22 พ.ค. 2022 เวลา 13:38 • หนังสือ
คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า...คนที่ประสบความสำเร็จมากๆ นั้น เป็นเพราะอะไร? ระหว่าง 1.ความเก่ง 2.ความพยายาม หรือ 3.ความโชคดี? แล้วคุณล่ะ สิ่งที่คุณเคยทำสำเร็จมาได้เป็นเพราะอะไรมากที่สุด?
1
สรุปหนังสือ The Psychology of Money ตอนที่ 3
ในสัปดาห์ที่แล้ว แอดก็ได้เล่าถึงบทที่ 1 ของจิตวิทยาว่าด้วยเงินไปแล้ว นั่นคือเรื่องของ “เหตุผลที่คนเราตัดสินใจเรื่องเงินไม่เหมือนกัน”
ในสัปดาห์นี้ แอดก็จะมาเล่าต่อในบทที่ 2 ว่าด้วยเรื่องของ “โชคและความเสี่ยง” เนื้อหามีดังนี้
Topic:
1.ผลลัพธ์ในชีวิตของเรานั้น เกิดจากอะไร?
2.เรื่องราวของโชค: บิล เกตส์ [เรื่องนี้อาจทำให้การเลือกโรงเรียนให้ลูกของคุณ เป็นสิ่งที่ต้องคิดมากขึ้น]
3.เรื่องราวของความเสี่ยง: เคนท์ อีแวนส์ [เพื่อนสมัยมัธยมของบิล เกตส์]
4. 2 รูปแบบ ของความสำเร็จและล้มเหลว คุณควรเลือกศึกษาแบบไหน?
5.จดหมายของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ถึงลูกชายหลังจากลืมตาดูโลก
1
ใครสนใจตรงไหน ก็ตามมาอ่านกันต่อได้เลยค่ะ ลุย!!!
ทั้งโชคและความเสี่ยงนั้นบอกความจริงกับเราว่า ทุกๆ ผลลัพธ์ในชีวิตนั้นถูกชี้นำโดยพลังงานอื่นที่นอกเหนือจากความพยายามส่วนบุคคล พวกมันมีความคล้ายคลึงกันมากเสียจนคุณไม่สามารถที่จะเชื่อในสิ่งหนึ่งโดยไม่เคารพอีกสิ่งหนึ่งอย่างทัดเทียมกัน
ทั้งคู่เกิดขึ้นเพราะโลกใบนี้ซับซ้อนเกินกว่าที่จะอนุญาตให้การกระทำ 100% ของคุณเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ 100% ของคุณ พวกมันถูกขับเคลื่อนด้วยสิ่งเดียวกัน นั่นคือ คุณเป็นคนหนึ่งในเกมที่มีผู้เล่นอื่นอีก 7,000 ล้านคนและส่วนต่างๆ ที่เคลื่อนไหวไม่รู้จบ
ผลกระทบโดยไม่ตั้งใจจากการกระทำที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณนั้นสามารถสร้างผลลัพธ์ได้มากกว่าสิ่งที่คุณตั้งใจทำ
เครดิตภาพ:  https://www.matichon.co.th/prachachuen/daily-column/news_1720112
บิล เกตส์ ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมแห่งเดียวในโลกที่มีคอมพิวเตอร์
ที่มาของการที่โรงเรียนเลคไซด์ตั้งอยู่นอกเมืองซีแอตเติลแต่กลับมีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้นั้นน่าทึ่ง
ในปี 1968 ดักเกิลได้ทำการยื่นคำร้องต่อชมรมคุณแม่ โรงเรียนเลคไซด์ว่าให้ใช้เงินที่ได้จากการขายของจิปาถะราว 3,000 เหรียญต่อปีในการเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์โทรเลขโมเดล 30 ที่เชื่อมต่อกับเมนเฟรมเทอร์มินัลของบริษัทเจเนอรัลอิเล็กทริกเพื่อมาใช้งานระบบแบ่งเวลาและทรัพยากร (Time-Sharing)
“แนวคิดเรื่องของการใช้ระบบ Time-Sharing นั้นถูกคิดค้นขึ้นในปี 1965” เกตส์ยังพูดต่อไปอีกว่า “มีใครบางคนค่อนข้างที่จะมองการณ์ไกล” วิทยาลัยและโรงเรียนส่วนใหญ่นั้นไม่ได้มีคอมพิวเตอร์อยู่ใกล้มือนักเรียนในระดับเดียวกับที่บิล เกตส์มีในตอนที่เขาเรียนอยู่เกรดแปด และเขาก็หลงใหลมันมาก
Paul Allen and Bill Gates เครดิตภาพ:  https://komonews.com/news/local/north-seattle-school-where-paul-allen-and-bill-gates-met-mourns-loss-of-software-icon
