25 พ.ค. 2022 เวลา 11:20 • ดนตรี เพลง
#FUNGSPECIAL ครบรอบ 20 ปีอัลบั้ม The Eminem Show ผลงานสุดคลาสสิคของ Eminem
-ครบรอบ 20 ปี The Eminem Show อัลบั้มขายดีที่สุดตลอดกาลที่สามารถตอกย้ำความเป็น mainstream rapper อีกครั้ง มีซิงเกิ้ลฮิตมากมาย อาทิเช่น Without Me, Sing For The Moment, Superman, Cleaning Out My Closet และอีกมากมาย เอากลับมาฟังในยุคดิจิตอลก็ไม่เคยเชย เป็นอัลบั้มที่นำพาสู่จุดพีคสูงสุดในสายอาชีพก่อนที่จะฟอร์มตกในอัลบั้มต่อมา Encore อย่างน่าเสียดาย
-ในความพีคถึงขีดสุด ยังคงผสมโรงไปด้วยวีรกรรมฉาวๆแสบๆระหว่างทางที่อุรุงตุงนังพอๆกับ MMLP ถ้าคุณเอ็นจอยกับอัลบั้มนี้มากเท่าไหร่ ประวัติศาสตร์ระหว่างทางก็มีเรื่องหวือหวาหลังไมค์เดือดๆเยอะเช่นกัน fact ที่เรารวบรวมมาคงไม่ได้เจาะเป็นรายเพลงแน่ๆ
/แอบเน้นเพลงที่สื่ออื่นไม่ได้ mentioned ด้วย หวังว่าทุกคนจะเอ็นจอยกับการอ่านบทความ #FUNGSPECIAL ครบรอบ 20 ปี The Eminem Show อัลบั้มสุดคลาสสิคในความทรงจำของใครหลายคนกันอย่างออกรส
1.Steve Berman สั่งการ เลื่อนวันวางแผงเร็วขึ้น 1 สัปดาห์
-อย่างที่ทราบกันว่ายุค 2000’s เป็นยุคแผ่นผีระบาดจนทำให้ยอดขายแผ่นจริงลดลงอย่างมีสาระสำคัญ ด้วยความที่ Eminem ฮิตระเบิดเถิดเทิงเป็นเวลาต่อเนื่องตลอด 3 ปี ตั้งแต่ The Slim Shady LP ในปี 1999 phenomenon ของจริงในอัลบั้ม MMLP ปี 2000
-และอย่าลืมว่าป๋าแกก็มี side project กับชาวแก๊งค์ D12 กับอัลบั้ม Devil’s Night ในปี 2001 เรียกว่ารีบโกยไปเลย โคตรจะบ้างาน ผลงานต่อเนื่องแบบนี้หลายๆคนอาจจะเบื่อขี้หน้าได้โดยง่าย แต่ก็ทำอะไรป๋าไม่ได้ แฟนเพลงยังคงมีความตื่นเต้นต่ออัลบั้ม The Eminem Show อยู่ดี
-ปัญหาเรื่องการเบื่อขี้หน้าของคนทั่วไปเป็นปัญหาระดับขี้มดมาก เมื่อเทียบกับปัญหาเทปผีซีดีเถื่อนที่ทำเอาค่ายเพลงและศิลปินต่างหวาดผวา หนทางการสร้างรายได้อย่างถูกลิขสิทธิ์จะดรอปลงโดยไม่ต้องสงสัย กำหนดการเดิมในการปล่อยอัลบั้มนี้คือวันที่ 4 มิถุนายน 2545 แต่กลับเจอฝันร้ายแห่งวงการเพลง ซึ่งก็คือกลุ่ม Rabid Neurosis (RNS) ทำการลักลอบรั่วไหลทั้งอัลบั้มนี้ออกสู่โลกออนไลน์ดักทางไว้ 25 วันก่อนวันวางแผงจริง
โปสเตอร์เลื่อนวันวางแผง ทับด้วยประโยค America Can’t Wait
-คนที่รีบ take action ก่อนที่แฟนเพลงจะหนีไปฟังเถื่อนจนไม่รอแผ่นจริงแล้ว นั่นก็คือ Steve Berman ใช่แล้วครับ ป๋าเน็มเอาไปเป็นตัวโจ๊กใน skit ตั้งแต่อัลบั้มชุดที่แล้ว และถูกยิงในอัลบั้มนี้ด้วย
