Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เอก อัคคี
•
ติดตาม
26 พ.ค. 2022 เวลา 07:36 • ประวัติศาสตร์
2
“เท็ด บันดี้"
ฆาตกรหน้าหยก
รูปหล่อสั่งตาย ,ฆาตกรหน้าหยก คือนิยามความหมายของ ชายหนุ่มที่ชื่อว่า "เท็ด บันดี้" เพราะเขาคือ เทพบุตรสุดหล่อตัวจริงที่สาวๆต่างตกหลุมรัก โดยหารู้ไม่ว่า เขาคือ เทพบุตรจากอเวจีตัวจริงเสียงจริง!
ทีโอดอร์ โรเบิร์ต คาเวล หรือ เท็ด บันดี้ เป็นฆาตกรจอมโหมดที่ในวงการเรียกว่า เพชรฆาตหน้าหยก เรื่องราวของเขาสั่นสะเทือนขวัญเป็นอย่างมากจนต้องถูกยกให้เป็นกรณีศึกษาในสายอาชญวิทยา ในช่วงปี ค.ศ.1974-1978
เพราะเขาฆ่าเหยื่ออย่างโหดร้าย ทารุณ ไปทั้งหมด 36 ราย!!!
และเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมด ล้วนเป็นนักศึกษาสาวแสนสวยที่กำลังอยู่ในวัยสดใสของมหาวิทยาลัยต่างๆ
จนทำให้ "เท็ด บันดี้"ได้รับการขนานนามว่า "นักฆ่าแห่งมหาวิทยาลัย"
เรื่องราวชีวิตของเขาถูกนักเขียนแนวสารคดีอาชญากรรมและนักเขียนนวนิยาย รวมไปถึงนักอาชญวิทยา นำเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในชีวิตและคดีที่เขาก่อขึ้น ไปเขียนเป็นหนังสือมากมายหลายสิบเล่ม รวมไปถึงการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาถูกจับกุม เท็ด บันดี้ ก็มีส่วนในการช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจคลี่คลายคดีฆาตกรรมในบางคดีด้วย
….....
หากเราจะไปแกะรอย....เส้นทางชีวิตของ ฆาตกรจุดวิปลาสคนนี้ ผ่านแฟ้มประวัติอาชญากรรม พบว่า เขาเกิด เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 1946 ที่มลรัฐเวอร์มอนต์ เป็นลูกชายของ "หลุยส์ คาเวล"คุณแม่ยังสาวที่อุ้มเขาตั้งแต่แบเบาะไปอาศัยอยู่กับตายายที่เมืองฟิลาเดลเฟีย
เขาเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของตา-ยาย ที่รับบทเป็น พ่อและแม่ของเขามาตั้งจำความได้ โดยบอกเขาว่า แม่แท้ๆของเขานั้นคือ พี่สาวของเขา
แต่ต่อมา ตากับยายของเขาก็แยกทางกัน เขาอยู่กับยายในฐานะลูกชายและยายของเขาก็แต่งงานใหม่กับ คูลเปอเปอร์ บันดี้ นั้นคือ เหตุผลที่เขาเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของพ่อเลี้ยงและย้ายมาอยู่กันที่เมืองทาโคมา วิลชิงตัน ในวัย 4 ขวบ
เท็ด บัดี้ เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่ถูกเพื่อนๆที่โรงเรียนคอยกลั่นแกล้ง จนทำให้กลายเป็นคนเงียบๆเก็บตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร มีโลกส่วนตัวสูง หลังจากที่เรียนจบไฮสกูล เขาเลือกที่จะเรียนในระดับปริญญาตรีด้านจิตวิทยาและกฏหมาย ที่มหาวิทยาพูเกซาวน์และมหาวิทยาลัยวอชิงตัน จนสำเร็จการศึกษาในวิชาเอกด้านจิตวิทยาและด้านกฏหมาย
แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จด้านการเรียน แต่ในด้านชีวิตส่วนตัวเหมือนทุกอย่างจะล่มสลาย เมื่อเท็ด มาทราบความจริงว่า เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ เขาคือหลานชายที่ยายเลี้ยงมา ทำให้ความสัมพันธ์ของเขาระหว่างแม่(ยาย)กับพ่อเลี้ยง เลวร้ายลงอย่างมาก เท็ด บันดี้ เสียใจกับความจริงที่ถูกเปิดเผย มันส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจของเขาอย่างรุนแรง
แน่นอน
ความคับแค้น...มันถูกระบาย
กลายเป็นการก่อคดีฆาตกรรม!!!