เกตส์อายุ 13 ปีในตอนที่เขาได้พบกับ พอล อัลเลน (ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์) เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา อัลเลนเองก็หมกมุ่นอยู่กับคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนเช่นกัน และพวกเขาสองคนก็เป็นเพื่อนกันแทบจะในทันที
วิชาคอมพิวเตอร์ที่เลคไซด์นั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาควิชาสามัญ มันเป็นวิชาอิสระ บิลและพอลสามารถเล่นกับมันได้ในยามว่าง ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาให้ดำเนินไปอย่างบ้าคลั่งหลักเลิกเรียนไปจนถึงมืดค่ำไม่เว้นแม้ในวันหยุดสุดสัปดาห์ พวกเขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็ว
ในระหว่างที่อยู่ดึกคืนหนึ่ง อัลเลนเรียกเกตส์และเอานิตยสารฟอร์จูนให้เขาดูแล้วพูดว่า “นายว่าการทำธุรกิจในฟอร์จูน 500 มันจะเป็นยังไง” อัลเลนพูดว่าเขานึกภาพนั้นไม่ออกเลย “บางทีเราอาจจะมีบริษัทเป็นของตัวเองสักวันก็ได้นะ” เกตส์พูด
ในวันนี้บริษัทไมโครซอฟท์นั้นมีมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านเหรียญ
เครดิตภาพ: https://www.businessyab.com/explore/united_states/washington/king_county/seattle/northwest_seattle/1st_avenue_northeast/13510/lakeside-middle-school-206-368-3630.html
@เฮาเซิลให้เราลองพิจารณาตัวเลขพวกนี้ดู...
ตามรายงานขององค์การสหประชาชาติ ใน 1968 มีนักเรียนมัธยมปลายอยู่ราว 303 ล้านคนทั่วโลก
ในจำนวนนั้นมี 18 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา
ราว 270,000 คนอาศัยอยู่ในรัฐวอชิงตัน
มีแสนกว่าคนอาศัยอยู่ในพื้นที่ซีแอตเติล
1
และมีแค่ประมาณ 300 คนได้เข้าเรียนที่โรงเรียนเลคไซด์
เริ่มต้นที่ 303 ล้านคน จบลงที่ 300 คน
เครดิตภาพ: https://www.cnbc.com/2018/05/24/bill-gates-got-what-he-needed-to-start-microsoft-in-high-school.html
นักเรียนมัธยมปลาย 1ในล้านคนได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่มีทั้งเงินและวิสัยทัศน์ในการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์และบิล เกตส์ก็เป็นหนึ่งในพวกเขาเหล่านั้น
เกตส์นั้นไม่อายที่จะพูดว่า “ถ้าหากไม่มีเลคไซด์ ก็คงไม่มีบริษัทไมโครซอฟท์” เขาพูดกับนักเรียนของโรงเรียนที่จบการศึกษาในปี 2005
เกตส์นั้นฉลาดปราดเปรื่อง เขาทำงานหนักมาก และเขาก็ยังเป็นวัยรุ่นที่มีวิสัยทัศน์เรื่องคอมพิวเตอร์ที่แม้แต่ผู้ปฏิบัติการด้านคอมพิวเตอร์รุ่นเก๋าส่วนมากเองก็ยังไม่เข้าใจ อีกทั้งเขายังมีข้อได้เปรียบที่น้อยคนจะมีจากการได้เข้าเรียนที่โรงเรียนเลคไซด์
เครดิตภาพ: https://www.salika.co/2020/07/03/kent-evans/
เคนท์ อีแวนส์ เพื่อนสมัยมัธยมของบิล เกตส์ เขาได้พบญาติสนิทของโชคที่มีพลังเทียบเท่ากัน มันมีชื่อเรียกว่า “ความเสี่ยง”
ชื่อของบิล เกตส์ และพอล อัลเลน นั้นกลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางด้วยความสำเร็จของบริษัทไมโครซอฟท์ ถ้าย้อนกลับไปที่เลคไซด์ ตอนนั้นยังมีสมาชิกคนที่ 3 ของกลุ่มหัวกะทิคอมพิวเตอร์อยู่อีกหนึ่งคน
