27 พ.ค. 2022 เวลา 08:43 • กีฬา
นี่คือสุดยอดเกมแห่งประวัติศาสตร์ ลิเวอร์พูล vs เรอัล มาดริด ในปีนี้ จะไม่มีเกมไหนใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว นัดชิงเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ถือเป็นที่สุดของฟุตบอลยุโรป แต่ก่อนที่จะถึงวันแข่ง สถิติอะไรที่เราควรรู้บ้าง ผมเก็บ 14 เรื่องสำคัญเอามาเป็นเกร็ดความรู้ เพื่อที่จะได้ดูบอลอย่างสนุกขึ้นนะครับผม
3
------------------------
[ 1- อันเชล็อตติ จะสร้างประวัติศาสตร์ของตัวเองได้หรือไม่ ]
ในโลกนี้ มีผู้จัดการทีมเพียง 3 คนเท่านั้น ที่ได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก (หรือยูโรเปี้ยน คัพ) เป็นจำนวน 3 ครั้ง ได้แก่
1
- บ๊อบ เพสลีย์ (1977,1978,1981)
2
- คาร์โล อันเชล็อตติ (2003, 2007, 2014)
1
- ซีเนอดีน ซีดาน (2016, 2017, 2018)
5
ดังนั้นถ้าหากอันเชล็อตติ สามารถพาเรอัล มาดริดได้แชมป์ยุโรปครั้งนี้ เขาจะเป็นผู้จัดการทีมคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่ได้แชมป์ 4 สมัยทันที ซึ่งเป็นเกียรติประวัติที่เหลือเชื่อมาก
จริงๆ อันเชล็อตติตอนนี้ก็สุดยอดอยู่แล้ว ในแง่ว่า เป็นผู้จัดการทีมคนเดียวที่ได้แชมป์ลีกใหญ่ครบทั้ง 5 ประเทศ แต่ถ้ามีสถิติแชมป์ยุโรป 4 หนมาอีก มันจะช่วยผลักดัน ให้เขากลายเป็นผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดตลอดกาลได้เลย
3
แน่นอน ฝั่งลิเวอร์พูลก็คงไม่ยอมง่ายๆ เพราะถ้าอันเชล็อตติทำได้ สถิติของบ๊อบ เพสลีย์อันยืนยง ก็จะมีคนแซงหน้าไปได้ สำหรับหงส์แดง เกมนี้มีความหมายทางอ้อมอยู่เหมือนกัน
5
------------------------
1
[ 2- คล็อปป์ต้องการหนีสถิติ แพ้นัดชิง ชปล. มากที่สุดตลอดกาล ]
3
ถ้าลิเวอร์พูลแพ้เกมนี้ จะมีผลเสียต่อเจอร์เก้น คล็อปป์โดยตรงหนึ่งเรื่อง คือ เขาจะกลายเป็นโค้ชที่พาทีมแพ้นัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก มากที่สุดในประวัติศาสตร์
3
เจ้าของสถิติเดิม ตอนนี้คือมาร์เซลโล่ ลิปปี้ จากยูเวนตุส ที่พาทีมเข้าชิง 4 ครั้ง (1996, 1997, 1998 และ 2003) แต่ชนะแค่ 1 หนแรก ที่เหลืออีกสามครั้งหลังแพ้เรียบ
1
สำหรับคล็อปป์ เขาเคยแพ้นัดชิง ชปล. มาแล้ว 2 หน ในปี 2013 กับดอร์ทมุนด์ และ 2018 กับลิเวอร์พูล ดังนั้นคล็อปป์ไม่ต้องการจะมีสถิติแย่ที่สุด เทียบเท่าลิปปี้แน่ๆ
1
โชเซ่ มูรินโญ่เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ ตอนหงส์แดงได้แชมป์ในปี 2019 ว่า "ผมจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะรู้สึกอย่างไร ถ้าเขาพาทีมเข้าชิง 3 หน แล้วไม่ชนะ" คือในวงการฟุตบอลการเป็นรองแชมป์ 3 หน มันเจ็บปวดมากนะ ดังนั้นคล็อปป์ย่อมต้องอยากหนีสถิตินี้อยู่แล้ว