….......
ฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิ ช่วงปี 1974 เริ่มมีคดีผู้หญิงสาวสวยหายตัวไปอย่างลึกลับหลายคดี ส่วนใหญ่จะเป็น นักศึกษาและหญิงสาวหน้าตาดี ผมยาว ผิวขาว โสด รูปร่างผอมบาง พวกเธอมักหายตัวไปในช่วงพลบค่ำ
เจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่สืบสวนสอบสวน ส่วนใหญ่จะได้รับข้อมูลตรงกันว่า เห็นผู้ชายหน้าตาดีใส่เฝือกที่แขนหรือไม่ก็มักจะหอบหนังสือไว้ในอ้อมแขน เข้าไปสนทนาพูดคุยกันสาวๆเพื่อขอความช่วยเหลือก่อนที่พวกเธอจะหายตัวไป
ชายคนนั้นมักจะปรากฏตัวพร้อมกับรถโฟล์คเต่า
ตำรวจระบุว่า เหยื่อรายแรกของเขาคือ ลินดา แอนด์ ฮิลลี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 31 มกราคม 1974 เธอเป็นผู้ประกาศข่าวทางสถานีวิทยุท้องถิ่น ที่จู่ๆหายตัวไป ไม่ไปทำงานสร้างความแปลกใจให้กับเพื่อนร่วมงานเป็นอย่างมาก เพราะเธอเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง ไม่เคยขาดลามาสาย
พ่อแม่ของเธอได้แจ้งตำรวจ หลังจากไปสำรวจดูห้องนอนของเธอแล้วพบว่า มีคราบเลือด ปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนหายไป
….......
คดีสาวๆหายตัวไป....ยังเกิดขึ้น เป็นระยะ
….......
ต่อมา...
ในเดือนสิงหาคม 1974 ที่การพบชิ้นส่วนมนุษย์ที่ทะเลสาบแซมมานิส ในสวนสาธารณะวอชิงตัน โดยตำรวจพบกระดูกโคนขา 5 ชิ้น เศษกระโหลกศรีษะ 2 ชิ้นและฟันกราม 1 ซี่ จากการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ พบว่า ชิ้นส่วนทั้งหมดเป็นของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย 2 รายคือ เจนิส ออต และ เดนนิส นาสสุนด์ เธอทั้งสองหายตัวไปอย่างลึกลับ เมื่อวันที่ 14 กรกฏคม 1974 ในวันเดียวกัน
พยานบุคคลที่เป็นสามีภรรยากัน ให้การตรงกันว่า พวกเขาเห็นชายหนุ่มรูปหล่อแขนใส่เฝือกเข้าไปตีสนิทและคุยกันสองสาว เขาเดินผ่านได้ยินแว่วๆว่า ชายคนนั้นชื่อ "เท็ด"
แต่ตำรวจก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐานอะไรที่เชื่อโยงไปถึงตัวเขา
ในขณะที่คดีหญิงสาวหายตัวไปก็ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ....และเริ่มลุลามขยายตัวไปสู่รัฐอื่นๆใกล้เคียง อาทิ มลรัฐยูทาร์
ที่นั่น เด็กสาววัย 17 ปี เมลิสสา สมิธ สาวน้อยหน้าตาน่ารักที่อยู่ในวัยสดใส ลูกสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจของ หลุยส์ สมิธ ผู้บัญชาการตำรวจเมืองมิดวาล มลรัฐยูทาร์ หายตัวไปในวันที่ 18 ตุลาคม 1974และอีก 9 วันต่อมา ตำรวจก็พบศพของเธอ จากการชันสูตรพลิกศพพบว่า เธอถูกรัดคอจนตายและพบร่องรอยการข่มขืนอย่างรุนแรงทั้งทางอวัยวะเพศและทางทวารหนัก!
แน่นอนว่า พ่อของเธอแทบคลั่งตาย
นี่ขนาดลูกสาวของ ผบ.ตร.ยังไม่เหลือ!!!
