27 พ.ค. 2022 เวลา 12:10 • ไลฟ์สไตล์
ทอม ครูซ : พื้นฐานของการเป็น "นักกีฬา" สู่การก้าวเป็นนักแสดงระดับแถวหน้าของฮอลลีวูด
สำหรับวงการภาพยนตร์ ณ ตอนนี้ คงไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่า "Top Gun : Maverick" ที่เพิ่งเข้าฉายในโรงภาพยนตร์แบบสด ๆ ร้อน ๆ นำแสดงโดย ทอม ครูซ ภาคต่อของภาพยนตร์แอ็กชั่น-ดราม่า "Top Gun" ที่ทิ้งห่างจากภาคแรกมานานกว่า 36 ปี และครั้งนี้เป็นการกลับเข้าสู่โลกภาพยนตร์สุดโลดโผนของนักแสดงวัยเฉียด 60 ปีคนนี้อีกครั้ง นับตั้งแต่ Mission: Impossible - Fallout ภาคที่ 6 จากแฟรนไชส์ MI ในปี 2018
1
หลังจากนี้เป็นต้นไปเราก็คงได้เจอ ทอม ครูซ กันไปอีกยาว ๆ เพราะในปีหน้าเขายังมี Mission: Impossible - Dead Reckoning Part One หนึ่งในภาพยนตร์ภาคสุดท้ายของแฟรนไชส์ MI ก่อนที่จะตามมาด้วยพาร์ตสองในปี 2024 โดยเป็นการเล่นฉากผาดโผนเองทั้งหมดแบบไม่พึ่งสตันท์แมนของทอม พร้อมตอกย้ำว่าเขายังเป็นหนึ่งในนักแสดงรุ่นใหญ่ที่ยังคงทุ่มเทให้กับผลงานอย่างต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ
อย่างไรก็ตามเราคงไม่ได้รู้จักนักแสดงคนนี้หากเขาได้เบนเข็มเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของตัวเองไปเอาดีด้านกีฬาแทนตั้งแต่ช่วงมัธยม ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของเขาที่แลกมาด้วยการเสียสละสิ่งที่ชอบอย่าง "กีฬา" ไปสู่สิ่งที่หลงใหลนั่นคือ "การแสดง" โดยบังเอิญ และหากเขาไม่ได้เปลี่ยนความสนใจไปตอนนั้น ป่านนี้เราก็อาจจะมีนักมวยปล้ำหรือนักอเมริกันฟุตบอลที่ชื่อ ทอม ครูซ แทนการเป็นนักแสดงก็เป็นได้
เรื่องราวชีวิตของ ทอม ครูซ ในฐานะนักกีฬาก่อนจะมาเป็นนักแสดงเป็นอย่างไร ? ติดตามต่อใน Main Stand
[แถวหน้าของวงการ]
จนถึงตอนนี้ปฏิเสธได้ยากว่า "ทอม ครูซ" หรือชื่อเต็มคือ "โทมัส ครูซ​ เมโพเธอร์ ที่ 4" เป็นหนึ่งในนักแสดงระดับแถวหน้าของวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลายว่าเป็นหนึ่งในคนที่มีฝีมือและทักษะด้านการแสดงสูงที่สุดคนหนึ่งของวงการและยากที่จะหาใครมาเทียบเคียงได้
โดยส่วนมากเรามักจะได้เห็นฝีมือของเขาอยู่บ่อย ๆ ผ่านการเล่นฉากผาดโผนเองในผลงานที่เขาเล่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นฉากขับรถหรือขี่มอเตอร์ด้วยความเร็วสูง กระโดดร่ม ปีนผา รวมถึงขับเครื่องบิน ทอม ครูซ ก็เคยทำมาหมดแล้ว เหลือเพียงอย่างสองอย่างนั่นคือการขึ้นไปลุยบนอวกาศหรือการดำดิ่งสู่จุดที่ลึกที่สุดของมหาสมุทรเท่านั้น
พูดไปก็เหมือนตลก แต่จะว่าไปแล้วสิ่งแรกอย่าง "การออกอวกาศ" กำลังจะเกิดขึ้นจริงเร็ว ๆ นี้ และเป็นเป้าหมายต่อไปของทอมที่เขาตั้งใจจะทำมันในภาพยนตร์ที่ยังไม่มีการคอนเฟิร์มชื่อ และเป็นการโคจรกลับมาร่วมงานกับผู้กำกับ "ดั๊ก ไลแมน"
