตำแหน่ง CEO ไม่นาน เค้าได้รับเชิญให้เข้าประชุม ๆ หนึ่งที่เกี่ยวกับการตั้งราคาค่าตั๋วค่าเข้าของดีสนีย์แลนด์ที่ฮ่องกง ซึ่งการประชุมครั้งนั้นถูกเรียกโดย Peter Murphy ที่เป็นหัวหน้าของหน่วยงาน Strategic Planning ที่ต้องการที่จะแน่ใจว่าคนที่หน้างานสามารถตัดสินใจได้ถูกต้อง
โดยดีลนั้นก็ใกล้จะสำเร็จแล้วเลยโดยทางบอร์ดบริหารของดีสนีย์ได้อนุมัติดีลนี้แล้วด้วยซ้ำแต่เป็นตัว Bob เองที่ขอยกเลิกเนื่องจากเค้ามองเห็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับแบรนด์ของ Disney หากมีการใช้ platform ของ Twitter ในการเข้าหาลูกค้า Bob ได้บอกไว้ว่าเค้าเชื่อในสัญชาติญาณของเค้าที่เค้ารู้สึกว่าดีลนี้ยังไม่ใช่สำหรับบริษัท
“If something doesn’t feel right to you, then it’s probably not right for you”
“When you innovate, everything needs to change, not just the way you make or deliver a product. Many of the practices and structures within company need to adapt, too” ☀️
“I know why companies fail to innovate… It’s tradition. Tradition generates so much friction, every step of the way”
📌 สำหรับหนังสือ “The Ride of a Lifetime” เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่อ่านสนุกมาก ๆ เลยครับ Bob Iger นั้นเขียนเล่าเรื่องได้น่าติดตาม และที่สำคัญให้แนวคิดการบริหารงานและความเป็นผู้นำเยอะมากจริง ๆ ครับ โดยเฉพาะการบริหารองค์กรที่ต้องการ innovation หรือสิ่งใหม่ ๆ ที่ต้องบอกว่าทำไม่ง่ายเลยนะครับ สำหรับองค์กรขนาดใหญ่อย่าง Walt Disney Company