1
------------------------
[ 3- ลิเวอร์พูลอาจเป็นทีมแรกที่ได้แชมป์ กับการเจอคู่แข่งแค่ 3 ประเทศ ]
1
ตามปกติฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก คนจะไปถึงแชมป์ได้ต้องเล่นกับคู่แข่งอย่างน้อย 7 ทีม (รอบแรก 3 ทีม, รอบน็อกเอาต์ 4 ทีม)
1
สำหรับลิเวอร์พูลถ้าได้แชมป์ จะเป็นทีมแรก ที่เล่นกับคู่แข่งแค่ 3 ชาติเท่านั้น คือ อิตาลี, โปรตุเกส และ สเปน
1
รอบแบ่งกลุ่ม : เอซี มิลาน (อิตาลี), ปอร์โต้ (โปรตุเกส), แอตเลติโก้ มาดริด (สเปน)
1
รอบน็อกเอาต์ : อินเตอร์ มิลาน (อิตาลี), เบนฟิก้า (โปรตุเกส), บียาร์เรอัล (สเปน), เรอัล มาดริด (สเปน)
แต่จะเล่นเจอกี่ชาติก็ไม่สำคัญ ขอแค่ชนะก็เพียงพอ ไม่มีใครมาสนใจว่าระหว่างทางจะเจอใครบ้างหรอก
--------------------------
[ 4- ดาบที่คมที่สุด เจอกับโล่ที่แกร่งที่สุด ]
เรอัล มาดริด เป็นทีมที่ได้จุดโทษมากที่สุดในฟุตบอลยุโรปฤดูกาลนี้ (ได้จุดโทษ 16 ครั้ง) สะท้อนให้เห็นว่า บรรดาตัวรุก อย่างคาริม เบนเซม่า, วินิซิอุส จูเนียร์ หรือ โรดรีโก้ สอดเข้ามาในเขตโทษแล้วเรียกฟาวล์ได้อย่างเห็นผล หลายๆ ทีมไม่ระวัง ก็เสียจุดโทษได้ง่ายๆ เหมือนแมนฯ ซิตี้ ในรอบรองชนะเลิศ โดนจุดโทษ 2 นัด เหย้า-เยือน
14
อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล เป็นทีมเดียวในยุโรป ที่ไม่เสียจุดโทษ ทั้งพรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แม้แต่ลูกเดียว ตลอดทั้งฤดูกาล แสดงให้เห็นถึงความเยือกเย็น และมีวินัยของกองหลัง ฟาน ไดค์- มาติป- โกนาเต้ เล่นกันอย่างมีวินัยมากๆ
7
ดังนั้นทีมที่สร้างจุดโทษได้มากที่สุด มาเจอกับทีมที่ไม่เคยเสียจุดโทษเลย น่าสนใจว่า ดาบที่คมที่สุด จะฟันโล่ที่แกร่งที่สุดเข้าหรือเปล่า
6
--------------------------
[ 5- จุดเริ่มต้นของความสำเร็จหงส์แดง เกิดจากเรอัล มาดริด ]
1
ความพ่ายแพ้อันน่าเจ็บปวดที่เคียฟ ในนัดชิงปี 2018 สร้างความเปลี่ยนแปลงให้ลิเวอร์พูล 2 อย่าง อย่างแรกคือคล็อปป์รู้ว่าตัวผู้เล่นในทีมยังไม่มีคุณภาพมากพอ โลริส คาริอุส ไม่ใช่นายทวารที่จะฝากฝังได้ในระยะยาว ดังนั้นจึงทุ่มเงินสถิติโลก คว้าอลิสซอน เบ็คเกอร์มาจากโรม่า รวมถึงคว้าฟาบินโญ่ มาจากโมนาโก
1
ลองคิดดูว่า ถ้าไม่มีความพ่ายแพ้เกมนั้น ลิเวอร์พูลอาจจะใช้คาริอุสต่อ และอลิสซอนก็อาจจะเสร็จเชลซีที่ตอนนั้นหาผู้รักษาประตูคนใหม่พอดี เนื่องจากปล่อยกูร์ตัวส์ ไปเรอัล มาดริด การมีอยู่ของอลิสซอนทำให้หงส์แดงได้แต้มที่ไม่ควรได้หลายต่อหลายนัดจริงๆ
3