ขณะที่ตำรวจยังคือ ตาล่าหาฆาตกร คดีฆาตกรรมสาวๆก็ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีเบาะแสที่น่าสนใจ เมื่อ แครอล ดารอนซ์ เข้าให้การกับตำรวจเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 1974 ว่า เธอได้เจอกับชายหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งที่ร้านหนังสือ เขาเดินเข้ามาบอกกับเธอด้วยสีหน้าห่วงใยว่า สงสัยว่า รถยนต์ของเธอน่าจะถูกงัดแงะ
“เขาเดินเข้ามาหาฉัน แล้วบอกว่าสงสัยว่า รถถูกงัดนะ ออกไปดูหน่อยสิ" เธอบอกกับตำรวจว่า เมื่อได้ยินอย่างนั้น เธอตกใจมากและเข้าใจว่า ชายหนุ่มรูปหล่อคนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของที่นั่น เะอจึงรีบเกิดนตามเข้าที่ไปที่รถของเธอทันที
ปรากฏว่าเมื่อถึงที่รถแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น รถไม่ได้ถุกงัดแต่อย่างใด แต่ชายคนดังกล่าวยังยืนกรานให้เธอไปแจ้งความที่สถานีตำรวจกับเขา พร้อมกับแสดงเครื่องหมายเจ้าหน้าที่ฝ่าย รปภ.ของเขาให้เธอดู ทำให้เธอหลงเชื่อและเดินไปขึ้นรถโฟล์คของเขา
“แต่...เอ้อ...พอฉันขึ้นไปบนรถกับเขาแล้ว และเขาก็ขับรถออกมา ปรากฏว่า เขาไปคนละทิศกับทางที่จะไปสถานีตำรวจ ขณะที่ฉันกำลังนึกสงสัย เขาก็จอดรถแล้ว พยายามจับฉันใส่กุญแจมือ ฉันตกใจมาก"
แครอล ดารอนซ์ บอกว่า เธอพยายามส่งเสียงร้อง และเปิดประตูลงมาจากรถ ชายคนนั้นก้เอาชะแลงตีเข้าที่ศีรษะของเธอ ขณะที่เธอเตะเข้าไปตรงหว่างขาของมันแล้ววิ่งไปขอความช่วยเหลือจากรถที่กำลังแล่นมา ซึ่งมีสามีภรรยาคู่หนึ่งขับผ่านมาพอดี
เธอรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด!
…....
แต่หญิงสาวที่ชื่อ ลอร่า ไอมี่ ไม่โชคดีเหมือนเธอ เพราะในวันที่ 13 พฤศจิกายน 1974 ร่างของลอร่า ไอมี่ ถูกพบที่ริมฝั่งแม่น้ำใกล้กับภูเขาวาแสตซ์ เธอถูกตีด้วยเหล็กชะแลงที่หัวและใบหน้าจะเละ
แน่นอนว่า ตำรวจพบร่องรอยการถูกข่มขืนทั้งทางอวัยวะเพศและทางทวารหนัก เจ้าหน้าที่ตรวจสอบบริเวณโดยรอบสถานที่พบศพแล้วไม่มีร่องรอยใดๆ จึงสันนิษฐานว่า เะอน่าจะถูกฆ่าข่มขืนมาจากที่อื่นแล้วนำศพมาทิ้งไว้ที่นี่
ต่อมาในวันที่ 16 สิงหาคม 1975 เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจนายหนึ่งขับรถตรวจตราไปเรื่อยๆตามถนน เขาพบรถคันหนึ่งน่าสงสัย เป็นรถโฟล์คสวาเก้นสีน้ำตาล จึงส่งสัญญานให้จอดเพื่อจะตรวจสอบ แต่ปรากฏว่า รถคันนั้นไม่ยอมจอด ขับหลบหนี จนเขาต้องไล่ล่าจนมาจนมุมในปั้นน้ำมันแห่งหนึ่ง
ตำรวจเข้าไปตรวจสอบพบว่า เขาแสดงบัตรประจำตัวระบุชื่อว่า "อีโอดอร์ โรเบิร์ต บันดี้" ตำรวจจับเขาใส่กุญแจมือ ให้นอนราบกับพื้นแล้วเข้าไปตรวจค้นในรถ