หลังจากที่ทั้งคู่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน Edge of Tomorrow (2014) และ SpaceX เป็นการถ่ายทำภาพยนตร์นอกอวกาศครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของโลกภาพยนตร์ โดยทั้งทอมและดั๊กต้องบินไปถ่ายทำถึงสถานีอวกาศนานาชาติ ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวมีกำหนดฉายคร่าว ๆ ตอนต้นปี 2024
1
แม้ว่าภาพลักษณ์ของ ทอม ครูซ จะดูเป็นนักแสดงแอ็กชั่นที่ต้องลุยกับเหตุการณ์เสี่ยงตายอยู่ตลอด แต่ความจริงแล้วนักแสดงคนนี้ยังมีฝีมือด้านการแสดงในโหมดการใช้อารมณ์ในภาพยนตร์ดราม่าเช่นเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นผลงานอย่าง Jerry Maguire (1996), Eyes Wide Shut (1999), Magnolia (1999), Vanilla Sky (2001) ไปจนถึงผลงานตลกหลุดโลกอย่าง Tropic Thunder (2008) ที่เขาต้องแปลงโฉมสลัดภาพของพระเอกรูปงามออกไปจนหมดที่เป็นเครื่องพิสูจน์ชั้นดีว่า ทอม ครูซ เป็นนักแสดงที่มีฝีมือมากที่สุดคนหนึ่งของวงการ
ความสามารถของทอมยังเคยส่งผลให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 3 ครั้ง ได้แก่ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Born on the Fourth of July ในปี 1990, Jerry Maguire ในปี 1997 และสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก Magnolia ในปี 2000
นอกจากนี้เขายังเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงลูกโลกทองคำถึง 7 ครั้ง และคว้ารางวัลไปได้ถึง 3 รางวัล (ทั้ง 3 รางวัลมาจากภาพยนตร์เรื่อง Born on the Fourth of July, Jerry Maguire และ Magnolia เหมือนกับเวทีออสการ์) ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ เลือกรับงานแอ็กชั่นมากขึ้นด้วย Minority Report ในปี 2002, The Last Samurai ในปี 2003 ไปจนถึงแฟรนไชส์ MI ที่ค่อย ๆ ออกไล่มาในแต่ละปีอย่างต่อเนื่อง
1
จนในที่สุดมันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนทิศทางการแสดงของเขาให้เป็นนักแสดงสายบู๊ ซึ่งมันก็ดูจะเป็นสิ่งที่เขาทุ่มเทและเต็มที่อย่างเห็นได้ชัด
เป็นไปได้หรือไม่ว่าความจริงแล้วที่ทอมสามารถเล่นบทแอ็กชั่นได้ดีขนาดนี้เป็นเพราะครั้งหนึ่งเขาเคยสนใจในกีฬาและมีพื้นฐานด้านกีฬาที่ดีมาโดยตลอด แต่อาจจะเป็นเพราะความเกเร ? หรือเรื่องบังเอิญ ? ที่ทำให้เขาต้องค่อย ๆ ถอยห่างจากกีฬาไป ก่อนที่จะหันมาเอาดีด้านการแสดงอย่างเต็มตัวในเวลาต่อมา
[ชีวิตก่อนก่อนแสดง]
ก่อนจะมาเป็นนักแสดง ทอม ครูซ และพี่/น้องสาวอีกจำนวน 3 คน ได้แก่ ลี แอน, มาเรียน และ แคส เป็นเด็กที่ต้องย้ายบ้านอยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าจะไม่มีการระบุอย่างเฉพาะเจาะจงว่าทำไม แต่ส่วนมากก็เป็นการย้ายตามพ่อของเขาที่ต้องเปลี่ยนที่ทำงานอยู่บ่อย ๆ ทั้งในสหรัฐอเมริกาไปจนถึงแคนาดา