ส่วนความเปลี่ยนแปลงอย่างที่สองคือ มันทำให้นักเตะได้เรียนรู้ถึงความเจ็บปวด จอร์แดน เฮนเดอร์สันกล่าวว่า "มองย้อนกลับไป ผมเรียนรู้มากๆ จากนัดชิงที่เคียฟ เราทุกคนได้เรียนรู้ และใช้ประสบการณ์นั้น ทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แกร่งขึ้น จนกลับมาคว้าแชมป์ได้ทันทีในปีต่อมา"
3
ถ้าไม่แพ้แบบเจ็บปวดที่สุด ก็คงไม่ได้เรียนรู้ และสิ่งนั้นก็เกิดจากคู่แข่งที่ชื่อเรอัล มาดริดนี่แหละ
2
--------------------------
[ 6- มิดฟิลด์เรอัล มาดริด 4 ปี ใช้ชุดเดิม ]
4 ปีที่แล้ว ที่ลิเวอร์พูลแพ้เรอัล มาดริดที่เคียฟ ทีมราชันชุดขาวใช้กองกลางสามคนคือ โทนี่ โครส, คาเซมิโร่ และ ลูก้า โมดริช สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ผ่านมา 4 ปี กองกลาง 3 คนนี้ก็ยังอยู่ ยังเล่นด้วยกันไม่มีคนอื่นสอดแทรกเข้ามาได้เลย ในนัดชิงที่ปารีส 3 คนนี้จะออกสตาร์ตพร้อมกันตามเดิม
2
โมดริช 36 ปี, โครส 32 ปี, คาเซมิโร่ 30 ปี ถือว่าค่าเฉลี่ยเยอะกว่าฝั่งลิเวอร์พูล แต่นี่คือกองกลางชุดแชมเปี้ยน ดังนั้นแม้จะอายุเยอะ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกคนเล่นด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่
2
ส่วนกองกลางของหงส์แดง จากวันนั้นที่เคียฟ (เฮนเดอร์สัน, ไวจ์นัลดุม, มิลเนอร์) อาจจะเหลือแค่เฮนเดอร์สันคนเดียว ที่จะได้ออกสตาร์ตในเกมที่ปารีส ถ้าพูดถึงแผงมิดฟิลด์ ฝั่งลิเวอร์พูลมีความเปลี่ยนแปลงมากกว่าในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา
2
--------------------------
1
[ 7- ซาลาห์ vs เบนเซม่า ]
นี่คือการปะทะกันของสุดยอดผู้เล่นจาก 2 ลีก ฤดูกาลนี้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ คว้าดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก (23 ประตู) พร้อมดาวแอสซิสต์ (12 ประตู) ขณะที่คาริม เบนเซม่า เป็นดาวซัลโวลาลีกา (27 ประตู) และนำเป็นดาวซัลโวแชมเปี้ยนส์ลีกอยู่ (15 ประตู)
2
นี่คือ 2 นักเตะที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดในซีซั่นนี้ และมีโอกาสลุ้นรางวัลบัลลงดอร์ทั้ง 2 คน คือถ้าดูจาก stat เบนเซม่าจะเหนือกว่านิดหน่อย แต่อย่าลืมว่าซาลาห์ก็ได้คะแนนเยอะ จากการพาอียิปต์เข้าชิงแอฟริกัน เนชั่นส์ คัพได้สำเร็จ
1
ดังนั้นหลายคนเชื่อว่า ตัวตัดสินสำคัญที่สุด ที่จะชี้วัดว่า ใครจะชนะบัลลงดอร์ปลายปีนี้ คือ ผลงานในแชมเปี้ยนส์ลีกนัดชิงชนะเลิศ คือโอเค แม้ฟรองซ์ฟุตบอลจะบอกว่า เกณฑ์พิจารณาจะเน้นดู stat ไม่ดูโทรฟี่โดยรวม แต่เชื่อเถอะ ว่าถ้าคุณเป็นผู้ชนะในแชมเปี้ยนส์ลีก ก็จะได้คะแนนพิเศษจากคนโหวตอยู่แล้ว
