30 พ.ค. 2022 เวลา 06:45 • ปรัชญา
“สติ”
สติก็คือการระลึกรู้ ให้ใจระลึกรู้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่นร่างกาย หรือเวทนา หรือจิต หรือธรรม มีอยู่ ๔ สิ่งด้วยกัน ที่สามารถเอาใจกับสติไปผูก สตินี้อยู่กับใจ ถ้าสติอยู่ตรงไหน ใจก็ต้องอยู่ตรงนั้น ถ้าบังคับให้อยู่กับร่างกาย ก็ต้องอยู่กับร่างกาย ถ้ามันดื้อมันไม่ยอมอยู่ ก็จะไปอยู่กับเรื่องอื่น ส่วนใหญ่มันชอบไปอยู่กับเรื่องของ
กิเลส เรื่องของตัณหา เรื่องของสวยๆงามๆ เรื่องที่ชอบที่ชัง เวลาชอบอะไรก็จะติดอยู่กับเรื่องนั้น เวลาชังก็จะติดอยู่กับเรื่องนั้น ต้องต่อสู้กับมัน ดึงมันมาให้อยู่กับร่างกาย หรือเวทนา หรือจิต หรือธรรม ให้อยู่ใน ๔ ส่วนนี้ ถ้าสามารถแย่งมาจากกิเลสได้ ต่อไปก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมบังคับของเรา พอเราต้องการให้อยู่กับอารมณ์เดียว เช่นอยู่กับพุทโธ มันก็จะอยู่กับพุทโธ มันจะไม่ไปคิดเรื่องอื่น ถ้าไม่
คิดเรื่องอื่น อยู่กับพุทโธได้ ไม่นานก็จะรวมลง เข้าสู่ความสงบ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะยุติชั่วคราว
ร่างกายไม่เคลื่อนไหวไม่เดินไม่ทำอะไร ความรู้สึกนึกคิด เช่นเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ก็จะหยุดไป เหลืออยู่แต่ความสงบ ที่เต็มไปด้วยความสุข ที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ ที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน พอได้พบกับความสุขแบบนี้แล้ว จะทำให้ความสุขอย่างอื่นไร้ความหมายไป ไร้ค่าไป จะไม่สนใจกับความ
สุขแบบอื่นอีกต่อไป เมื่อก่อนยังติดอยู่กับความสุขแบบนั้นแบบนี้อยู่ พอได้พบกับความสุขที่เกิดจากความสงบของใจแล้ว ก็จะไม่สนใจอีกแล้ว จะเอาเวลาทั้งหมดมาสร้างความสุขแบบนี้ให้เกิดขึ้นนานๆ เพราะตอนได้ครั้งแรกนั้น ได้เดี๋ยวเดียว ชั่วนกกระจอกกินน้ำ ที่เรียกว่าขณิกสมาธิ รวมลงปั๊บเดียวก็ถอนออกมา แต่ตอนที่รวมอยู่นั้น มันแสนจะวิเศษแสนจะมหัศจรรย์ใจ ทำให้อยากจะได้พบกับความสุข
แบบนี้มากๆยิ่งๆขึ้นไป แล้วก็รู้ว่าเหตุที่จะทำให้เกิดขึ้นได้นี้คืออะไร
ก็คือการมีสติอยู่กับกรรมฐานที่ถูกจริต ถ้าถูกจริตกับพุทโธ ก็ให้มีสติกำหนดควบคุมจิต ให้อยู่กับพุทโธไปเรื่อยๆ พอทำได้ครั้งหนึ่งแล้วต่อไปก็จะง่าย เพราะจับเคล็ดได้แล้ว รู้วิธีทำแล้ว สิ่งที่ต้องมีก็คือเวลาปฏิบัติ ถ้ายังมีภารกิจอย่างอื่นอยู่ ยังทำมาหากิน ยังแสวงหาเงินหาทอง หาตำแหน่งอยู่ พอได้พบกับจิตรวม
แล้ว ทีนี้ก็ไม่อยากได้อย่างอื่นแล้ว เงินทองไม่อยากได้แล้ว ตำแหน่งหน้าที่การงานต่างๆไม่อยากได้แล้ว ก็จะเตรียมตัวลาออกจากงาน เพื่อจะได้มีเวลามาทำจิตให้สงบมากขึ้น เพราะการไปทำงานนี้มันไปเขย่าจิต ไม่ได้ไปกล่อมจิตให้สงบ ทำงานแล้วก็จะเกิดความฟุ้งซ่านต่างๆตามมา พอกลับจากทำงานจะมาทำจิตให้สงบก็ยาก เพราะมันฟุ้งอยู่ตลอดเวลา จึงเห็นว่าเงินทองที่ได้มา ตำแหน่งที่ได้มา
ยศฐาบรรดาศักดิ์ที่ได้มานี้ ไม่คุ้มค่ากับความสงบที่เสียไป ถ้าได้พบกับความสงบแล้ว รับรองได้ว่าจะต้องทิ้งความสุขแบบอื่นไปหมด แล้วก็มุ่งมาสู่ความสุขแบบนี้ เพราะความสุขแบบนี้ดีที่สุด เพียงแต่ว่ายังไม่ถาวรเท่านั้นเอง สุขตอนที่สงบนิ่ง แต่พอออกมาก็ยังกระสับกระส่ายกระวนกระวาย ก็ต้องใช้หลักการเดียวกับที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญมา ก็คือ ต้องเจริญปัญญา.