ตอนที่เขามีอายุได้ 14 ปี ทอมได้ผ่านโรงเรียนมาแล้วทั้งหมด 15 แห่ง ซึ่งการย้ายบ้านบ่อย ๆ มันก็ทำให้เขาได้พบกับสิ่งที่ชอบถึง 3 อย่างด้วยกัน ได้แก่ ศาสนา กีฬา และการแสดง
ครั้งหนึ่งทอมเคยสนใจในศาสนาคริสต์ นิกายคาธอลิก จนเกือบจะไปเอาดีด้านนี้ด้วยการเป็นนักบวช เพราะครั้งหนึ่งเขาได้เข้าไปอยู่ที่โรงเรียนสอนศาสนา St. Francis Seminary เมืองซินซินเนติ รัฐโอไฮโอ แต่สุดท้ายก็ต้องถูกขับไล่ออกจากโรงเรียนเพราะถูกจับได้ว่าแอบดื่มเหล้า
ส่วนอีกครั้งคือตอนที่เขาได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนสอนศาสนา St. Xavier High School ในเมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี ก่อนจะต้องจำใจย้ายบ้านตามแม่ไป ความตั้งใจที่จะเป็นนักบวชของเขาจึงจบลงเพียงแค่นั้น
หลังจากที่ต้องระหกระเหินย้ายบ้านมาตลอด ครอบครัวของทอมก็มาเริ่มลงตัวที่เมืองเกล็นริดจ์ เคาน์ตี้เอสเซ็ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ เนื่องจากแม่ของเขาแต่งงานใหม่ ทอมจึงได้เข้าศึกษาระดับมัธยมปลายในวัย 15 ปีที่โรงเรียน Glen Ridge High School และที่นี่เขาก็ได้พบกับสิ่งที่ชอบอย่างที่สอง นั่นก็คือกีฬา
ทอมเคยมีดีกรีเป็นถึงอดีตนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ผู้เล่นตำแหน่งไลน์แบ็คเกอร์ของทีมประจำโรงเรียน Glen Ridge High School แต่การดื่มเบียร์ก่อนลงสนามแข่งครั้งหนึ่งก็ทำให้เขาโดนลงโทษถึงขนาดโดนไล่ออกจากทีม และนี่ก็เป็นเหตุการณ์ที่คล้ายกันกับตอนแอบดื่มเหล้าในโรงเรียนสอนศาสนาจนโดนไล่ออกอย่างน่าประหลาด ถึงอย่างไรนั่นก็ไม่ใช่กีฬาชนิดเดียวที่เขาเล่น เพราะทอมยังมี "มวยปล้ำ" เป็นกีฬาอีกชนิดที่ชอบไม่แพ้กัน
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 จากบทสัมภาษณ์ของ "ทอม จาร์เร็ต" หนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นของทอมขณะที่เขากำลังศึกษาอยู่ที่ Glen Ridge High School ที่เผยว่า ทอมเริ่มฉายแววการเป็นสตันท์มาตั้งแต่ช่วงมัธยมแล้วและกีฬาก็เปรียบเสมือนกับเครื่องมือที่ช่วยให้เขาได้ระบายความเครียด เพราะทอมเป็นเด็กที่ต้องเผชิญกับการย้ายบ้านอยู่บ่อย ๆ จนทำให้เขาปรับตัวเข้ากับใครไม่ได้
เขาเผยกับ Daily Mail ถึงเพื่อนของเขาที่ตอนนี้เป็นซูเปอร์สตาร์ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อยว่า
"เขาสมควรที่จะประสบความสำเร็จ เขาเป็นคนที่ทะเยอทะยานมากแบบของจริงแต่ก็เป็นคนดีด้วย ผมไม่มีเรื่องแย่ ๆ ที่จะพูดเกี่ยวกับทอมหรอก ผมว่ามวยปล้ำมันช่วยทำให้เขาได้ตั้งสมาธิแล้วก็เป็นวิธีการจัดการกับความก้าวร้าวของเขาด้วย เขาเห็นเคนทักกีเป็นบ้านของตัวเองไม่ใช่เจอร์ซีย์
