#FUNGSPECIAL ครบรอบ 20 ปีอัลบั้ม The Eminem Show ผลงานสุดคลาสสิคของ Eminem
-ครบรอบ 20 ปี The Eminem Show อัลบั้มขายดีที่สุดตลอดกาลที่สามารถตอกย้ำความเป็น mainstream rapper อีกครั้ง มีซิงเกิ้ลฮิตมากมาย อาทิเช่น Without Me, Sing For The Moment, Superman, Cleaning Out My Closet และอีกมากมาย เอากลับมาฟังในยุคดิจิตอลก็ไม่เคยเชย เป็นอัลบั้มที่นำพาสู่จุดพีคสูงสุดในสายอาชีพก่อนที่จะฟอร์มตกในอัลบั้มต่อมา Encore อย่างน่าเสียดาย
-และอย่าลืมว่าป๋าแกก็มี side project กับชาวแก๊งค์ D12 กับอัลบั้ม Devil’s Night ในปี 2001 เรียกว่ารีบโกยไปเลย โคตรจะบ้างาน ผลงานต่อเนื่องแบบนี้หลายๆคนอาจจะเบื่อขี้หน้าได้โดยง่าย แต่ก็ทำอะไรป๋าไม่ได้ แฟนเพลงยังคงมีความตื่นเต้นต่ออัลบั้ม The Eminem Show อยู่ดี
โปสเตอร์เลื่อนวันวางแผง ทับด้วยประโยค America Can’t Wait
-คนที่รีบ take action ก่อนที่แฟนเพลงจะหนีไปฟังเถื่อนจนไม่รอแผ่นจริงแล้ว นั่นก็คือ Steve Berman ใช่แล้วครับ ป๋าเน็มเอาไปเป็นตัวโจ๊กใน skit ตั้งแต่อัลบั้มชุดที่แล้ว และถูกยิงในอัลบั้มนี้ด้วย
-บุคคลนี้มีตัวตนอยู่จริงนะครับ แกเป็นประธานฝ่ายขายและการตลาดของค่าย Interscope Records คนนี้แหละคือคนที่แก้เกมส์ ด้วยการเร่งการผลิตซีดี อนุญาตให้รายการวิทยุ Opie and Anthony พรีเมียร์เพลงทั้งอัลบั้มเต็มๆออกอากาศในวันที่ 17 พฤษภาคม 2545
-ทั้งนี้ยังออกแถลงการณ์ให้ร้านค้าซีดีปลีกย่อยทั้งหลายให้เร่งขายให้แฟนเพลงอย่างเป็นทางการในวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม 2545 มาพร้อมกับโปสเตอร์ที่ทับด้วยประโยค America Can’t Wait พร้อมทั้งขีดฆ่าวันที่เดิมอย่างที่เห็นในภาพแนบ โดยปกติแล้วกฏของการนับยอดขายอัลบั้มประจำสัปดาห์จะสิ้นสุดในวันอาทิตย์ของทุกสัปดาห์ นั่นหมายความว่า The Eminem Show เก็บยอดขายอัลบั้มไปสู้กับคู่แข่งศิลปินอื่นๆแค่ 1 วันถ้วนเท่านั้น
คนยิ่งดัง ยิ่งถูกจับจ้อง เป็นราคาที่ต้องจ่ายของคนมีชื่อเสียงอันเป็นสัจธรรมอยู่แล้ว แรงบันดาลใจของอัลบั้ม “โชว์ของเอมิเน็ม” มาจากภาพยนตร์ไซไฟสุดคลาสสิคของน้า Jim Carrey เรื่อง The Truman Show นั่นเอง โดยเนื้อเรื่องเล่าถึงชีวิตชายหนุ่มที่ทั้งชีวิตถูกถ่ายทอดสดผ่านทีวีให้คนทั้งโลกได้ดู
-อย่างที่อารัมภบทไปในข้อแรก ด้วยความที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ป๋าเน็มก็ทรงงานหนัก แทบไม่หยุดพัก มีผลงานต่อเนื่องมาโดยตลอด ทั้งงานเพลง side project กับชาวแก๊งค์ D12 อย่าง Devil’s Night ที่ปล่อยออกมาก่อนในปี 2001 ก็จริง แต่ระหว่างทางของ side project นั้น ป๋าเน็มทรงปั้น The Eminem Show ออกมานิดหน่อยแล้ว
-ในขณะเดียวกันก็ต้องสับรางไปถ่ายทำ 8 Miles หนังเรื่องแรกในชีวิตด้วยเช่นกัน ณ ตอนนั้นยังมีชื่อว่า Untitled Detroit Project และในปีเดียวกันกับการปล่อย The Eminem Show ภาพยนตร์เรื่องแรกก็ออกฉายสู่สายตาชาวโลกในช่วงปลายปี และฮิตเปรี้ยงปร้างสร้างปรากฏการณ์อีกหน กระแสตอบรับตัวหนังก็ดี เพลงประกอบหนัง Lose Yourself ยังกลายเป็นหนึ่งในเพลงฮิตอมตะของชายคนนี้ด้วย
