31 พ.ค. 2022 เวลา 05:24 • การศึกษา
เคล็ด(ไม่)ลับของ 3 วิทยากร จากงาน Talen event เมื่อวาน มีเทคนิคดี ๆ ในการสอนลูกให้เรียนรู้ทักษะชีวิต และค้นหาแนวทางที่ใช่ในแบบของตัวเอง มาฝากกันค่า ❤❤❤
.
●ความแตกต่างของระบบการศึกษา
1.พ่อโจ้ ( Home school)
เมื่อผู้ปกครองเป็นผู้จัดการเรียนการสอนแล้ว ก็จะค่อนข้างมีเวลาในการดูแลลูก โดยส่วนใหญ่ของผู้ปกครองที่เลือกทำ Home School จะมีธุรกิจส่วนตัว ลูก ๆ ก็จะอยู่กับตรงนั้นได้เรียนรู้ตรงนั้นเพิ่มเติมด้วย
เช่น ผมเปิดร้านกาแฟเล็ก ๆ ลูกผมก็จะอยู่กับเครื่องชงกาแฟ การบริหารงานในร้านกาแฟ และอื่น ๆ เกี่ยวกับธุรกิจของผม นอกจากนั้นเวลาว่างก็พาลูก ๆ ไปเที่ยว ได้ใช้ทักษะชีวิตเยอะและหลากหลาย ก็เรียกได้ว่าแตกต่างจากการเรียนการสอนที่มีคุณครูเป็นผู้จัดการ
2.แม่จิว (ระบบการศึกษาไทย)
ผู้ปกครองไทยในยุคก่อนชอบคิดว่าการที่ส่งลูกมาโรงเรียน จ่ายเงินแล้วก็เป็นหน้าที่ของคุณครู ผู้ปกครองก็ไม่ได้มีส่วนในการส่งเสริมด้าน ๆ อื่น ๆ ทำให้ทักษะชีวิตในเด็กไทยในยุคก่อน ๆ ค่อนข้างจะน้อย ถ้าเขาไม่ใช่คนใฝ่รู้ใฝ่เรียนจริง ๆ
แต่ปัจจุบันหลาย ๆ โรงเรียนเริ่มมีการพัฒนาและให้ผู้ปกครองเข้ามามีบทบาทในการดูแลลูกมากขึ้น ทำให้ผู้ปกครองก็มีส่วนช่วยในการเรียนรู้ การค้นหาตัวเอง และการเสริมสร้างทักษะให้กับลูก แต่ก็ไม่ใช่กับทุกโรงเรียน ถ้าหากว่าโรงเรียนหรือผู้ปกครองยังไม่ปรับ เราก็จะได้เด็กแบบยุคเดิม ๆ
3. ครูโบ๊ท (ระบบการศึกษาต่างประเทศ)
ที่อังกฤษหรือต่างประเทศจะเน้นการสอนแบบInductive Learning โดยสอนให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเอง ถ้าถามว่าทำไมเด็กนอกดูเก่งจังเป็นเพราะว่าเขาสอนให้เด็กหาความรู้ใหม่ ๆ ด้วยตัวเองเป็นปกติอยู่แล้ว ในขณะที่เด็กไทยบางคนเรียนจบแล้วแต่ประยุกต์เข้ากับการทำงานไม่ได้ แต่ที่ต่างประเทศเขาสอนให้เด็กรู้จักประยุกต์ความรู้ที่ได้มาใช้กับงานหรือชีวิตประจำวันตั้งแต่วันแรกที่คุณเข้าไปเรียนแล้ว
●วิธีการทำให้ลูกค้นพบตนเอง
1.พ่อโจ้ (Home School)
ใช้การพูดคุยกับลูกให้รู้ถึงสถานการณ์ปัจจุบันของโลก การมองเห็นโลกตามความเป็นจริงและแอคชั่นตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น อย่าเรียนรู้ตามความกลัว แต่ให้เรียนรู้ตามสิ่งที่เป็นจริงในปัจจุบัน
แม่จิว (ระบบการศึกษาไทย)
การค้นพบตัวเอง ไม่ใช่การนิยามว่าฉันเป็นอะไร
แต่ให้มาโฟกัสว่าเราอยากให้เค้าเป็นอย่างไร
แม่จิวฝากเรื่อง "การรู้เท่าทันอารมณ์" ที่เป็นต้นเหตุของซึมเศร้า ขาดการยับยั้งชั่งใจ สอนให้ลูกเห็นความสุข เศร้า และอารมณ์เหล่านี้เป็นเรื่องปกติ และเรียนรู้ทักษะต่างๆจากเพื่อน แล้วพ่อแม่มาช่วยสะท้อนและสอนมุมมองต่างๆให้ลูก