ซึ่งตอนนี้มันเป็นช่วงเวลาของการเติบโตของเขา เขาไม่เคยรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ เขาคล้ายกับผมนิด ๆ ที่ผมก็รู้สึกแบบนั้นมาตลอด เพราะผมก็มาจากรัฐอื่นเหมือนกัน
1
"เขามีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการดิ้นรนเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ ซึ่งกับมวยปล้ำเนี่ยคุณสามารถตั้งเป้าหมายให้ตัวเองได้ เขาเองก็คงรู้สึกแบบนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความอยากเป็นเด็กป๊อปเลย มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายล้วน ๆ
"เขาอยากที่จะประสบความสำเร็จ แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าควรจะประสบความสำเร็จกับอะไร ผมว่านั่นเป็นเพราะดิเล็กเซียมันรั้งเขาไว้ เพราะฉะนั้นแล้วการแสดงกับมวยปล้ำเนี่ยมันเป็นสิ่งที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับเขาเลย"
เรื่องที่หลายคนอาจจะไม่ทราบคือ จริง ๆ แล้ว ทอม ครูซ เป็นคนที่เคยประสบปัญหากับ "ดิสเล็กเซีย" (Dyslexia) หรือภาวะผิดปกติเกี่ยวกับเรื่องการเรียนรู้ที่ทำให้เขามีปัญหาในการอ่านและการเขียน (ซึ่งภายหลังเขาก็หายมาได้ โดยเขาให้เครดิตไปที่การเข้าร่วมลัทธิ "ไซเอนโทโลจี้" ที่ทอมได้ฝึกการเพ่งความสนใจและเลือกที่จะนึกภาพออกมาในหัวเพื่อให้เข้าใจต่อสิ่งที่อ่านที่เป็นความเชื่อส่วนบุคคลของเขา)
อย่างไรก็ตามมวยปล้ำก็เป็นกีฬาที่เหมาะสำหรับเขา มันช่วยให้เด็กชายทอมได้เพ่งสมาธิอยู่ตลอด ทอม จาร์เร็ต ยังเผยต่ออีกว่า รูปร่างของ ทอม ครูซ เพื่อนเขาที่ดูแล้วอาจจะตัวเล็กกว่าคนอื่น แท้จริงแล้วเป็นรูปร่างที่เหมาะสำหรับมวยปล้ำ เพราะนักกีฬาบางคนในทีมตอนนั้นยังพยายามที่จะลดน้ำหนักลงมาเพื่อไม่ให้ตัวใหญ่จนเกินไป แต่สำหรับ ทอม ครูซ แล้วมันไม่มีอะไรจะลงตัวไปมากกว่านี้ และก็คงไม่มีอะไรถูกใจเขาอีกแล้ว
จนกระทั่งเข่าของเขาเจ็บ ... และส่งผลให้เขาต้องอดลงเล่นในสนาม นำไปสู่สิ่งที่เขาชอบสิ่งสุดท้ายอย่าง "การแสดง"
[พื้นฐานอันแข็งแกร่ง]
ชีวิตของ ทอม ครูซ ต้องพลิกผันอีกครั้งเนื่องจากอาการเจ็บบริเวณหัวเข่าที่ทำให้เขาไม่สามารถเล่นมวยปล้ำได้อยู่พักหนึ่ง แต่แทนที่จะรอ ทอม ครูซ ก็ไม่รอช้าที่จะไปหากิจกรรมอื่นทำทันทีอย่างการเข้าไปออดิชั่นในละครเวทีของโรงเรียนที่ชื่อ "Guys and Dolls" มิวสิคัลเก่าแก่ที่เป็นบทละครบรอดเวย์มาตั้งแต่ปี 1950 จากตรงนั้นเด็กชายทอมจึงรู้ทันทีว่าเขาอยากทำอะไรต่อไปแทนมวยปล้ำ
ทอมไม่รอช้าหลังจากที่จบการศึกษาที่โรงเรียน Glen Ridge High School ในปี 1980 เข้าได้ออกไปอยู่ที่นิวยอร์กซิตี้เพื่อตามความฝันการเป็นนักแสดงควบคู่ไปกับการทำงานเป็นบริกรในร้านอาหาร ก่อนจะพาตัวเองย้ายไปเสี่ยงโชคอีกครั้งที่ฮอลลีวูด ลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย
1