พบว่า มีกุญแจมือแบบตำรวจ,หน้ากากกันลมสำหรับนักสกีและเหล็กชะแลง ซึ่งเป็นข้อมูลที่ตรงกับที่สาวน้อยผู้เคราะห์ร้าย แครอล ดารอนซ์ เคยให้ข้อมูลไว้
เท็ดถูกจับกุมตัวไปสอบสวนที่สถานีตำรวจและแครอล ดารอนซ์ ก็มาชี้ตัวผู้ต้องหา เขาถูกส่งตัวขึ้นศาลเพื่อรับการพิจารณาลงโทษ ในคดีพยายามลักพาตัวและกักขังหน่วงเหนี่ยว
ศาลนั่งบัลลังค์พิจารณาคดีและพิพากษาลงโทษเขา ในวันที่ 23 ตุลาคม 1976 ด้วยการให้จำคุกเป็นเวลา 15 ปี
แต่ในระหว่างที่ เท็ด บันดี้ ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหลายก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะมีคดีอีกมากมายที่ปิดแฟ้มไม่ลง โดยเฉพาะเรื่องสาวๆหายตัวไป ทำให้ตำรวจพยายามเชื่อต่อข้อมูลระหว่าง เท็ด บันดี้ กับเหยื่อสาวๆทั้งหลายที่หาไปอย่างไร้ร่องรอย
โดยเฉพาะรถโฟล์คของเขาถูกตำรวจพิสูจนหลักฐาน ทำการตรวจสอบอย่างละเอียด จนพบกับเส้นผมของ"คารีน แคมเบล" หญิงสาวคนหนึ่งที่หายตัวไป ทำให้ตำรวจต้องแจ้งข้อหาเพิ่มกับเท็ด บันดี้ ในข้อหาฆาตกรรม คารีน แคมเบล อีกหนึ่งข้อหา
ต่อมาในเดือนตุลาคม 1977 ทางเรือนจำได้มีคำสั่งส่งตัวนักโทษ เท็ด บันดี้ ไปคุมขังไว้ที่เรือนจำโคโลราโด เพื่อรอขึ้นศาลอีกครั้ง แต่ปรากฏว่า หลังจากที่ถูกขังมาระยะหนึ่ง เท็ด บันดี้ มีเวลาทบทวนวางแผน เขาใช้ความรู้ทางกฏหมายในฐานะที่เรียนจบด้านนี้มาให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง ด้วยการตั้งตัวเองเป็นทนายความ แก้ต่างสู้คดีให้ตัวเอง
แต่ในระหว่างนั้น เขาก็ก่อเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น ในวันที่ 7 มิถุนายน 1977 นักโทษชายเท็ด กระโดดลงจากรถระหว่างเดินทางจากห้องสมุดกลับไปเรือนจำ เขาวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ตำวจร่วม 200 นายพร้อมด้วยสุนัขดมกลิ่นออกไล่ล่าเขา จนในที่สุดก็สามารถจับกุมตัวได้ในอีกไม่กี่วันต่อมา คารถที่เขาเพิ่งขโมยมา
หลังจากถูกโยนเข้าตะรางไปได้ประมาณ 7 เดือน เท็ด บัดดี้ ก็สร้างวีรกรรมอีกครั้งด้วยการแหกคุก มุดออกมาทางช่องระบายอากาศและไปโผล่ในห้องน้ำที่อาคารอีกหลังหนึ่ง เขาซุ่มรอจนคนออกไปจากอาคารจนหมดแล้วค่อยๆมุดออกมา
เขามุ่งหน้าไปยังฟลอริดา ดำรงชีวิตด้วยการรูดบัตรเครดิตที่เขาขโมยมาและพยายามไปพักอาศัยอยู่ในย่านมหาวิทยาลัย ซึ่งต่อมาไม่นานเขาก็ฆ่าเด็กสาวไปอีก 2 คนคือ ลิซา เลวี และ มาร์กาเร็ต โบว์แมน
เธอทั้งสองถูกหวดด้วยไม้จนสลบและถูกอุ้มไปข่มขืนแล้วฆ่า เหมือนเหยื่อรายอื่นๆ
รวมไปถึงเด็กสาววัย 12 ปีที่ชื่อว่า คิมเบอร์ลี ลิซ เธอก็ถูกลักพาตัว...ข่มนืนและฆ่าทิ้ง เช่นเดียวกัน!!!
….......