ข้อดีของการศึกษาแบบไทย คือ การสอนเรื่องสังคม สังคมการทำงานคล้ายกับการเรียนมาก มีทั้งเพื่อนร่วมงานที่ดีกับเรา เมินเฉยเรา เอาเปรียบเรา นินทา Bully ดังนั้นเด็ก ๆ จะรู้วิธีรับมือกับสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ตอนเรียน
อีกข้อที่แม่จิว อยากฝาก "มนุษย์มีศักยภาพมากพออย่างไม่มีขีดจำกัด" อย่าเอาความสำเร็จของเราไปเทียบกับใคร ทุกคนมีข้อดีข้อด้อยของตนเอง ส่วนที่เหลือปล่อยให้เค้าค้นพบตัวเอง จากการลงมือทำ
3.ครูโบ๊ท (ระบบการศึกษาต่างประเทศ)
มุมมองเรื่องการค้นพบตัวเองจากประสบการณ์ในต่างประเทศ คือมีการเปลี่ยนงานบ่อยมาก จนเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นระบบการศึกษาแบบไหน มีความเชื่อมโยงอยู่ 1 อย่าง คือ ไม่รีบตัดสินการค้นพบตัวเอง โดยบอกว่าจะเป็นอาชีพอะไร สิ่งที่เราจะทำให้ลูกค้นพบตัวเองได้ คือ การสนับสนุนให้ค้นพบตัวเองในวันนี้ ว่าลืมตาตืนมาอยากเป็นอะไร มีคววามสามารถมีอะไรใหม่ๆเข้ามาในชีวิต นี่คือความหมายของการค้นพบตัวเอง
●คาถาสั้น ๆ ที่ 3 วิทยากรมอบให้เราในเรื่องของการค้นหาตัวเอง คือ
1.ลงมือทำ (ครูโบ๊ท)
ให้ลูกได้มีโอกาสลงมือทำมีอะไรอยู่ตรงหน้าลองทำให้หมด ลองไปเรื่อย ๆ ให้รู้ว่าอะไรที่เราสนุกกับมัน แต่ถ้าไม่สนุกก็ลองเปลี่ยนทำไปอย่างอื่น
2.ฟังอย่างตั้งใจและสะท้อนกลับ (พ่อโจ้)
รับรู้รับฟังอย่างตั้งใจว่าลูกชอบพูดถึงอะไรบ่อย ๆ อยากทำอะไรเป็นพิเศษ ทำอะไรได้ดีเป็นพิเศษ และสะท้อนให้ลูกฟังว่าลูกพูดถึงสิ่งนี้บ่อย ชอบรึเปล่า พอเราสะท้อนบ่อย ๆ ลูกก็จะเริ่มสังเกตตัวเองว่าเขาชอบสิ่งนั่นจริง ๆ รึเปล่า
3.ให้พื้นที่และโอกาส (แม่จิว)
-ให้พื้นที่ลูกในการได้ลองเหมือนกับตอนที่ลูกไปสนามเด็กเล่น แล้วจะเล่นสไลด์เดอร์ แต่คุณแม่ไปห้ามบอกเขาว่ามันอันตราย เขาก็จะไม่รู้ว่าอันตรายยังไง ไม่รู้วิธีเรียนรู้ว่าเล่นยังไงจะไม่อันตราย " ตอนนี้ลูกแค่ย้ายจากสนามเด็กเล่นมาเป็นชีวิตจริงเท่านั้นเอง " ให้พื้นที่ลูก อย่าปิดกั้นลูกไปหมดทุกทาง
-ให้โอกาสกับทั้งตัวเองและลูก ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ลองผิดลองถูก ตัวเราก็อาจจะเลือกสิ่งที่ผิดให้ลูกไปบ้าง ลูกอาจจะลองอะไรแล้วไม่ชอบ คนเรามีผิดพลาดกันได้ค่ะแค่ให้โอกาสแล้วเริ่มลองใหม่
.
ลูกจะเดินไปในทิศทางไหนเรามีส่วนช่วยในทุกก้าวของเขา อยากให้ผู้ปกครองทุกคนใส่ใจกับการเรียนรู้นอกห้องเรียน และประสบการณ์ชีวิตของเด็ก ๆ กันนะค้าา ❤❤
โฆษณา