1
ใครจะโดดเด่นกว่าในนัดชิง ใครจะช่วยทีมได้โทรฟี่ สิ่งเหล่านี้จะชี้ชัดเลยว่า ซาลาห์หรือเบนเซม่า ใครจะได้ลุ้นบัลลงดอร์มากกว่า
--------------------------
[ 8- เรอัล มาดริด สร้างปาฏิหาริย์ 3 รอบติดต่อกัน ]
เรอัล มาดริด เจอคู่แข่งที่แกร่งมากๆ ในรอบน็อกเอาต์ คือเปแอสเช (แชมป์ลีกเอิง), เชลซี (แชมป์เก่าชปล.) และ แมนฯ ซิตี้ (แชมป์พรีเมียร์ลีก) แต่พวกเขาใช้ประโยชน์จากการได้เล่นเลก 2 ในบ้านตัวเอง พลิกสถานการณ์เข้ารอบได้ทั้ง 3 นัด
5
เกมกับเปแอสเช ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เปแอสเชชนะเลกแรก 1-0 และนำอีก 1-0 ในเลกสอง กุมความได้เปรียบอย่างมาก แต่มาโดนเบนเซม่ายิงแฮตทริกในเวลาแค่ 18 นาที (นาที 61, 76, 78 ) พลิกแซงด้วยสกอร์รวม 3-1 เข้ารอบไปเฉยเลย
1
เกมกับเชลซี ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เรอัล มาดริด ชนะเชลซีเลกแรก 3-1 แต่ในเลกสองพวกเขาโดนเชลซีนำ 3-0 ในบ้านตัวเอง เหลืออีก 10 นาทีเท่านั้นจะตกรอบ แต่ด้วยพลังแฝงของเบร์นาเบว เรอัล มาดริด มายิงคืนเป็น 3-1 ต้องต่อเวลา ก่อนที่เบนเซม่าจะปิดจ๊อบ ให้เรอัล มาดริดเข้ารอบในที่สุด
4
เช่นเดียวกับ รอบรองชนะเลิศ ถึงนาที 90 มาดริดต้องยิงแมนฯ ซิตี้ 2 ลูก ถึงจะยื้อไปต่อเวลาได้ และพวกเขาทำได้จริงๆ ยิง 2 ลูกตามที่ต้องการ แล้วพอต่อเวลาพิเศษ ก็ได้จุดโทษ เบนเซม่ายิงเข้า เขี่ยแมนฯ ซิตี้ตกรอบไป
3
จะเห็นเลยว่าทั้ง 3 รอบน็อกเอาต์ของเรอัล มาดริดมีความทรหดอย่างมาก แต่จุดสำคัญคือ พวกเขาได้เล่นเลก 2 ในบ้านตัวเอง มันพอจะมีเสียงเชียร์ และมีเวลา ให้คัมแบ็กได้
แต่คราวนี้เมื่อต้องมาเล่นสนามกลางอยางสต๊าด เดอ ฟรองซ์ และมีแค่นัดเดียวเท่านั้นให้ลงเล่น ต้องมาดูกันว่า เรอัล มาดริด จะมีพลังคัมแบ็กได้อีกไหม ถ้าหากโดนนำ
1
--------------------------
[ 9- นอกสนาม มีความสัมพันธ์อันดี ]
ย้อนกลับไปวันที่ 19 เมษายน 1989 สี่วันหลังจากเกิดโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร่ เรอัล มาดริด มีโปรแกรมเจอกับเอซี มิลาน ในฟุตบอลยุโรป หลังจากลงเล่นได้ 6 นาที นักเตะเรอัล มาดริดก็หยุดเล่น และยืนสงบไว้อาลัยให้แฟนบอลหงส์แดงผู้ล่วงลับ เป็นการให้เกียรติลิเวอร์พูลแม้ว่าพวกเขาจะเล่นคนละประเทศก็ตาม
2
เรื่องเล็กๆ เหล่านี้ ทำให้รากฐานความสัมพันธ์ของสองสโมสรเป็นไปด้วยดี ลิเวอร์พูลกับเรอัล มาดริด มีนักเตะที่เรียกว่า Common Player หรือเคยเล่นทั้ง 2 ทีม มากถึง 10 คน
2
ประกอบด้วย สตีฟ แม็คมานามาน, ไมเคิล โอเว่น, เฟร์นันโด มอริเอนเตส, เจอร์ซี่ ดูเด็ก, นิโกลาส์ อเนลก้า, อัลบาโร่ อาร์เบลัว, ชาบี อลอนโซ่, อันโตนิโอ นูนเยซ, นูริ ซาฮิน และ ฟาบินโญ่
