1 มิ.ย. 2022 เวลา 13:31 • ไลฟ์สไตล์
บรรดาผีที่แม่เจอ
ย้อนไปเมื่อตอนที่คุณแม่เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่สาม ต้องไปอยู่ที่อำเภอร่อนพิบูลย์ พักอยู่กับบ้านญาติซึ่งมีผู้ใหญ่ 2 คน มีเด็ก 1 คน คุณแม่ต้องนอนต่างหากอยู่นอกบ้านตรงที่เป็นชานเรือน ไม่ได้นอนกับพี่สาวของคุณแม่ที่มีห้องนอนอยู่ด้านในบ้าน
ถึงช่วงที่โรงเรียนจะพาไปเดินทางไกล นักเรียนทุกคนต้องเอาหม้อหุงต้มติดตัวไปด้วย การออกเดินทางต้องออกแต่เช้าตรู่ แม่ต้องสั่งให้คนเอาหม้อจากบ้านคุณยายที่อยู่ในตัวจังหวัดมาให้ ซึ่งตอนเช้าก็ต้องไปแล้ว
อารามที่กลัวเขาจะมาไม่ทัน คุณแม่ที่นอนบนเตียงอ่านหนังสือไปก็บ่นพึมพำคนเดียวว่า “เจ้าประคุณ ขอให้เขาเอาหม้อมาให้ทันเถอะ” แล้วอ่านต่อครู่หนึ่งก็บ่นอีกว่า “เจ้าประคุณ ขอให้เขาเอาหม้อมาให้ทันเถอะ” แล้วอ่านต่ออีก หนที่สามก็พูดอีกว่า “เจ้าประคุณ ขอให้เขาเอาหม้อมาให้ทันเถอะ”
เที่ยวนี้พอพูดจบ ได้ยินเสียงคนตอบว่า “เออ” เล่นเอาคุณแม่สะดุ้ง เพราะนอนอยู่คนเดียวในตอนนั้น ไม่มีใครเลย ทำให้ต้องรีบปิดไฟนอนทันที ไม่พูดอะไรอีก
หลังจากนั้นเมื่อคุณแม่ต้องเปลี่ยนระดับการศึกษาที่สูงขึ้น ด้วยความที่การเรียนในระดับที่สูงกว่าระดับมัธยมในสมัยของคุณแม่ จำเป็นต้องใช้ทุนทรัพย์อยู่บ้าง โดยเฉพาะต้องย้ายไปเรียนที่จังหวัดอื่นที่ไม่ใช่ถิ่นเกิด ทำให้คุณแม่ต้องสอบชิงทุนของจังหวัด ที่มีที่นั่ง เพียง หญิง 1 ชาย 1 เพื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนฝึกหัดครูสวนสุนันทาที่ กรุงเทพฯ
เมื่อมาอยู่ที่ กทม. ใหม่ๆ คุณแม่ต้องอยู่หอพักแถวบางลำพู เป็นตึกเก่าที่สร้างช่วงรัชกาลที่ 2 มีอาจารย์ผู้ปกครองคุมอยู่ สมัยนั้นใครเข้ามาหานักเรียนต้องแสดงต่อยามหน้าประตูว่า มาหาใคร เพราะเป็นหอพักหญิงล้วน ผู้ชายก็จะมีแต่ภารโรงคนเดียวเฝ้าประตูอยู่ ด้านบนของตึกเป็นที่นอน ด้านล่างเป็นที่เก็บตู้เสื้อผ้าที่เป็นตู้เล็กๆ เครื่องนอนช่วงนั้นมีแต่ที่นอนเล็กๆ และต้องกางมุ้งนอนกันเต็มด้านบนตึก แม้แต่ตามระเบียง
คืนหนึ่ง เพื่อนคุณแม่ที่นอนที่ระเบียง เห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งที่ระเบียงแล้วยื่นมือยาวเข้าไปในมุ้งเพื่อนข้างๆ โหนตัวผลุบหายเข้าไปในมุ้ง แต่คนนอนไม่รู้สึกอะไร จนเช้าตรู่ คนที่เห็นก็เล่าให้เพื่อนฟัง ก็เล่ากันอื้ออึง เรื่องถึงหูอาจารย์ผู้ปกครอง ท่านเลยนิมนต์พระมหาจากวัดบวรฯ มาพรมน้ำมนต์ให้ทั่วตึก จากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลย พระที่มาพรมน้ำมนต์ในวันนั้นคือพระสังฆราชองค์ที่แล้วที่มรณภาพไปไม่นาน
มาถึงช่วงที่คุณแม่อยู่ปัตตานี บ้านพักข้าราชการของคุณลุงเขยอยู่ใกล้โรงพยาบาล มีแค่ถนนทางเดินเล็กๆ คั่น คุณแม่จะไปดูหนังทุกคืน ไปกับน้องสาว บ้านนอกตอนนั้นมีแต่หนังให้ดู มีแค่โรงเดียว หนังเลิก คุณแม่ก็เดินกลับกับน้อง
เดินจากโรงหนังกลับบ้าน แต่จะเข้าบ้านเดินมาถึงหัวถนนที่จะผ่านหน้าบ้าน ยืนลังเลก่อนจะเข้าบ้าน บางครั้งต้องเดินกลับไปหาลูกศิษย์ให้มาส่ง เพราะบ้านตรงกับห้องดับจิตและค่อนข้างเฮี้ยน ถ้ามีใครเสียชีวิตที่โรงพยาบาล (อยู่นอกตึกตรวจ) จะต้องนำร่างเข้าห้องดับจิต ประตูห้องดับจิตจะเปิดออกเอง บางครั้งแรงมากจนถึงสายยูหัก แต่ตัวคุณแม่ไม่เคยเห็นอะไรเลย
ถึงคราวที่เป็นวันดีคืนร้ายของคุณแม่ ช่วงนั้นเรายังคงทำงานอยู่ ได้รับโทรศัพท์จากทางบ้านว่าคุณแม่ตกเตียงแล้วลุกไม่ขึ้น คือเกิดอุบัติเหตุจากการนั่งลงบนเตียงแบบไม่ระวัง ทรุดลงนั่งนอกเตียงต้นขากระแทกพื้นถึงหัก
ทำให้ต้องเข้ารับการผ่าตัด ที่โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลใกล้บ้าน หมอได้ทำการผ่าตัดดามเหล็กตรงบริเวณที่กระดูกหัก เสร็จแล้วก็เข็นคุณแม่เพื่อไปเข้าห้องพัก
แล้วก็เจอคุณป้าซึ่งเป็นพี่สาวคนโต ยืนรอรับอยู่ บรรดาพยาบาลและคนเข็นเปลก็เห็นกันทุกคน แต่มีคุณแม่คนเดียวที่ทราบว่าพี่สาวคนนี้เสียไปหลายปีแล้ว คุณแม่เคยไปอยู่ที่บ้านคุณป้า ตอนที่ไปสอนที่ปัตตานีเป็นเวลาถึง 8 ปี แม่แค่บอกเราว่าคุณป้าเขาคงรู้ว่าแม่ไม่สบายถึงได้มาเยี่ยม แค่มาเยี่ยมเท่านั้น
ทั้ง 4 ครั้งของเรื่องเหลือเชื่อที่คุณแม่เล่าให้ฟัง เป็นเหตุการณ์ที่คุณแม่พบเจอด้วยตัวของท่านเอง ซึ่งบรรดาลูกๆ หลานๆ ที่ได้รับฟัง ก็พากันร้องกรี๊ดกร๊าดด้วยความกลัวกันทุกครั้งที่ท่านเล่า แม้แต่ในปัจจุบันเราเอง ก็นึกหวั่นหวาดเหมือนกัน เพราะเพียรถามเพื่อขอคำยืนยันว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่า แต่ไม่ว่าครั้งไหน คำตอบที่ได้ ก็คือ “ผีมีจริงหรือไม่ ไม่มีใครตอบได้”
โฆษณา