แน่นอนว่าคงไม่มีศิลปินคนไหนอยากจะติดภาพจำแบบนี้ไปตลอดจนไม่มีโอกาสเผยแง่มุมอื่นๆในเพลงบ้าง The Eminem Show จึงเป็นโอกาสครั้งสำคัญในการลบภาพจำเหล่านั้น เพื่อทรงเน้นย้ำจุดยืนความเป็นศิลปินตัวจริงผ่านนิตยสาร SPIN ไว้ว่า
-อีกทั้งในปี 2015 แกยังออกมาเผยการใส่อุดมการณ์ใน Intro เปิดตัวแทร็คแรกของอัลบั้ม White America ที่แกทรงเน้นย้ำถึงการเป็นศิลปินตัวจริง สลัดตัวตน Slim Shady เพื่อให้คนฟังได้จดจำเขาในฐานะการเป็นศิลปินตัวจริงเสียงจริงที่สามารถออกมาพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม ณ ขณะนั้น
“ผมอยากทำให้ทุกคนแน่ใจว่า ผมกำลังทำอะไรอยู่ เพลงอย่าง White America และ Cleanin’ out my Closet เป็นตัวอย่างเพลงที่ไม่ใช่ตัวตน Slim Shady เลย ผมตั้งใจจะเรียกอัลบั้มนี้ว่า The Eminem Show เพราะผมคือแร็ปเปอร์ ไม่ใช่การบิ้วด์คาแรคเตอร์ขึ้นมา”
-สังเกตได้จากเครดิตแต่ละเพลงจะมีชื่อ Eminem เป็นโปรดิวซ์เซอร์หลักเสมอ แทบไม่มีชื่อ Dr.Dre มาข้องแวะเลย ยกเว้นเพลง Business, Say What You Say และ My Dad's Gone Crazy ที่พ่อใหญ่ของเขาอยากมีส่วนร่วมช่วยโปรดิวซ์ให้เต็มๆ
-แน่นอนว่าคนขาวส่วนใหญ่ต้องเติบโตมากับดนตรีร็อคเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แค่ใจรักในฮิปฮอปมันมากกว่าเท่านั้นเอง แต่สำหรับป๋าเน็มพยายามจับสองแนวขั้วดนตรีที่เขาเติบโตมาผสมผสานกัน ราวกับเขาอยากเก็บโลกทั้งสองใบนี้ไม่ให้จางหายไปโดยง่าย โดยป๋าเน็มให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร The Face ไว้ว่า
เขาได้รับอิทธิพลจาก Led Zeppelin, Aerosmith, Jimi Hendrix ในการทำให้งานเพลงฮิปฮอปชุดนี้มีสุ้มเสียงร็อคยุค ’70s บทบาทของกีตาร์สดสะท้านพอๆกับบีทฮิปฮอป
-ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Sing For The Moment หนึ่งในเพลงฮิตตลอดกาลที่ใช้แซมเปิ้ลเพลง Dream On ของ Aerosmith เสียงจังหวะปรบมือและกลองในเพลง Till I Collapse ก็มาจากเพลงฮิตอมตะ We Will Rock You ของ Queen รวมไปถึงเพลง White America และ Cleaning Out My Closet ด้วย
-ประโยคเปิดอินโทรสุดคลาสสิคที่ไม่ได้พูดขึ้นมาลอยๆ เกิดจากความขัดข้องทางเทคนิคจริงๆที่ซาวนด์เอ็นจิเนียดันปิดเสียงกลองสแนร์ ทำให้แร็ปไปตามน้ำ ทั้งๆที่ไม่ได้ยินเสียงกำกับจังหวะ เมื่อถึงกระบวนการตัดต่อเพลง แทนที่จะเอาใหม่ ป๋ากลับเลือกใช้การบันทึกเสียงครั้งนั้นมาเป็น final version อย่างที่เราได้ยินกัน
-อย่าลืมว่านี่คือเพลงด่าแม่ที่ดันฮิตไปไกล แน่นอนว่าคนเป็นแม่อย่าง Debbie Nelson-Mathers เสียใจอย่างแรงต่อเพลงฮิตของลูกชายจนไม่กล้าฟัง เธอได้กล่าวความรู้สึกนี้ในหนังสือ My Son Marshall, My Son Eminem
โดยเฉพาะท่อนที่ลูกชายเธอแร็ปถึงตอนที่คุณแม่ทะเลาะกับลูกชายแล้วพลั้งปากบอกว่า ลุง Ronnie (ญาติที่ป๋าเอ็มสนิทที่สุด) ไม่สมควรตาย แต่เป็นป๋าเอ็มต่างหากที่ควรจะตายแทน ซึ่งเป็นช่วงที่เขาและแม่ทะเลาะกันในช่วงเวลาหลังงานศพของลุง Ronnie เสร็จสิ้น
Remember when Ronnie died and you said you wished it was me? (Hehe)
Well, guess what? I am dead—dead to you as can be!
