26 พ.ค. 2022 เวลา 03:50 • ธุรกิจ
วิเคราะห์ กลยุทธ์ตั้งราคาสินค้า ของ Apple
หากใครที่เป็นสาวกของ Apple คงจะคุ้นเคยกับลักษณะการตั้งราคา ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์นี้
เช่น มีราคามาให้เลือก 3 ราคา ตามกำลังซื้อของแต่ละคน
แต่กลยุทธ์การตั้งราคาเหล่านี้ มีเทคนิคอะไรซ่อนอยู่หรือไม่ ?
หากใครที่เคยซื้อสินค้าของแบรนด์นี้อาจจะเห็นการตั้งราคา อย่างเช่น
iPhone 13 ราคา $799, $899, $1099
iPhone 13 Pro ราคา $999, $1099, $1299, $1499
iPhone 13 Pro Max ราคา $1099, $1199, $1399, $1599
เห็นแบบนี้ก็บอกได้เลยว่า
กลยุทธ์แรกที่ Apple ใช้ก็คือ “Charm Pricing” หรือกลยุทธ์การตั้งราคาสินค้าที่ลงท้ายด้วยเลข 9
ข้อดีของการตั้งราคาเช่นนี้คือ ตามหลักจิตวิทยาแล้ว คนจะตัดสินใจซื้อได้ง่ายกว่า เมื่อสินค้าราคาลงท้ายด้วยเลข 9 เช่น
หาก Apple ตั้งราคาเริ่มต้นของ iPhone 13 อยู่ที่ 800 ดอลลาร์สหรัฐ เราอาจจะมองว่ามันแพงเกินไปเสียหน่อย
แต่เมื่อปรับราคามาอยู่ที่ 799 ดอลลาร์สหรัฐ กลับทำให้เรารู้สึกตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว ราคาถูกกว่าเดิมแค่ 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น แต่เพราะมีข้อมูลเชิงจิตวิทยาที่บอกว่า คนเราจะรับรู้ข้อมูลจากซ้ายไปขวา เพราะเห็นตัวเลขด้านหน้าอยู่ในช่วงราคาที่ต่ำกว่า..
อีกกลยุทธ์หนึ่งที่เราอาจจะยังไม่รู้นั่นก็คือ กลยุทธ์ที่เรียกว่า “Decoy Pricing” หรือการตั้งราคาสินค้าให้ดูไม่สมเหตุสมผล เพื่อให้คนตัดสินใจไปซื้อสินค้าอีกตัวหนึ่งที่คุ้มค่ามากกว่า
2
ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่หลายแบรนด์ใช้ เพื่อให้สามารถขายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง ๆ ได้
วิธีของ Decoy Pricing ก็คือ การตั้งราคาสินค้าให้ดูไม่สมเหตุสมผลขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ที่คงไม่มีใครตัดสินใจซื้อแน่ ๆ เพราะหากซื้อสินค้าอีกชิ้นหนึ่งจะรู้สึกคุ้มค่ามากกว่า
1
อย่างเช่น กรณีของ Apple ที่มีการตั้งราคาของ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ที่ราคา 999 ดอลลาร์สหรัฐ และ 1,099 ดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ
5
จะเห็นได้ว่า ราคาเริ่มต้นของ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max นั้น ไม่ได้แตกต่างกันมาก
ทำให้เมื่อผู้ซื้อเกิดการเปรียบเทียบราคาแล้ว ทำให้หลายคนตัดสินใจไปซื้อ iPhone 13 Pro Max ดีกว่า
เนื่องจากรู้สึกว่า จ่ายเพิ่มอีกเพียงเล็กน้อย ก็ได้ iPhone 13 Pro Max ที่หน้าจอใหญ่ และมีแบตเตอรี่ทน ๆ มาใช้งานแล้ว
หรืออีกกรณีหนึ่งก็เช่น การตั้งราคา ของแต่ละขนาดความจำ ใน iPhone รุ่นเดียวกัน
เช่น
iPhone 13
ขนาดความจุ 128 GB ราคา $799
ขนาดความจุ 256 GB ราคา $899
ขนาดความจุ 512 GB ราคา $1099
2
จะเห็นได้ว่าหากเรายอมจ่ายเพิ่มอีกเพียงเล็กน้อย ก็จะได้ iPhone ที่มีขนาดความจุที่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
ซึ่งหลายคนมองว่า มันคุ้มค่ามากกว่า และหน่วยความจำเพียง 128 GB นั้น อาจไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานในระยะยาว
1
ทั้งนี้ทั้งนั้น กลยุทธ์การตั้งราคาเช่นนี้ อาจใช้ไม่ได้สำหรับทุกแบรนด์
แต่สำหรับ Apple ที่ทำได้นั้น เพราะมีการทำสินค้าที่โดดเด่น ยากที่คู่แข่งจะเทียบเคียงได้ หรือที่เรียกว่า Product Differentiation
นอกจากนั้น Apple ยังมีระบบ Ecosystem ที่แข็งแกร่ง ที่ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในอุปกรณ์ไหนก็เชื่อมต่อหากันได้หมด พร้อมมีระบบบริการรองรับมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Apple Music, iCloud, Apple Pay, AppleCare หรือแม้แต่ App Store
1
ทำให้โดยรวมแล้ว Apple มีความสามารถในการต่อรองเรื่องราคากับผู้บริโภคได้ดี พูดง่าย ๆ คือ ถึงจะขายแพงกว่าสินค้าแบรนด์อื่น แต่ก็มีกลุ่มลูกค้าที่ยอมซื้อเสมอ
เมื่อรวมกับเรื่องความโดดเด่นในตัวสินค้า และกลยุทธ์ในการตั้งราคา ก็ทำให้ Apple สามารถเอาชนะคู่แข่งได้ไม่ยาก
และก็สามารถสร้างรายได้หลัก “ล้านล้านบาท” ได้ในแต่ละปี นั่นเอง..
โฆษณา