แต่ฆาตกรรูปหล่อก็ลอยนวลอยู่ได้ไม่นาน เพราะตำรวจสามารถจับกุมตัวเขาเอาไว้ได้คารถโฟลฺคที่เขาขโมยมา พร้อมกับถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมลิซา เลวีและมาร์กาเร็ต โบว์แมน
เขาถูกนำตัวขึ้นศาลอีก 2 ครั้ง คือที่ศาลเมืองไมอามี่ รัฐฟลอริดา เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 1979 ในคดีฆาตกรรมลิซา เลวีและมาร์กาเร็ต โบว์แมน และขึ้นศาลอีกครั้งในช่วงต้นปี 1980 ในข้อหาฆาตกรรมคิมเบอร์ลี ลิซ ที่ศาลเมือง ออร์ลันโด รัฐฟอริดา
ในสองคดีแรกนั้น เท็ด บันดี้ เป็นทนายความให้ตัวเอง แต่ก็ต้องยอมจำนนด้วยพยานหลักฐาน ศาลตัดสินให้ประการชีวิตเขาด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า
ส่วนคดีที่ 3 เขาก็พยายามต่อสู้ให้ตัวเองด้วยการอ้างว่า เขาทำไปด้วยอาการขาดสติสัมปชัญญะ เขาเป็นคนบ้าเป็นคนสติไม่ดี แต่ศาลมองไม่เห็นว่า ไอ้ฆาตกรรูปหล่อคนนี้บ้าตรงไหน....จึงมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิตด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าเช่นกัน
ในปี 1982 นักโทษชาย เท็ด บันดี้ ได้ทำการเปลี่ยนทนายความและทำการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงแห่งรัฐฟลอริดา แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามใจที่เขาหวัง ศาลยกคำร้องทิ้งและยังยืนยันคำพิพากษาให้ประหารชีวิต
เอ็ด บันดี้ ไม่ยอมแพ้ เขาเปลี่ยนทนายอีกครั้งและให้ยื่นเรื่องขออุทธรณ์ต่อศาลสูงสหรัฐอเมริกา แต่ศาลก็ปฏิเสธคำร้องของเขา เท็ด บันดี้ เพชรฆาตรูปหล่อจากอเวจี ถูกประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าในเดือนมกราคา 1989
11ชั่วโมง ก่อนการประการชีวิตจะเริ่มขึ้น เท็ด บันดี้
ขอพบกับ ดร.บ็อบ เคบเพล หัวหน้าแผนกอาชญากรรม สำนักอัยการเขตวอชิงตัน ผู้ซึ่งเขาเคยช่วยเหลือในการคลี่คลายคดีฆาตกรต่อเนื่องในช่วงยุค 80
.
.
เขาขอพบ ดร.บ็อบ เพื่อจะให้ข้อมูลฆาตกรรมที่เขายังไม่เคยเปิดเผยและเป็นหลายคดีที่ตำรวจยังปิดแห้มคดีไม่ลง ซึ่งข้อมูลที่เขาเปิดเผยก่อนถูกประหารชีวิต มันเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงและช็อคเป็นอย่างมาก
เท็ด บันดี้ บอกว่า ยังมีหัวกะโหลกของเหยื่อบางคนเก็บอยู่ในบ้านของเขา เขาชอบนั่งดูศพของเหยื่อเน่าเปื่อยไปเรื่อยๆแต่ทุกครั้งที่เขาฆ่า เขายิ่งยิ่งคลั่งอยากจะฆ่าเหยื่อรายต่อไป....ต่อไปและต่อไป
เขาชอบกลิ่นคาวเลือดและเขาอยากจะทำสถิติฆ่าสาวๆต่อเนื่องให้ครบ 100 ศพ
แน่นอน หลังจากคำสารภาพนอกรอบก่อนตายของเขาถูกเปิดออกมา ประชาชนชาวอเมริกันต่างก็ขวัญผวา ญาติของเหยื่อที่หายสาบสูญหลายคนแทบล้มประดาตายด้วยความเสียใจ
แต่เท็ด บันดี้ ก็กลับสู่นรกอเวจี ไปในเช้าของวันที่ 24 มกราคา 1989 เวลาประมาณ 7.00 น. ทางเรือนจำเผาร่างไร้วิญญานของเขาทันที ขณะที่นอกเรือนจำเหล่าฝูงชนที่มาเฝ้ารอดูการประหารต่างโห่ร้องด้วยความยินดีที่เขากลับนรก!!!
…................
เรื่องราวชีวิตของฆาตกรหน้าหยก
ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2002
ภายใต้ชื่อเรื่องว่า Ted Bundy
และต่อมา ในวันที่ 24 มกราคม ปี 2019 ได้มีสารคดีซึ่งเป็นภาพจริงเสียงจริงของเขาในชุด "คุยกับฆาตกร: เท็ด บันดี้ (Conversations with A Killer: The Ted Bundy Tapes) ออกมาทางNetflix
….............
1 บันทึก
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย