1 มิ.ย. 2022 เวลา 10:06 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ส่องอนาคตหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นอีกไหม เมื่อต่างชาติซื้อสุทธิเป็นประเทศเดียวในภูมิภาค
ภาพรวมตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีแรงกดดันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีปัจจัยสนับสนุนอยู่เช่นกัน ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนนับจากนี้ จะเป็นอย่างไร นักลงทุนต้องรับมือกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นอย่างไร หุ้นกลุ่มไหนน่าสะสม Wealthy Thai หาคำตอบมาฝากนักลงทุนแล้ว
โดยนายภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวกับ Wealthy Thai ว่า แม้จะเห็นตัวเลข Fund Flow เข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าพยุงตลาดหุ้นไทยให้แข็งแรง โดยเดือนพ.ค.นี้ Fund Flow เข้ามาซื้อสุทธิแล้วกว่า 14,400 ล้านบาท และ Long Futures ประมาณ 84,000 สัญญา
ทั้งนี้จากประเด็นดังกล่าวเป็นการซื้อสุทธิที่ระดับน้อยลง เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา ที่อยู่ระดับหลายหมื่นล้านบาท แต่ปัจจุบันถือว่าเบาบางลง อย่างไรก็ตามในช่วงเดือนพ.ค.นี้ Fund Flow ซื้อสุทธิหุ้นไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาค แปลว่าหุ้นไทยเด่นกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาค
โดยประเด็นหลักที่สนับสนุน คือ ตัวเลข GDP ของไทยในช่วงไตรมาส 1/65 ที่ออกมาดีกว่าคาดการณ์ รวมทั้งผลประกอบการงวดไตรมาส 1/65 ที่ออกมาราว 2.7 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูง ดังนั้นในช่วงไตรมาสดังกล่าวมีเหตุการณ์เข้ามาหลายประเด็น แต่ตัวเลขกำไรค่อนข้างแข็งแรง จึงเป็นแรงดึงดูดให้ Fund Flow เข้ามาซื้อ ประกอบกับการขึ้นดอกเบี้ยของไทย คาดว่าจะไม่ปรับขึ้นในเร็วๆนี้ เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
อย่างไรก็ตามความกังวลของสภาพคล่องส่วนเกินที่จะทยอยลดลง เห็นได้จาก Fund Flow ที่เข้ามาหุ้นไทยในเดือนพ.ค.นี้ อยู่ในระดับที่ลดน้อยลง และมองว่า ในเดือน มิ.ย. 65 มีโอกาสเห็น Fund Flow ต่างชาติชะลอลงหรือขายทำกำไรในบางช่วงได้ เนื่องจากในเดือน มิ.ย. 65 FED มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ย 0.5% รวมทั้งยังมีการลดขนาดงบดุลอีกด้วย
โดยการลดขนาดงบดุลของ FED ราว 4.75 หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน (ในช่วง มิ.ย. - ก.ย. 65) และลดเพิ่มเป็น 9.5 หมื่นล้านเหรียญในช่วงที่เหลือ ทำให้ทั้งปี 65 อาจเห็นการลดงบดุลของ FED 5.2 แสนล้านเหรียญ คาดกดดัน SET Index ประมาณ 91 จุด
ส่วนประเด็นเงินเฟ้อจะกังวลอีกครั้งในช่วงต้นเดือนมิ.ย. เพราะว่าในช่วงเดือนพ.ค.เริ่มเห็นมาตรการของภาครัฐในการพยุงราคาพลังงาน ต่างๆ ที่น้อยลง ทำให้เงินเฟ้อมีโอกาสเห็นการเร่งขึ้นในเดือน พ.ค. ส่งผลต่อความกังวลเรื่องของการขึ้นดอกเบี้ยของไทยมีโอกาสเกิดขึ้นในช่วงท้ายปี
ซึ่งหากมีการขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้ง คาดกดดัน SET Index ประมาณ 88 จุด และเป็นสิ่งที่จะต้องเจอในช่วงที่เหลือของปีนี้ ดังนั้นการที่ตลาดหุ้นปรับขึ้นมาในระดับสูง จึงเป็นอะไรที่ต้องระมัดระวัง โดย Fund Flow ที่หวังจะเป็นแรงหนุน อาจจะหนุนได้น้อยลงในช่วงถัดไป ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น
อย่างไรก็ตามเทรนด์ของไทยเริ่มเห็น downside ของ GDP น้อยลง ทั้งในส่วนของตัวเลขส่งออกที่ยังเติบโตได้ดีต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวก็เข้ามาต่อเนื่อง โดยเดือน พ.ค.เข้ามาราว 7 แสนราย หากมีการเปิดประเทศชัดเจนขึ้นในช่วงต่อจากนี้ และจีนก็เริ่มทยอยเปิดประเทศอีกด้วย ดังนั้นนักท่องเที่ยวจึงมีโอกาสเข้ามามากขึ้น ช่วยหนุนทำให้ downside การปรับลดง GDP ถูกปิดไป
และอีกส่วนที่จะช่วยหนุนคือสหรัฐ และจีน หากมีการยกเลิกกำแพงภาษีกับจีนได้ อาจจะสนับสนุนให้หุ้นไทยรีบาวด์ได้อีกด้วย เนื่องจาก ช่วงที่สหรัฐขึ้นกำแพงภาษีจีนในช่วงที่ผ่านมา ราว 4 รอบ โดยทุกๆ รอบที่มีการปรับขึ้นกำแพงภาษี หุ้นไทยจะลดลงราว 10% ต่อรอบ หากประเด็นนี้คลายตัวลงหุ้นไทยอาจจะรีบาวด์ได้
“ภาพรวมในช่วงที่เหลือจะมีปัจจัยหลักๆ ที่มีทั้งกดดัน และสนับหนุนได้ แต่ต้องรอติดตามดู”
ส่วนกลุ่มกลยุทธ์การลงทุน ในเลือกหุ้นที่มีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อรับความผันผวนที่จะเกิดขึ้น และคาดหวังปัจจัยบวกที่จะเข้ามาในอนาคต โดยหุ้นแนะนำในช่วงที่เหลือของปีนี้ ให้เน้นที่หุ้นเปิดเมือง และ Laggard Play เช่น MINT, MAJOR, BEM ที่ไตรมาส 2/65 จะออกมาดีอีกด้วย ตามด้วยหุ้นรับเหมาก่อสร้างอย่าง CK, STEC และหุ้นกลุ่มธนาคาร อย่าง SCB และ BBL
นายภราดร กล่าวอีกว่า เป้าหมาย SET Index ยังเมือนเดิมที่ 1,810 จุด เพราะไม่มีเหตุผลที่จะต้องปรับลดลง แต่ถ้าหากมีการขึ้นดอกเบี้ยคาดจะอยู่ที่ 1,722 จุด
ติดตามอัพเดตความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
.
Facebook : Wealthy Thai
โฆษณา