-บุคคลนี้มีตัวตนอยู่จริงนะครับ แกเป็นประธานฝ่ายขายและการตลาดของค่าย Interscope Records คนนี้แหละคือคนที่แก้เกมส์ ด้วยการเร่งการผลิตซีดี อนุญาตให้รายการวิทยุ Opie and Anthony พรีเมียร์เพลงทั้งอัลบั้มเต็มๆออกอากาศในวันที่ 17 พฤษภาคม 2545
-ทั้งนี้ยังออกแถลงการณ์ให้ร้านค้าซีดีปลีกย่อยทั้งหลายให้เร่งขายให้แฟนเพลงอย่างเป็นทางการในวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม 2545 มาพร้อมกับโปสเตอร์ที่ทับด้วยประโยค America Can’t Wait พร้อมทั้งขีดฆ่าวันที่เดิมอย่างที่เห็นในภาพแนบ โดยปกติแล้วกฏของการนับยอดขายอัลบั้มประจำสัปดาห์จะสิ้นสุดในวันอาทิตย์ของทุกสัปดาห์ นั่นหมายความว่า The Eminem Show เก็บยอดขายอัลบั้มไปสู้กับคู่แข่งศิลปินอื่นๆแค่ 1 วันถ้วนเท่านั้น
พื้นที่ตรงนี้สามารถ Tie-In โฆษณาได้ สินค้า บริการ ครีมได้หมด (ยกเว้นของผิดกฏหมาย) ถ้าใครมีโลโก้สินค้า เราสามารถแทรกโลโก้ตรงรูปรีวิวอัลบั้ม หรือทุกรูปประกอบคอนเทนท์ลักษณะนี้
สนใจโฆษณาลงบนโพสต์ของเพจที่มีผู้ติดตามมากกว่า 16,000 คน
ติดต่อได้ที่อีเมล์ 💌 iamistyle.4real@gmail.com
2.สถิติยอดขายโคตรโหดในยุคก่อนสตรีมมิ่ง
-การทำยอดขายระดับแสนก็อปปี้ภายในวันเดียวคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยปัจจัยของกฏกติกาที่ต้องปล่อยอัลบั้มในวันศุกร์ตามเวลาปกติ แต่สำหรับความฮอตของป๋ากลับสร้างสถิติได้อย่างน่าโจษจันในแบบที่แผ่นผีก็หยุดป๋าไม่ได้ The Eminem Show เปิดตัวยอดขายสุดรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมงอยู่ที่ 284,000 ก็อปปี้
กลายเป็นศิลปินคนแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถครองอันดับ 1 Billboard 200 จากการขายอัลบั้มยอดเรือนแสนแค่ภายในหนึ่งวันเท่านั้น สามารถเอาชนะคู่แข่งทุกคนในชาร์ตที่ปล่อยอัลบั้มตามเวลาปกติด้วย ลองคิดเปรียบเทียบดูเล่นๆนะครับ 284,000 ก็อปปี้ แค่วันเดียวนะ สูงกว่ายอดเปิดตัวสัปดาห์แรกของศิลปินบางรายในยุคปัจจุบันนี้เสียอีก
-โดยสัปดาห์แรกถัดมาตามเวลาปกติก็ทำยอดขายร้อนแรงอย่างต่อเนื่องทะลุล้านก็อปปี้อยู่ที่ 1.3 ล้านก็อปปี้ ครองอันดับ 7 ยอดขายอัลบั้มเปิดตัวสัปดาห์แรกสูงสุดตลอดกาล ยอดขายสัปดาห์ต่อๆมาก็ไม่แผ่วได้ถึงหลักแสนก็อปปี้ ยอดขายโดยรวมทั่วโลกปิดที่ 27 ล้านก็อปปี้
พื้นที่ตรงนี้สามารถ Tie-In โฆษณาได้ สินค้า บริการ ครีมได้หมด (ยกเว้นของผิดกฏหมาย) ถ้าใครมีโลโก้สินค้า เราสามารถแทรกโลโก้ตรงรูปรีวิวอัลบั้ม หรือทุกรูปประกอบคอนเทนท์ลักษณะนี้
สนใจโฆษณาลงบนโพสต์ของเพจที่มีผู้ติดตามมากกว่า 16,000 คน
ติดต่อได้ที่อีเมล์ 💌 iamistyle.4real@gmail.com
3.แรงบันดาลใจจากหนังสุดคลาสสิค The Truman Show
คนยิ่งดัง ยิ่งถูกจับจ้อง เป็นราคาที่ต้องจ่ายของคนมีชื่อเสียงอันเป็นสัจธรรมอยู่แล้ว แรงบันดาลใจของอัลบั้ม “โชว์ของเอมิเน็ม” มาจากภาพยนตร์ไซไฟสุดคลาสสิคของน้า Jim Carrey เรื่อง The Truman Show นั่นเอง โดยเนื้อเรื่องเล่าถึงชีวิตชายหนุ่มที่ทั้งชีวิตถูกถ่ายทอดสดผ่านทีวีให้คนทั้งโลกได้ดู
เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เนื่องในโอกาสครบรอบ 15 ปี ป๋าเน็มได้เปิดเผยแรงบันดาลใจเกี่ยวกับอัลบั้มนี้ผ่าน instagram ด้วยข้อความเขียนมือว่า
“ชีวิตของผมแม่งไม่ต่างจากละครสัตว์และถูกจับจ้องโดยผู้คนตลอดเวลา Jim Carrey เขียนอัลบั้มนี้ให้ผมชัดๆ”
พื้นที่ตรงนี้สามารถ Tie-In โฆษณาได้ สินค้า บริการ ครีมได้หมด (ยกเว้นของผิดกฏหมาย) ถ้าใครมีโลโก้สินค้า เราสามารถแทรกโลโก้ตรงรูปรีวิวอัลบั้ม หรือทุกรูปประกอบคอนเทนท์ลักษณะนี้
สนใจโฆษณาลงบนโพสต์ของเพจที่มีผู้ติดตามมากกว่า 16,000 คน
ติดต่อได้ที่อีเมล์ 💌 iamistyle.4real@gmail.com
4.ทรงงานหนัก สับรางงานหนัง ปั่นงานอัลบั้ม
-อย่างที่อารัมภบทไปในข้อแรก ด้วยความที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ป๋าเน็มก็ทรงงานหนัก แทบไม่หยุดพัก มีผลงานต่อเนื่องมาโดยตลอด ทั้งงานเพลง side project กับชาวแก๊งค์ D12 อย่าง Devil’s Night ที่ปล่อยออกมาก่อนในปี 2001 ก็จริง แต่ระหว่างทางของ side project นั้น ป๋าเน็มทรงปั้น The Eminem Show ออกมานิดหน่อยแล้ว
-ในขณะเดียวกันก็ต้องสับรางไปถ่ายทำ 8 Miles หนังเรื่องแรกในชีวิตด้วยเช่นกัน ณ ตอนนั้นยังมีชื่อว่า Untitled Detroit Project และในปีเดียวกันกับการปล่อย The Eminem Show ภาพยนตร์เรื่องแรกก็ออกฉายสู่สายตาชาวโลกในช่วงปลายปี และฮิตเปรี้ยงปร้างสร้างปรากฏการณ์อีกหน กระแสตอบรับตัวหนังก็ดี เพลงประกอบหนัง Lose Yourself ยังกลายเป็นหนึ่งในเพลงฮิตอมตะของชายคนนี้ด้วย
พื้นที่ตรงนี้สามารถ Tie-In โฆษณาได้ สินค้า บริการ ครีมได้หมด (ยกเว้นของผิดกฏหมาย) ถ้าใครมีโลโก้สินค้า เราสามารถแทรกโลโก้ตรงรูปรีวิวอัลบั้ม หรือทุกรูปประกอบคอนเทนท์ลักษณะนี้
สนใจโฆษณาลงบนโพสต์ของเพจที่มีผู้ติดตามมากกว่า 16,000 คน
ติดต่อได้ที่อีเมล์ 💌 iamistyle.4real@gmail.com
5.ลบภาพจำสยอง คอนเทนท์จริงจัง ทรงเน้นย้ำความเป็นศิลปิน
-จาก 2 อัลบั้มที่ผ่านมาใส่กลิ่นอาย horrorcore เยอะพอสมควร ขาย alter-ego ใส่ความเป็นการ์ตูนที่ไม่ชอบมาพากลใน The Slim Shady LP กลิ่นอายหนังฆาตกรโรคจิตใน MMLP หรือแม้กระทั่ง side project “Devil Night” กับ D12 ก็ไม่ทิ้งเชื้อกลิ่นอาย horrorcore
แน่นอนว่าคงไม่มีศิลปินคนไหนอยากจะติดภาพจำแบบนี้ไปตลอดจนไม่มีโอกาสเผยแง่มุมอื่นๆในเพลงบ้าง The Eminem Show จึงเป็นโอกาสครั้งสำคัญในการลบภาพจำเหล่านั้น เพื่อทรงเน้นย้ำจุดยืนความเป็นศิลปินตัวจริงผ่านนิตยสาร SPIN ไว้ว่า
“ผมต้องการจะลดโทนความช็อคจากอัลบั้มก่อนลง คอนเทนท์เพลงจะซีเรียสจริงจังขึ้น ผมต้องการจะแสดงให้เห็นว่า ผมคือศิลปินตัวจริง ผมต้องการจะอยู่ในวงการนี้ยาวๆ”
-อีกทั้งในปี 2015 แกยังออกมาเผยการใส่อุดมการณ์ใน Intro เปิดตัวแทร็คแรกของอัลบั้ม White America ที่แกทรงเน้นย้ำถึงการเป็นศิลปินตัวจริง สลัดตัวตน Slim Shady เพื่อให้คนฟังได้จดจำเขาในฐานะการเป็นศิลปินตัวจริงเสียงจริงที่สามารถออกมาพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม ณ ขณะนั้น
“ผมอยากทำให้ทุกคนแน่ใจว่า ผมกำลังทำอะไรอยู่ เพลงอย่าง White America และ Cleanin’ out my Closet เป็นตัวอย่างเพลงที่ไม่ใช่ตัวตน Slim Shady เลย ผมตั้งใจจะเรียกอัลบั้มนี้ว่า The Eminem Show เพราะผมคือแร็ปเปอร์ ไม่ใช่การบิ้วด์คาแรคเตอร์ขึ้นมา”
พื้นที่ตรงนี้สามารถ Tie-In โฆษณาได้ สินค้า บริการ ครีมได้หมด (ยกเว้นของผิดกฏหมาย) ถ้าใครมีโลโก้สินค้า เราสามารถแทรกโลโก้ตรงรูปรีวิวอัลบั้ม หรือทุกรูปประกอบคอนเทนท์ลักษณะนี้
สนใจโฆษณาลงบนโพสต์ของเพจที่มีผู้ติดตามมากกว่า 16,000 คน
ติดต่อได้ที่อีเมล์ 💌 iamistyle.4real@gmail.com
6.ทรงโปรดิวซ์เองเกือบทั้งหมด ไม่ต้องพึ่ง Dr.Dre
-หนึ่งเรื่องที่ป๋าเน็มมักโดนสบประมาทเสมอคือ การเป็นเด็กปั้นของ Dr.Dre ที่เอาแต่พึ่งแร็ปเปอร์รุ่นใหญ่อยู่ร่ำไป การระบุชื่อในปกหลัง Executive Producer ว่าเป็น Dr.Dre อาจทำให้ใครหลายคนอดคิดไม่ได้ว่า ป๋าไม่สามารถโปรดิวซ์เพลงได้เองมั้ง ป๋าต้องการพิสูจน์ความเป็นตัวจริงว่า กูไม่ต้องพึ่งหัวหอก N.W.A อย่างที่ใครเค้ากล่าวอ้างด้วยการลงทุนโปรดิวซ์แทบทุกเพลงในอัลบั้มนี้
-สังเกตได้จากเครดิตแต่ละเพลงจะมีชื่อ Eminem เป็นโปรดิวซ์เซอร์หลักเสมอ แทบไม่มีชื่อ Dr.Dre มาข้องแวะเลย ยกเว้นเพลง Business, Say What You Say และ My Dad's Gone Crazy ที่พ่อใหญ่ของเขาอยากมีส่วนร่วมช่วยโปรดิวซ์ให้เต็มๆ
พื้นที่ตรงนี้สามารถ Tie-In โฆษณาได้ สินค้า บริการ ครีมได้หมด (ยกเว้นของผิดกฏหมาย) ถ้าใครมีโลโก้สินค้า เราสามารถแทรกโลโก้ตรงรูปรีวิวอัลบั้ม หรือทุกรูปประกอบคอนเทนท์ลักษณะนี้
สนใจโฆษณาลงบนโพสต์ของเพจที่มีผู้ติดตามมากกว่า 16,000 คน
ติดต่อได้ที่อีเมล์ 💌 iamistyle.4real@gmail.com
7.อิทธิพล Rap Rock เข้มข้น
-แน่นอนว่าคนขาวส่วนใหญ่ต้องเติบโตมากับดนตรีร็อคเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แค่ใจรักในฮิปฮอปมันมากกว่าเท่านั้นเอง แต่สำหรับป๋าเน็มพยายามจับสองแนวขั้วดนตรีที่เขาเติบโตมาผสมผสานกัน ราวกับเขาอยากเก็บโลกทั้งสองใบนี้ไม่ให้จางหายไปโดยง่าย โดยป๋าเน็มให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร The Face ไว้ว่า
เขาได้รับอิทธิพลจาก Led Zeppelin, Aerosmith, Jimi Hendrix ในการทำให้งานเพลงฮิปฮอปชุดนี้มีสุ้มเสียงร็อคยุค ’70s บทบาทของกีตาร์สดสะท้านพอๆกับบีทฮิปฮอป
-ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Sing For The Moment หนึ่งในเพลงฮิตตลอดกาลที่ใช้แซมเปิ้ลเพลง Dream On ของ Aerosmith เสียงจังหวะปรบมือและกลองในเพลง Till I Collapse ก็มาจากเพลงฮิตอมตะ We Will Rock You ของ Queen รวมไปถึงเพลง White America และ Cleaning Out My Closet ด้วย
พื้นที่ตรงนี้สามารถ Tie-In โฆษณาได้ สินค้า บริการ ครีมได้หมด (ยกเว้นของผิดกฏหมาย) ถ้าใครมีโลโก้สินค้า เราสามารถแทรกโลโก้ตรงรูปรีวิวอัลบั้ม หรือทุกรูปประกอบคอนเทนท์ลักษณะนี้
สนใจโฆษณาลงบนโพสต์ของเพจที่มีผู้ติดตามมากกว่า 16,000 คน
ติดต่อได้ที่อีเมล์ 💌 iamistyle.4real@gmail.com
8.เบื้องหลังเพลงด่าแม่ Cleaning Out My Closet
Where's my snare?
I have no snare in my headphones
-ประโยคเปิดอินโทรสุดคลาสสิคที่ไม่ได้พูดขึ้นมาลอยๆ เกิดจากความขัดข้องทางเทคนิคจริงๆที่ซาวนด์เอ็นจิเนียดันปิดเสียงกลองสแนร์ ทำให้แร็ปไปตามน้ำ ทั้งๆที่ไม่ได้ยินเสียงกำกับจังหวะ เมื่อถึงกระบวนการตัดต่อเพลง แทนที่จะเอาใหม่ ป๋ากลับเลือกใช้การบันทึกเสียงครั้งนั้นมาเป็น final version อย่างที่เราได้ยินกัน
-อย่าลืมว่านี่คือเพลงด่าแม่ที่ดันฮิตไปไกล แน่นอนว่าคนเป็นแม่อย่าง Debbie Nelson-Mathers เสียใจอย่างแรงต่อเพลงฮิตของลูกชายจนไม่กล้าฟัง เธอได้กล่าวความรู้สึกนี้ในหนังสือ My Son Marshall, My Son Eminem
โดยเฉพาะท่อนที่ลูกชายเธอแร็ปถึงตอนที่คุณแม่ทะเลาะกับลูกชายแล้วพลั้งปากบอกว่า ลุง Ronnie (ญาติที่ป๋าเอ็มสนิทที่สุด) ไม่สมควรตาย แต่เป็นป๋าเอ็มต่างหากที่ควรจะตายแทน ซึ่งเป็นช่วงที่เขาและแม่ทะเลาะกันในช่วงเวลาหลังงานศพของลุง Ronnie เสร็จสิ้น
Remember when Ronnie died and you said you wished it was me? (Hehe)
Well, guess what? I am dead—dead to you as can be!
-ด้วยความเข้าใจผิดนี้เอง ทำเอาแร็ปเปอร์ผิวขาวโกรธแม่จนไม่คิดจะมองหน้าอีกเลย แล้วตามมาด้วยการแฉแม่ตัวเองในอีกหลายๆเพลง ซึ่งคุณแม่ Debbie พยายามขอโทษป๋าไปหลายครั้งหลายครา แต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งป๋าเอ็มคิดได้ถึงการกลับมาสานสัมพันธ์กับแม่ด้วยการปล่อยเพลง Headlights จากอัลบั้มภาคต่อ The Marshall Mathers LP2 ในปี 2013 เป็นการขอโทษที่ทำให้แม่ตัวเองเสียความรู้สึกจนมองหน้าไม่ติดนานหลายปี
พื้นที่ตรงนี้สามารถ Tie-In โฆษณาได้ สินค้า บริการ ครีมได้หมด (ยกเว้นของผิดกฏหมาย) ถ้าใครมีโลโก้สินค้า เราสามารถแทรกโลโก้ตรงรูปรีวิวอัลบั้ม หรือทุกรูปประกอบคอนเทนท์ลักษณะนี้
สนใจโฆษณาลงบนโพสต์ของเพจที่มีผู้ติดตามมากกว่า 16,000 คน
ติดต่อได้ที่อีเมล์ 💌 iamistyle.4real@gmail.com
9.ที่มาของ The Kiss (Skit) เมียมีชู้ ยิงมันด้วยลูกโม่
-เสน่ห์ของอัลบั้ม Eminem ที่ขาดไม่ได้นอกเหนือจากเพลงแร็ปสุดโหดของเขาก็คือ จิ๊กซอว์เรื่องสั้น Skit ที่คอยสร้างสีสันให้กับอัลบั้มในวาระนั้นๆ ซึ่งมักจะหยิบคนใกล้ชิดของตัวเองมาพูดสบถได้เกินสุภาพชน ตั้งแต่ผู้จัดการส่วนตัว Paul Rosenberg
ตัวละครแฟนเพลงชาวเกย์ที่มักจะมาแทะโลม Eminem อย่าง Ken Kaniff รวมไปถึงบอสใหญ่ฝ่ายการตลาด Steve Berman ที่เอาปู้ยี้ปู้ยำให้ขำขันกัน แต่บาง Skit ก็ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริง เอาความเดือดส่วนตัวมาครีเอทเติมเแต่งลงในนี้แม่งเลย
-The Kiss คือ Skit สุดเดือดที่กำลังจะกล่าวถึง หลายคนพอรู้คร่าวๆว่ามันเป็นเรื่องที่แกเห็นเมียเก่า Kim จูบกับชายคนนึงที่ลานจอดรถตรง Hot Rock Café เลยเกิดอาการหึงหวง วิสาสะหยิบปืน 9 มม.ขึ้นมาจากรถเพื่อน เตรียมลั่นไกก่อนที่ switch ไปที่เพลง Soldier นั่นเอง
-โดยเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นจริงตั้งแต่ปี 2000 โดยคู่กรณีมีนามว่า John Guerra ซึ่งเหตุการณ์จริงมีเพียงแค่ชกต่อยกันเท่านั้น ไม่มีการชักอาวุธตามที่ได้ยินใน Skit
พื้นที่ตรงนี้สามารถ Tie-In โฆษณาได้ สินค้า บริการ ครีมได้หมด (ยกเว้นของผิดกฏหมาย) ถ้าใครมีโลโก้สินค้า เราสามารถแทรกโลโก้ตรงรูปรีวิวอัลบั้ม หรือทุกรูปประกอบคอนเทนท์ลักษณะนี้
สนใจโฆษณาลงบนโพสต์ของเพจที่มีผู้ติดตามมากกว่า 16,000 คน
ติดต่อได้ที่อีเมล์ 💌 iamistyle.4real@gmail.com
10.Hailie’s Song เกือบไม่ได้อยู่ในอัลบั้ม
-หนึ่งความเซอร์ไพรส์ในยุคนั้นคือ การได้เห็นแร็ปเปอร์สวมบทบาทเป็นนักร้อง ร้องเพลงจริงๆ มากกว่าพ่นกลอนไรห์มรัวๆ เพลงนี้คือ Rare Moment ที่ไม่ค่อยได้เห็นกันของแร็ปเปอร์ผิวขาวคนนี้ และเป็นเพลงร้องปนแร็ปที่ดีที่สุดด้วย
-นี่คือเพลง tribute ให้กับลูกสาวอย่างสุดหัวใจ เป็นช่วงเวลาที่ตัวเองได้สิทธิ์การเลี้ยงดู Hailie Jade กลับคืนมา หลายคนยินดีที่ได้ฟังมัน แต่เกือบจะไม่ได้อยู่ในอัลบั้มนี้ เพราะเจ้าของอัลบั้มอยากเก็บเพลงนี้ให้ลูกสาวได้ฟังตอนโตต่างหาก เป็นอันเข้าใจได้ว่าเพลงนี้ไม่ใช่เพลงที่บอกรักลูกอย่างเดียว ยังผสมโรงด้วยปัญหาหย่าร้างกับเมียเก่าแกด้วย ซึ่งเป็นเรื่อง sensitive เกินกว่าคนเป็นเด็ก ณ ตอนนั้นได้รับรู้
-คนที่ทำให้ป๋าเอ็มยอมเอาเพลงนี้ไปรวมในอัลบั้มไม่ใช่ใครที่ไหน ท่าน Executive Producer “Dr. Dre” นั่นเอง ด้วยเหตุผลที่ป๋าเดรสุ่มเปิดเพลงนี้ให้สาวคนนึงฟัง แล้วสาวคนนั้นดันอินเพลงนี้อย่างมาก ในเมื่อผู้หญิงถูกใจ แสดงว่าผ่าน ท่านเดรจึงคะยั้นคะยอให้ป๋ามาร์แชลทรงเอาเพลงนี้ไปรวมไว้ในอัลบั้มอย่างที่เห็น
พื้นที่ตรงนี้สามารถ Tie-In โฆษณาได้ สินค้า บริการ ครีมได้หมด (ยกเว้นของผิดกฏหมาย) ถ้าใครมีโลโก้สินค้า เราสามารถแทรกโลโก้ตรงรูปรีวิวอัลบั้ม หรือทุกรูปประกอบคอนเทนท์ลักษณะนี้
สนใจโฆษณาลงบนโพสต์ของเพจที่มีผู้ติดตามมากกว่า 16,000 คน
ติดต่อได้ที่อีเมล์ 💌 iamistyle.4real@gmail.com
11.การดึงลูกสาวตัวเล็กมาแจมในเพลง My Dad's Gone Crazy
-นอกจากจะได้ฟังเพลงรักสุดซึ้งถึงลูกสาวแล้ว หนึ่งในโมเมนต์ที่น่ารักน่าเอ็นดูที่สุดคือเจ้าตัวน้อย Hailie Jade วัย 6 ขวบ ณ ตอนนั้น โผล่มาแจมด้วยความไร้เดียงสาในแทร็คสุดท้าย My Dad's Gone Crazy โดยไอเดียนี้เกิดขึ้นตอนที่ลูกสาวตัวน้อยเข้ามาป้วนเปี้ยนที่สตูดิโอพ่อเป็นประจำ อยู่มาวันนึงเจ้าตัวน้อย Hailie พูดขึ้นมาลอยๆว่า
"Somebody, please help me. I think my dad's gone crazy" ซึ่งตอนนั้นทั้งลุงเดรและพ่อเอ็มอึ้งเป็นแถบ เพราะประโยคลอยๆของเด็กน้อยนั้นดันลงล็อคกับบีทที่ทั้งคู่ทำอยู่พอดี พอพ่อได้ยินจึงเก็บไอเดียนี้ไว้ พอถึงบ้านก็พาเจ้าตัวน้อยพูดอัดเสียงเก็บไว้เลย ซึ่งเจ้าตัวชมเปราะในความฉลาดว่า เธอทำออกมาได้อย่างธรรมชาติมาก จบได้ในเทคเดียว
-ด้วยความที่แกค่อนข้างหวงความเป็นส่วนตัวของลูกสาว แกจึงไม่อยากให้ลูกสาวเข้ามาแจมในเพลงอื่นๆอีกแล้ว เพราะไม่อยากให้สื่อมาจับจ้องเธอมากเกินไป
พื้นที่ตรงนี้สามารถ Tie-In โฆษณาได้ สินค้า บริการ ครีมได้หมด (ยกเว้นของผิดกฏหมาย) ถ้าใครมีโลโก้สินค้า เราสามารถแทรกโลโก้ตรงรูปรีวิวอัลบั้ม หรือทุกรูปประกอบคอนเทนท์ลักษณะนี้
สนใจโฆษณาลงบนโพสต์ของเพจที่มีผู้ติดตามมากกว่า 16,000 คน
ติดต่อได้ที่อีเมล์ 💌 iamistyle.4real@gmail.com
12.ความสำเร็จของซิงเกิ้ลที่ไม่เคยถูกปล่อย Till I Collapse (Ft.Nate Dogg)
-อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ที่น้อยครั้งมากที่เราจะได้เห็นเพลงที่เป็น non-single ทำสถิติยอดฟังเกินพันล้านครั้ง ทั้งๆที่มันคือเพลงที่ต้องรอการค้นพบเท่านั้น ถึงจะมีกระแสปากต่อปากกันจริงจัง และอัลบั้มนี้ดันมาก่อนยุคสตีมมิ่งเสียด้วย หนึ่งในเพลง fan favorite ของสาวกที่ดันไม่ถูกตัดเป็นซิงเกิ้ล แต่ดันฮิตแบบเงียบๆจนถึงทุกวันนี้
ต่อให้ผ่านไปแล้วเกือบ 20 ปีก็ตาม เพลงปลุกใจเพลงนี้ยังคงเข้าไปอยู่ในเพลย์ลิสท์ออกกำลังกายของใครหลายคน
-ปัจจัยที่ทำให้เพลงนี้กลับมา viral เริ่มมาจากคลิปนักกีฬาชื่อดังทั้งหลายที่มักจะเปิดเพลงนี้ระหว่างฝึกซ้อม วอร์มร่างกาย อาทิเช่น Sergio Ramos กัปตันทีม Real Madrid, Jesse Litsch นักกีฬาเบสบอล, Shane Mosley เอาเพลงนี้ไปเป็นเพลงเปิดตัวตอนขึ้นชกกับ Floyd Mayweather เมื่อปี 2010
-นอกจากจะเป็นเพลงขวัญใจนักกีฬาและชาวยิมแล้ว เพลงนี้เอาไปประกอบหนังหุ่นยนต์ชกมวยเรื่อง Real Steel ที่นำแสดงโดย Hugh Jackman และเอาไปประกอบเกมส์ Call of Duty: Modern Warfare 2 อันเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เพลงนี้ยังคงตราตรึงคนยุคนี้อยู่ไม่น้อย
-สิ่งที่น่าสนใจในเพลงปลุกใจให้ยืนหยัดอยู่ในวงการจนถึงนาทีสุดท้าย นั่นก็คือการลิสท์รายชื่อ GOAT Rapper ณ ขณะนั้นแบบเรียงลำดับด้วย อาทิเช่น Reggie (Redman), Jay-Z, 2Pac, Biggie (The Notorious B.I.G, André 3000, Jadakiss, Kurupt, Nas และตัวเขาเอง
ยอดสตรีมมิ่งของเพลงนี้ใน Spotify ล่าสุดอยู่ที่ 1.34 พันล้านครั้ง ซึ่งมากกว่าซิงเกิ้ลฮิต Without Me ที่มียอดสตรีมมิ่งอยู่ที่ 1.16 พันล้านครั้ง
หวังทุกคนจะมันส์กับบทความนี้ครับ
ฝากกด Like กด Share กด Follow ในช่องทางนี้ด้วยครับ 🙏🏻
เครดิตข้อมูลประกอบบทความ
โฆษณา