23 พ.ค. 2022 เวลา 17:36 • ปรัชญา
5 วิธีอ่านใจคน
ตามหลักทฤษฎีของนักจิตวิทยา 90 เปอร์เซ็นต์ของความรู้สึกในใจจะแสดงออกมาในรูปแบบบุคลิกและท่าทาง การ “อ่านใจคน” ให้ออก จะทำให้เราเป็นต่อในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรักหรือการงาน ด้วยความที่เราไม่สามารถใช้วัจนภาษาในการสื่อสารเพียงอย่างเดียว อวัจนภาษาก็ต้องสอดคล้องควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังสื่อสารออกไป
เราจำเป็นต้องฝึกใช้ท่าทางและอ่านท่าทางของฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้สามารถรับมือและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอีกฝ่าย อย่างไรก็ตาม อยากให้เข้าใจก่อนว่า วิธีที่เรากำลังจะบอกต่อไปนี้ไม่ใช่เครื่องการันตีว่าจะต้องถูกต้องเสมอไป เพราะแม้แต่นักจิตวิทยาเองก็สามารถ
อ่านความคิดด้วยวิธีนี้ได้ถูกต้องเพียง 80 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น มาดูกันว่าเราจะสามารถ “อ่านใจคน” จากการสังเกตบุคลิกและท่าทางได้อย่างไร จาก 5 ข้อที่เราได้รวบรวมมา ดังนี้
1.สังเกต “การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแก้ม”
บางครั้งเราก็ต้องยิ้มเพื่อเอาใจเจ้านายเวลาที่ฟังเรื่องแสนน่าเบื่อ เจอคนที่ไม่ชอบหน้าที่ทำงาน หรือเวลาเจอตลกฝืด
วิธีสังเกตคนเวลาที่ยิ้มอย่างไม่เต็มใจนั้นให้ดูที่ “แก้ม” เพราะเวลาที่หัวเราะหรือยิ้มจากใจจริง ๆ “กล้ามเนื้อตรงแก้ม” ที่เรียกว่า “ไซโกมาติคัสเมเจอร์” จะยกขึ้น เช่น เวลาเห็นใครเล่าตลกฝืด แต่อีกฝ่ายยิ้มยกแก้มขึ้น นั่นแปลว่าเขาตลกกับมันจริง ๆ แต่ถ้าต่อให้หัวเราะดังแค่ไหนแต่แก้มไม่ยกขึ้นเลย
นั่นคือการแสร้งยิ้ม และเขาคิดว่าสิ่งนี้มันน่าเบื่อ ถ้าเราอยากรู้ว่าคนรอบตัวของเรายิ้มออกมาจากใจหรือไม่ ให้เราสังเกตการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแก้ม นอกจากนี้ ยังสามารถสังเกตได้จากการมองไปทั่วทั้งใบหน้า ถ้ายิ้มแล้วปรากฏรอยย่นบนใบหน้า นั่นแสดงถึงการยิ้มออกมาจากใจ
2. อ่านใจคนจาก “การแสดงออกทางสีหน้า”
การแสดงออกทางสีหน้าที่บ่งบอกถึงความไม่สบายตัวหรือหดหู่ มีทั้งการขมวดคิ้ว ขบกราม เม้มปาก ใบหน้าตึงและอาการคอแข็ง หากคู่สนทนาของคุณหลับตาลงชั่วครู่ ที่ไม่ใช่การกระพริบตา กระแอมในคอ หรือพูดทวนคำถาม นั่นหมายถึง เขากำลังถ่วงเวลาเพื่อหาข้อแก้ตัว รวมไปถึงอาการไม่สบตา กระพริบตาถี่ หรือ ท่าทางหลุกหลิก
อ่านได้ว่าเขากำลังโกหก ในขณะเดียวกันก็อาจหมายถึงความวิตกกังวล ส่วนในการยกคิ้วสูงอาจหมายถึง อาการประหลาดใจ กังวลใจ และกลัว อีกวิธีง่ายๆ ในการจับสังเกตว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกไม่สบายใจ หรือเครียดกับสิ่งที่เรากำลังพูด คือถ้าคู่สนทนาขบขากรรไกรแน่น จนคอตึง หน้าผากย่น อาการเหล่านี้แสดงว่าภายในใจของอีกฝ่ายกำลังว้าวุ่น
☘☘☘☘☘☘☘☘☘☘☘☘☘☘☘☘
3. มอง "ทิศทางของร่างกาย" ให้ออก บอกอะไรได้มากกว่าที่คิด
ภาษากายเป็นสิ่งที่ยากจะโกหกได้ สมมติว่าเราอยู่ต่อหน้าคนที่รู้สึกดีด้วย เราจะอยากอยู่ใกล้เขา โดยร่างกายจะโน้มตัวไปข้างหน้าเองโดยธรรมชาติ ในทางกลับกัน ถ้าเราอยู่ต่อหน้าคนที่เราเกลียด จิตใต้สำนึก
จะบอกว่าเราต้องอยู่ห่างจากคนนี้เท่าที่เราจะห่างได้ โดยที่ร่างกายเราจะเอนเอียงออกห่างไปเอง เมื่อไหร่ก็ตามที่คู่สนทนาเอนตัวออกห่างขณะพูด สามารถอ่านได้ว่า ณ ขณะนั้น เขากำลังรู้สึกเครียดหรือกดดัน
4.. อ่านความรู้สึกของอีกฝ่ายด้วย “การมองตา”  
“ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ” นั่นเป็นคำพูดที่จริง เพราะเราสามารถอ่านความคิดของคนได้ผ่านดวงตา เพราะดวงตาเป็นจุดที่แสดงความรู้สึกได้ดีที่สุด สังเกตได้ว่าเมื่อเราสนใจในบทสนทนา ตาของเราจะเบิกกว้างและเป็นประกายมากขึ้น แต่ถ้ารู้สึกเบื่อ ไม่น่าสนใจ ตาของเราก็จะหรี่ลง
เรายังสามารถรู้ได้ด้วยว่าอีกฝ่ายชอบเราหรือไม่ผ่านดวงตา ถ้าอีกฝ่ายชอบเราดวงตาจะโตเพราะจับจ้องมาที่เรา แต่ถ้าเกลียดจะหรี่ตาเล็กนั่นเอง
5. อ่านนิสัยและความคิดจาก “ท่าทาง”
คนที่มีนิสัยต้องจับของตลอดเวลา เช่น ควงปากกา เล่นมือถือ พอไม่ได้จับก็จะรู้สึกหงุดหงิด มักมีนิสัยต่อต้านคนอื่น เป็นพวกปากไม่ตรงกับใจ เวลาที่จะชวนคนประเภทนี้ไปไหน ควรชวนซ้ำสัก 2 – 3 รอบ เพื่อป้องกันการโดนปฏิเสธ แต่ที่จริงนิสัยของคนประเภทนี้เป็นคนที่คบหาด้วยง่าย ส่วนการกอดอก หรือไขว้ขาเป็นประจำนั้น  เป็นการสร้างกำแพงขึ้นมาขวางกั้นระหว่างคู่สนทนา
โฆษณา