จนในที่สุดก็เริ่มได้บทเล็ก ๆ ในละครทีวี จนไต่เต้าขึ้นไปสู่ภาพยนตร์ได้ เขาเริ่มเป็นที่รู้จักจากการเป็นหนึ่งในทีมนักแสดงนำของภาพยนตร์ The Outsiders (1993) ประกบ แมต ดิลลอน, แพทริก สเวซี่ และเป็นนักแสดงนำจริง ๆ ในภาพยนตร์ Risky Business (1983) ที่เล่นคู่กับ รีเบคก้า เดอ มอร์เนย์ ก่อนที่จะดังเป็นพลุแตกในภาพยนตร์ Top Gun (1986) ในเวลาต่อมา
ความบังเอิญชวนขำขันเล็กน้อยคือตอนที่ภาพยนตร์เรื่อง All The Right Moves (1983) ที่เขารับบทนำได้พา ทอม ครูซ กลับมาเจอกับอเมริกันฟุตบอลอีกครั้ง ในบทของเด็กที่พยายามหนีออกไปจากเมืองที่ตัวเองอยู่ไปมีชีวิตที่ดีด้วยสกิลการเล่นของตัวเอง หรือจะเป็นภาพยนตร์ Born on the Fourth of July (1990) ที่มีฉากที่เขาต้องกลับไปเล่นมวยปล้ำอีกครั้ง
เรื่องดังกล่าวยังมีความตลกร้ายอยู่อีกเล็กน้อย เพราะภาพยนตร์ Born on the Fourth of July (1990) ก็ส่งผลให้เขาได้เข้าชิงรางวัลสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์และคว้ารางวัลนักแสดงนำชายในภาพยนตร์ดราม่าเรื่องนี้จากเวทีลูกโลกทองคำมาได้ ซึ่งเป็นเหมือนเป็นการได้ดีกับสิ่งที่ตัวเองรักไปโดยปริยาย
จากคำบอกเล่าของเพื่อนของ ทอม ครูซ ก็พอจะทำให้เราเห็นภาพและพอเชื่อมโยงได้คร่าว ๆ แล้วว่า พื้นฐานของการเป็นนักกีฬาของเขาทั้งกีฬาที่ต้องอาศัยความแข็งแรงและการควบคุมร่างกายแบบมวยปลํ้าหรือจะเป็นกีฬาที่เน้นความแข็งแรงของร่างกายอย่างอเมริกันฟุตบอล (ถึงจะโดนไล่ออกก็ตาม) ก็อาจจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้เขามีพื้นฐานทางด้านร่างกายมาตั้งนานแล้ว เหมือนกับคนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจนมีสุขภาพดีอยู่ตลอด
นอกเหนือจากเรื่องทางกาย บางทีสิ่งที่ ทอม ครูซ ยังเหลือไว้จากกีฬาก็อาจจะเป็นเรื่องของมายด์เซ็ตแบบนักกีฬาที่ต้องการเอาชนะหรือตั้งใจทุ่มเทกับสิ่งที่ชอบก็เป็นได้ สมคำว่า "Go-Getter" หรือคนประเภทที่อยากจะได้อะไรก็ตั้งใจคว้ามาให้ได้ แบบที่ ทอม จาร์เร็ต เพื่อนของเขานำมาใช้นิยามตัวเขาระหว่างที่เป็นนักกีฬามวยปล้ำของโรงเรียนอยู่
นับตั้งแต่ที่เขาเรียนจบมาในปี 1980 แล้วลุยต่อในเส้นทางนักแสดงมาจนเกือบ 40 ปี ทอม ครูซ ยังเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ยังมีมายด์เซ็ตแบบเดิมไม่มีเปลี่ยน เพราะขนาดการทำภาคต่อของหนังแจ้งเกิดของเขาอย่าง Top Gun : Maverick เขายังเคยเสนอข้อแม้ให้กับ "เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์" ว่า เขาจะกลับมาเล่นก็ต่อเมื่อเขาได้ขึ้นไปอยู่บนเครื่องบินจริงโดยไม่ใช้ CGI เข้าช่วยเท่านั้น
1
นี่เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า ทอม ครูซ ก็ยังเป็น ทอม ครูซ ที่ทุ่มเทไม่ต่างจากตอนเป็นวัยรุ่นแม้แต่น้อย
เรื่อง : ณัฐพล ทองประดู่
ภาพ : ภราดร ภราดร
โฆษณา