กำลังใจ ๔๖ กัณฑ์ที่ ๔๐๓
๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
…ส่วนใหญ่จะคุยเรื่องคนอื่น
วิพากษ์วิจารณ์คนนั้นคนนี้
เรื่องนั้นเรื่องนี้ ..
“ ต้องดึงใจให้เข้าข้างใน “
.วิพากษ์วิจารณ์เรื่องของเราดีกว่า
ว่า..”ทำไมยังไม่สงบเสียที
ทำไมยังโลภยังโกรธยังหลงอยู่
ทำไมไม่มีสติ ทำไมไม่มีสมาธิ
ทำไมไม่มีปัญญา “
. เพราะไม่ปลีกวิเวก ไม่เจริญสตินั่นเอง
มัวแต่ปล่อยให้ใจคิดไปเรื่อยเปื่อย
ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา
ถ้าเจริญพุทธานุสติอยู่เรื่อยๆ
ควบคุมใจไม่ให้ไปคิดเรื่องต่างๆ
.คิดอยู่แต่…พุทโธๆ
ใจจะไม่ออกไปรับรู้เรื่องของคนอื่น
เวลานั่งสมาธิ จะสงบ
พอออกจากสมาธิก็จะเจริญปัญญาได้
พิจารณาไตรลักษณ์ได้ พิจารณาอนิจจังได้
พิจารณาอนัตตาได้
พิจารณาทุกขัง อริยสัจ ๔ ได้
.ว่า..ทุกข์เกิดจาก ”ความอยาก” ของเราเอง
ไม่ได้เกิดจากใครหรอก
จะดับทุกข์ได้ก็ต้อง..”ละความอยาก “
เช่น อยากจะวิพากษ์วิจารณ์
ก็ต้องหยุดวิพากษ์วิจารณ์
แล้วความวุ่นวายใจกับคนอื่น
“ ก็จะหมดไปเอง “
.คนในโลกมีเป็นพันล้าน
จะไปวิพากษ์วิจารณ์ไหวหรือ
ปล่อยเขาไปเถิด
เขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขา
.ความดีความชั่วของเขา
ไม่ได้ทำให้เราดีหรือชั่วตามไปด้วย
ความดีของเรา..”อยู่ที่การเจริญสติ “
อยู่ที่การปลีกวิเวก อยู่ที่การไม่คลุกคลี
ไม่วิพากษ์วิจารณ์.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
กำลังใจ ๕๕ กัณฑ์ที่ ๔๓๒
๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
…ต้องคิดว่าเอาอะไรไปไม่ได้เลย
“ เรามีหน้าที่ปล่อยวาง
เพื่อดับความทุกข์ใจ “
.ปฏิบัติเพื่อ
“ ทำใจให้เป็นกลางตลอดเวลา “
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
.ต้องทำใจให้เฉยให้ได้
ให้คิดว่าเป็นธรรมดา “มีมาก็มีไป”
ไม่มีอะไรเป็นของเรา .
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
กำลังใจ ๕๒ กัณฑ์ที่ ๔๒๑
๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
โฆษณา