2 มิ.ย. 2022 เวลา 08:26 • ยานยนต์
ผมมองว่า รถที่มี 6 เกียร์ ส่วนใหญ่คือรถ “เกียร์กระปุก” (Manual transmission) ส่วนรถเกียร์อัตโนมัติ (Automatic transmission) นั้น ปัจจุบันมีได้ถึง 10 เกียร์ และถ้าเป็นกลุ่มรถบรรทุกและรถกระบะขนาดใหญ่สามารถมีได้ถึง 12 เกียร์ และในกรณีนี้ ในรถบางรุ่น “เกียร์ถอยหลัง” (R) จะมีให้เลือกใช้ได้มากกว่าหนึ่งเกียร์
1) จำนวนเกียร์ที่มีคือจำนวน “ทางเลือก” ที่ผู้ขับสามารถเลือกใช้ได้ตามปัจจัยที่เหมาะสม เช่น
# ขนาดของเครื่องยนตร์ คือ ถ้าเครื่องมีขนาดใหญ่ ก็สามารถผลิต “กำลัง” ได้ตั้งแต่ ระดับ ต่ำ-กลาง-สูง-สูงมาก ซึ่งถ้าขุด gearbox มีจำนวนเกียร์มากๆ ผู้ขับสามารถ “เลือก” ใช้เกียร์ให้สอดคล้องกับ “ย่าน” (range) กำลังของเครื่องยนตร์ที่สามารถผลิตได้
# นำ้หนักบรรทุก ปัจจัยนี้จะเห็นได้ชัดเจนในกรณีของ รถบรรทุก ที่ต้องบรรทุกสินค้าที่แต่ละรอบของการขนส่งจะมีนำ้หนักบรรทุกที่ต่างกันออกไป
และแน่นอนว่า ในกรณีที่ต้องการ “เร่งแซง” หรือ “ชะลอรถ” โดยใช้การเปลี่ยนเกียร์ช่วยที่เรียก “engine brake” ไม่ว่าจะเป็นช่วงเข้าโค้งหรือ ขึ้นลงทางลาดชัน
การมีเกียร์ให้เลือกเป็นทางเลือกมากๆนั้นย่อมนำมาซึ่งความนุ่มนวลและปลอดภัยสำหรับผู้ขับและตัวรถ รวมไปถึงสินค้ามูลค่ามหาศาลนั้นด้วย!
นั่นคือ การมีเกียรจำนวนมากจะเพิ่มขีดความสามารถในการควบคุมรถให้กับผู้ขับได้อย่างดี
2) ผมลองค้นข้อมูลดู และพบข้อดีของการที่รถมีเกียร์มากๆ ประมาณนี้
ครับ
• ช่วยประหยัดนำ้มัน
(อาจหมายถึงช่วยลดมลพิษได้บ้าง)
• เร่งเครื่องได้ดีขึ้น
• เปลี่ยนเกียร์ได้นุ่มนวลขึ้น
• เพิ่มอัตราเร็วสูงสุดของรถ
• ช่วยลดการสึกหรอของเกียร์
(เพราะกระจายการใช้เกียร์ออกไปตามจำนวนเกียร์ที่มี!)
3) “driving modes”
ความแตกต่างที่ชัดเจนอย่างที่สุดสำหรับรถยุคปัจจุบันกับรถในสมัยก่อนคือ “โหมดการขับ” ที่ผู้ขับสามารถเลือกได้เพียงปลายนิ้วขยับ ขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่น เช่น
โหมดปกติ, โหมดลากจูง, โหมดพื้นเปียกและหิมะ, โหวดประหยัดน้ำมัน, หรือแม้แต่ sport mode !
ซึ่งคุณสามารถพบรถที่มีเกียร์อัตโนมัติถึง 10 เกียร์ได้ไม่ยากจากรถในกลุ่ม SUV เช่น Toyota Land Cruiser เป็นต้น
โฆษณา