23 พ.ค. 2022 เวลา 15:50 • ประวัติศาสตร์
ตรรกะที่ว่าคนเรา มีความฉลาด โตๆกันแล้ว วิเคราะห์กันเองได้แล้ว เลยไม่จำเป็นต้องมีศาสนา ผมว่ามันฟังดูก็มีเหตุมีผลดีและที่สําคัญ ฟังดูแล้วเท่ห์ มีความเป็นคนรุ่นใหม่ทันสมัย แต่เราเคยสังเกตกันไหมว่า การที่เราบ่นๆเรื่องความอยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำ ความเอารัดเอาเปรียบ ความไม่เท่าเทียม ไม่รวมถึงความชั่ว โจรผู้ร้าย ที่เราคิดว่ากฏหมายจะใช้จัดการเรื่องพวกนี้ได้
แต่ปรากฏว่าโลกก็ยังมีแต่โจรเต็มบ้านเต็มเมือง มีความขัดแย้ง ความคิดแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเต็มไปหมด ที่สำคัญอัตตาหรือตัวตน ที่แบ่งพรรคแบ่งพวก เป็นคนของฉัน คนของเรา กิเลสที่ครอบงําในตัวมนุษย์ก็ยังมีอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัว จะเห็นได้ว่ายังมีความโกรธ ความทุกข์ ความโศกเศร้า ความหลงผิดเต็มไปหมด ถ้าเราใช้ความฉลาดของมนุษย์หรือเทคโนโลยีอะไรต่างๆแก้ปัญหาพวกนี้ได้ มันคงจะหมดไปจากโลกแล้ว เคยคิดไหมว่าสาเหตุเกิดจากอะไร?
แต่ที่มันมีอยู่เพราะปัญหาพวกนี้มันสะสมในจิตใจที่ใช้ความฉลาดและวิทยาศาสตร์แก้ไขไม่ได้ คนเราจึงต้องมีหลักศรัทธาความเชื่อหรือศาสนามาควบคุมในระดับจิตใจอีกขั้นหนึ่ง หัวใจศาสนาจริงๆจะใช้ปัญญาในการทําความเข้าใจ ไม่ใช่ใช้ความเชื่องมงาย เช่นทรงเจ้า อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ หรือไปเสื่อมศรัทธาในสมมติสงฆ์ที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แก่นของศาสนาซึ่งเราแยกไม่ออก เลยไปเหมารวมว่านี่เป็นศาสนา
ศาสนานั้น เป็นหลักปฏิบัติที่นําพาชีวิตให้ดีงาม ศาสนายกระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้น ศาสนาสอนให้รู้สภาวะความจริงของธรรมชาติ สอนให้รู้จัก และวิธีเอาชนะ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่ซ้อนเร้นในตัวเรา และแสดงออกมาในรูป ความโกรธ ความเกลียด ความหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน ความทุกข์ ความไม่สมหวังต่างๆนานา สอนให้คลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ชีวิตในทางศาสนาก็แค่นี้เอง ไม่ได้ต้องการอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เหาะเหินเดินอากาศ
1
ส่วนคนที่ไม่มีศาสนา ถ้าเข้าใจหลักการที่ผมอธิบาย และสามารถปฏิบัติตามได้ ก็ไม่จําเป็นต้องมีศาสนา แต่อย่างใด เพราะถ้าเข้าใจเป้าหมายและหลักการ ก็จะเข้าใจว่า ศาสานาเป็นเพียงสมมติสัจจะที่ยกขึ้นมาใช้ในโลกมนุษย์เพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างหนึ่ง แต่สําหรับคนที่ไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วอ้างว่าตัวเองไม่นับถืออะไรหรือพูดง่ายๆว่าไม่มีหลักในการดำเนินชีวิตก็ถือว่าเป็นความมืดบอด อาจหลงทางได้เสมอ
1
โฆษณา