1
นักเตะเพียงคนเดียวที่ยังเล่นอยู่ในปัจจุบัน คือฟาบินโญ่ เขาเคยอยู่เรอัล มาดริด ช่วงสั้นๆ เคยได้ลงเล่นในลาลีกาไป 1 เกม แต่ไม่สามารถแจงเกิดได้ จึงย้ายไปอยู่โมนาโก ก่อนจะมาอยู่กับลิเวอร์พูลเหมือนในปัจจุบัน
1
--------------------------
[ 10 - ปมแค้นซาลาห์ ]
นักเตะที่เปิดตัวอย่างชัดเจนว่า อยากจะซัดกับเรอัล มาดริด คือโม ซาลาห์ ตอนนักข่าวจาก BT Sport ถามว่าอยากเจอใครในรอบชิงมากกว่า ระหว่างแมนฯ ซิตี้ กับ เรอัล มาดริด ซาลาห์ตอบตรงๆว่า "เรอัล มาดริด" จากนั้นพอเรอัล มาดริดชนะได้จริงๆ ซาลาห์ก็โพสต์ว่า "เรามีบัญชีต้องมาสะสางกัน"
2
ฮัมดี้ โนอูห์ โค้ชที่เคยร่วมงานกับซาลาห์มาก่อน ตั้งแต่สมัยเล่นในอียิปต์เล่าว่า "ซาลาห์จะไม่มีวันลืมเหตุการณ์ของเซร์คิโอ รามอส" ย้อนกลับไปในนัดชิงปี 2018 ซาลาห์โดนรามอสอัดร่วง เหมือนท่ามวยปล้ำที่ให้ซาลาห์เอาไหล่กระแทกพื้นอย่างแรง
2
ซาลาห์ฝืนเล่นต่อได้แค่แป้บเดียว แต่สุดท้ายก็รู้ว่าไหล่หลุด เล่นไม่ไหว ต้องเปลี่ยนตัวออกทั้งน้ำตา มันคือรอยแค้นที่เขาจดจำมาตลอดชีวิต
1
วันนี้ เรอัล มาดริดไม่มีรามอสแล้ว แต่บัญชีแค้นของเขาก็ยังอยู่ และคงไม่มีวิธีไหนจะปลดปล่อยความแค้นที่มี ได้เท่ากับชนะเรอัล มาดริดในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก
3
แต่เรื่องนี้ก็มีดราม่าเบาๆ เมื่อดานี่ คาร์บาฆาล แบ็กขวาของมาดริด กล่าวว่า "ผมว่าซาลาห์ก็คงไม่เสียใจเท่าไหรหรอกมั้ง ถ้าต้องแพ้นัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก 2 หน ให้กับเรอัล มาดริด"
2
--------------------------
[ 11- ทีมสุดท้ายที่ชนะเรอัล มาดริดได้ในนัดชิงยุโรป คือลิเวอร์พูล ]
เรอัล มาดริด เป็นทีมที่ถูกเรียกว่า European Royalty พวกเขามีพรสวรรค์มาก ในการปิดจ๊อบเกมยุโรป คือเล่นได้ดีเสมอ เมื่อเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ
1
อย่างไรก็ตาม ทีมสุดท้ายที่เรอัล มาดริด ต้องพ่ายแพ้ในเกมนัดชิง นั่นคือลิเวอร์พูลยุคของบ๊อบ เพสลีย์ ในยูโรเปี้ยนคัพ ปี 1981 ที่สนามปาร์ก เดอ แพรงซ์ ในกรุงปารีส เกมนั้นลิเวอร์พูลชนะ 1-0 คนยิงประตูคือ อลัน เคนเนดี้ แบ็กซ้ายของทีม ที่ร้อยวันพันปี จะยิงสักลูก
6
ในรอบ 4 ปี เคนเนดี้ ยิงประตูได้ในเกมยุโรปแค่ "1 ลูก" ซึ่งก็คือประตูชัยเหนือเรอัล มาดริด นั่นแหละ เขาเป็นผู้เล่นที่ผู้คนคาดไม่ถึงว่าจะบุกมายิงประตู
3
--------------------------
[ 12 - ความฝัน 4 แชมป์จบลงแล้ว แต่ได้ 3 แชมป์ก็ยังเป็นปีที่ดี ]