เคนท์ อีแวนส์และบิล เกตส์ มาเป็นเพื่อนสนิทกันตอนเกรดแปด อีแวนส์นั้นเป็นนักเรียนที่เก่งที่สุดในชั้นเรียน สิ่งนี้เป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของเกตส์เอง
ทั้งสองเคย “คุยโทรศัพท์กันเป็นบ้าเป็นหลัง” เกตส์เล่าให้ฟังในสารคดี Inside Bill’s Brain ว่า “ผมยังจำเบอร์โทรศัพท์ของเคนท์ได้อยู่เลย” เขาพูด “525-7851”
1
เครดิตภาพ: https://www.salika.co/2020/07/03/kent-evans/
อีแวนส์เป็นคนที่เก่งทางด้านคอมพิวเตอร์เหมือนเกตส์และอัลเลน
ครั้งหนึ่งเลคไซด์ต้องพบกับความยากลำบากในการจัดทำตารางเรียนของโรงเรียนด้วยมือ มันเป็นเขาวงกตแห่งความซับซ้อนเพื่อช่วยให้นักเรียนหลายร้อยคนได้เรียนในวิชาที่พวกเขาต้องการโดยไม่กระทบกับวิชาอื่นๆ โรงเรียนได้มอบหมายให้บิลและเคนท์ซึ่งถือว่ายังเด็กในตอนนั้นให้สร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อช่วยแก้ปัญหานี้ และมันก็ใช้ได้ผล
1
เคนท์แตกต่างจากพอล อัลเลน เขามีความคิดทางด้านธุรกิจและความทะเยอทะยานไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนบิล
“เคนท์มักจะมีกระเป๋าเอกสารใบใหญ่เหมือนกับกระเป๋าของนักกฎหมายอยู่เสมอ” เกตส์เล่า “เรามักจะวางแผนถึงสิ่งที่เราจะทำในอนาคต 5-6 ปีข้างหน้า เราจะไปเป็น CEO ดีไหม? นายจะสร้างผลกระทบแบบไหนได้บ้าง? เราจะเป็นเหมือนคนทั่วไปดีไหม? หรือว่าเราควรจะไปเป็นฑูต?” ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม บิลและเคนท์ก็รู้ดีว่าพวกเขาจะทำมันร่วมกัน
หลังจากที่ได้หวนนึกถึงมิตรภาพของเขากับเคนท์ เสียงของเกตส์ก็แผ่วลง
เครดิตภาพ: https://www.salika.co/2020/07/03/kent-evans/
“เราคงได้ทำงานร่วมกัน ผมแน่ใจว่าเราทั้งสองคนจะได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน” เคนท์น่าจะได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ร่วมกันกับเกตส์และอัลเลน
แต่ว่ามันคงจะไม่มีทางเกิดขึ้น เคนท์เสียชีวิตจากการปีนเขาก่อนที่จะเรียนจบชั้นมัธยมปลาย
ทุกปีจะมีคนเสียชีวิตจากการปีนเขาราวๆ 36 รายในสหรัฐอเมริกา โอกาสเสียชีวิตในวัยมัธยมปลายจากการปีนเขานั้นมีประมาณ 1 ในล้าน
บิล เกตส์ ได้ประสบกับโอกาสโชค 1 ในล้านด้วยการได้เรียนในโรงเรียนเลคไซด์ เคนท์ อีแวนส์ได้ประสบกับความเสี่ยง 1 ในล้านด้วยการไม่มีวันทำสิ่งที่เขาและเกตส์ตั้งใจว่าจะทำได้สำเร็จ มันเป็นพลังงานรูปแบบเดียวกัน มีขนาดเท่ากันแต่ทำงานในทิศทางตรงกันข้าม
@โชคกับความเสี่ยง
ทั้งสองสิ่งนี้วัดได้ยาก และยากที่จะยอมรับ จนมันมักจะถูกมองข้ามไป นอกจากคนอย่างบิล เกตส์แล้วก็ยังมีคนอย่างเคนท์ที่ทั้งเก่งและทะยานอยากเหมือนกัน แต่ต้องจบชีวิตลงที่อีกด้านของรูเล็ตแห่งชะตาชีวิต
หากคุณให้ความเคารพกับโชคและความเสี่ยงอย่างเหมาะสม คุณจะตระหนักได้ว่า เมื่อใดที่คุณตัดสินความสำเร็จทางการเงินของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นตัวคุณเองหรือคนอื่นๆ มันไม่เคยดีหรือแย่ไปกว่าที่เห็น
2
1.ตัวบุคคลและกรณีศึกษา
2.รูปแบบในภาพกว้าง
คำแนะนำของเฮาเซิลคือ...
จงโฟกัสไปที่ตัวบุคคลและกรณีศึกษาให้น้อยลง และเน้นไปที่รูปแบบในภาพกว้างให้มากขึ้น
การศึกษาบุคคลที่เฉพาะเจาะจงนั้นสามารถเป็นเรื่องที่อันตรายได้ เนื่องจากเรามีแนวโน้มที่จะศึกษาตัวอย่างที่สุดโต่ง เช่น เศรษฐีพันล้าน CEO หรือความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่ถูกพูดถึงทุกสำนักข่าว
ตัวอย่างสุดโต่งมักจะใช้ได้กับสถานการณ์อื่นๆ ได้น้อยมากเนื่องจากความซับซ้อนของมัน ยิ่งผลลัพธ์ที่ออกมานั้นสุดโต่งมากแค่ไหน มันก็ยิ่งมีแนวโน้มที่คุณจะเอาบทเรียนไปใช้กับชีวิตของคุณเองน้อยลง เนื่องจากผลลัพธ์นั้นมีโอกาสรับอิทธิพลมาจากด้านปลายสุดของโชคหรือความเสี่ยง
1
คุณจะเข้าใกล้สิ่งที่สามารถนำไปใช้ได้จริงจากรูปแบบที่กว้างกว่าของความสำเร็จและความล้มเหลว ยิ่งรูปแบบนั้นธรรมดามาก คุณก็จะยิ่งนำมันไปปรับใช้กับชีวิตของคุณได้มากขึ้นเท่านั้น
1
ตัวอย่างเช่น...
ความพยายามในการเลียนแบบการลงทุนที่ประสบความสำเร็จของวอร์เรน บัฟเฟตต์ นั้นเป็นเรื่องยาก เนื่องจากผลลัพธ์ของเขานั้นสุดโต่งมากเสียจนบทบาทของโชคในผลประกอบการตลอดชีวิตของเขานั้นอยู่ในระดับสูง และโชคก็ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะสามารถเลียนแบบอย่างไว้ใจได้
แต่การตระหนักได้ว่าคนที่สามารถควบคุมเวลาของพวกเขาได้นั้นมีแนวโน้มที่จะมีชีวิตที่มีความสุขมากกว่า นับเป็นการสังเกตที่กว้างและธรรมดามากพอที่คุณจะสามารถทำอะไรกับมันได้ เป็นต้น
“คนบางคนเกิดมาในครอบครัวที่ส่งเสริมด้านการศึกษา ในขณะที่คนอื่นๆ เกิดมาในครอบครัวที่ต่อต้าน คนบางคนเกิดมาในเศรษฐกิจเฟื่องฟูที่ส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการ ในขณะที่คนอื่นๆ เกิดมาพบกันสงครามและความอดอยาก...
…พ่ออยากให้ลูกประสบความสำเร็จ และพ่ออยากให้ลูกได้มันมา แต่ลูกจงตระหนักไว้ให้ดีว่าทุกความสำเร็จไม่ได้เกิดจากการทำงานหนักและทุกความยากจนไม่ได้เกิดจากความเกียจคร้าน...
ขอให้ลูกนึกถึงสิ่งนี้อยู่เสมอในเวลาที่ตัดสินผู้คน รวมถึงตัดสินตัวของลูกเองด้วย”
ดังนั้น
จงระวังคนที่คุณสรรเสริญและชื่นชม จงระวังคนที่คุณดูถูกและหวังหลีกเลี่ยงการเป็นแบบพวกเขา
หรือแค่เพียงคุณระวังในเวลาที่คุณคิดว่าผลลัพธ์ 100% นั้นมาจากความเพียรพยายามและการตัดสินใจ
2
อ่านจบแล้วเป็นยังไงบ้างคะ?
สำหรับแอดเอง แอดก็ยังเชื่อในความพยายามและการพัฒนาตัวเองอยู่นะคะ เพราะเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้มากที่สุด โดยเลือกใส่มันลงไปในเรื่องที่เราชอบ ถนัด ทำแล้วมีความสุข สุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรมันคงเป็นเรื่องของปลายทาง แต่สิ่งที่ได้มาแน่ๆ คือความสุขที่ได้ทำในระหว่างทางค่ะ
1
ส่วน “โชค” นั้น แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากได้ แต่จะให้รอแต่โชคอย่างเดียวโดยไม่ทำอะไรเลยก็คงไม่ใช่ เราไม่รู้นี่นาว่ามันจะมาช้า มาเร็ว หรือมาไหม?
2
สุดท้าย “ความเสี่ยง” แน่นอนว่าไม่มีใครต้องการ มันก็เป็นข้อเตือนใจเราว่า “อย่าประมาท” ในทุกย่างก้าวของชีวิตค่ะ
1
โฆษณา