9.ที่มาของ The Kiss (Skit) เมียมีชู้ ยิงมันด้วยลูกโม่
-เสน่ห์ของอัลบั้ม Eminem ที่ขาดไม่ได้นอกเหนือจากเพลงแร็ปสุดโหดของเขาก็คือ จิ๊กซอว์เรื่องสั้น Skit ที่คอยสร้างสีสันให้กับอัลบั้มในวาระนั้นๆ ซึ่งมักจะหยิบคนใกล้ชิดของตัวเองมาพูดสบถได้เกินสุภาพชน ตั้งแต่ผู้จัดการส่วนตัว Paul Rosenberg
ตัวละครแฟนเพลงชาวเกย์ที่มักจะมาแทะโลม Eminem อย่าง Ken Kaniff รวมไปถึงบอสใหญ่ฝ่ายการตลาด Steve Berman ที่เอาปู้ยี้ปู้ยำให้ขำขันกัน แต่บาง Skit ก็ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริง เอาความเดือดส่วนตัวมาครีเอทเติมเแต่งลงในนี้แม่งเลย
-The Kiss คือ Skit สุดเดือดที่กำลังจะกล่าวถึง หลายคนพอรู้คร่าวๆว่ามันเป็นเรื่องที่แกเห็นเมียเก่า Kim จูบกับชายคนนึงที่ลานจอดรถตรง Hot Rock Café เลยเกิดอาการหึงหวง วิสาสะหยิบปืน 9 มม.ขึ้นมาจากรถเพื่อน เตรียมลั่นไกก่อนที่ switch ไปที่เพลง Soldier นั่นเอง
-โดยเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นจริงตั้งแต่ปี 2000 โดยคู่กรณีมีนามว่า John Guerra ซึ่งเหตุการณ์จริงมีเพียงแค่ชกต่อยกันเท่านั้น ไม่มีการชักอาวุธตามที่ได้ยินใน Skit
-นอกจากจะเป็นเพลงขวัญใจนักกีฬาและชาวยิมแล้ว เพลงนี้เอาไปประกอบหนังหุ่นยนต์ชกมวยเรื่อง Real Steel ที่นำแสดงโดย Hugh Jackman และเอาไปประกอบเกมส์ Call of Duty: Modern Warfare 2 อันเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เพลงนี้ยังคงตราตรึงคนยุคนี้อยู่ไม่น้อย
-สิ่งที่น่าสนใจในเพลงปลุกใจให้ยืนหยัดอยู่ในวงการจนถึงนาทีสุดท้าย นั่นก็คือการลิสท์รายชื่อ GOAT Rapper ณ ขณะนั้นแบบเรียงลำดับด้วย อาทิเช่น Reggie (Redman), Jay-Z, 2Pac, Biggie (The Notorious B.I.G, André 3000, Jadakiss, Kurupt, Nas และตัวเขาเอง
ยอดสตรีมมิ่งของเพลงนี้ใน Spotify ล่าสุดอยู่ที่ 1.34 พันล้านครั้ง ซึ่งมากกว่าซิงเกิ้ลฮิต Without Me ที่มียอดสตรีมมิ่งอยู่ที่ 1.16 พันล้านครั้ง
หวังทุกคนจะมันส์กับบทความนี้ครับ
ฝากกด Like กด Share กด Follow ในช่องทางนี้ด้วยครับ 🙏🏻