การวาดฝันว่าจะเป็นทีมแรกในอังกฤษ ที่ได้แชมป์ Quadruple จบลงแล้ว หลังจากที่ไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก แต่ความหวัง Treble ยังอยู่ ซึ่งถ้าทำได้ มันก็ยังเป็นปีที่สุดยอดของลิเวอร์พูลอยู่
2
ก่อนหน้านี้ลิเวอร์พูลเคยได้ Treble ชุดเล็กมาแล้ว (ลีกคัพ, เอฟเอคัพ, ยูฟ่าคัพ) แต่ถ้าปีนี้พวกเขาเก็บแชมป์ชปล. ได้ ก็จะเป็น ลีกคัพ, เอฟเอคัพ, แชมเปี้ยนส์ลีก ถือเป็น 3 แชมป์ในสเต็ปที่ใหญ่ขึ้นอีกระดับหนึ่ง
1
โอเคล่ะว่า Treble ในปี 1999 ของแมนฯ ยูไนเต็ด มันยิ่งใหญ่กว่า (พรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ, แชมเปี้ยนส์ลีก) แต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปรียบเทียบอะไรกัน เพราะ Treble ของหงส์แดงที่อาจจะเกิดในปีนี้ ก็ยังเป็นอะไรที่สุดยอดอย่างมาก
1
--------------------------
[ 13- กูรูฟันธง หงส์แดงเหลื่อมกว่าเล็กน้อย ]
2
ไมเคิล โอเว่น นักเตะที่เคยเล่นกับทั้งสองสโมสรกล่าวว่า "ผมคิดว่าลิเวอร์พูลยังดีกว่าเรอัล มาดริดอยู่ และคิดว่าจะชนะ 3-1 หรือ 3-0 นั่นคือการวิเคราะห์ของผม ผมคิดว่าพวกเขาจะเอาชนะได้ เพราะตอนนี้ทีมหงส์แดงเล่นได้สุดยอดมาก และน่าจะดีเกินกว่าเรอัล มาดริดจะต้านทานอยู่"
3
ส่วนราฟาเอล เบนิเตซ ที่เคยคุมทั้งสองสโมสรเช่นกัน กล่าวว่า "ผมรักทั้งสองทีมนะ ใครเล่นดีกว่าก็ควรชนะ มันจะเป็นเกมที่ดีแน่นอน แต่ถ้าหากเราไปดูสถิติในซีซั่นนี้ ผมก็ต้องให้ลิเวอร์พูลเป็นต่อกว่านิดหน่อย แต่เรอัล มาดริดในรอบชิงมีความพิเศษ และที่สำคัญพวกเขาได้พักนานกว่า ย่อมมีความสดมากกว่าฝั่งลิเวอร์พูล"
2
ขณะที่สำนักพนันถูกกฎหมายทั่วโลก ก็ให้ลิเวอร์พูลเป็นต่อจริงๆ โดยสกายเบ็ต เปิดราคา แทงลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ แทง 4 บาท ได้เงิน 2 บาท แต่ถ้าแทงเรอัล มาดริดเป็นแชมป์ แทง 4 บาท จะได้เงิน 6 บาท
3
แน่นอนฟุตบอลนัดเดียวอะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่ตอนนี้ โมเมนตั้มจากกูรู และโต๊ะพนัน มีแนวโน้มจะเทไปทางหงส์แดงมากกว่านิดหน่อย
[ 14 - เต่าพลังจิต เลือกลิเวอร์พูล ]
ที่อะควาเรี่ยม ในเมืองมาลาก้า ประเทศสเปน ได้นำเต่าอายุ 30 ปี ขวัญใจของอะควาเรียม ชื่อว่า เจ้าเยลโลว์ มาทำการทำนายว่าใครจะเป็นแชมป์ยุโรป
1
วิธีการคือ มีกล่องอาหารอยู่ 2 กล่อง เป็นชื่อลิเวอร์พูล กับชื่อเรอัล มาดริด มาดูกันว่าเจ้าเต่าเยลโลว์จะกินกล่องไหน สรุปคือ มันกินกล่องซ้ายที่เป็นของลิเวอร์พูล!
1
กูรูก็มั่นใจ แม้แต่ดวงจากเต่ายังเทไปทางเดียวกัน เรียกได้ว่าเป็นการสร้างพลังใจนอกสนามให้ลิเวอร์พูลอย่างมากจริงๆ
1
แต่การทำนายใครจะทำก็ทำได้ ทุกอย่างต้องไปวัดกันที่สนามอย่างเดียวอะเนอะ
โฆษณา