6 มิ.ย. 2022 เวลา 10:07 • ประวัติศาสตร์
“แมนสัน (Manson Family)” อาชญากรรมเขย่าฮอลลีวูด
หากก้มมองผม คุณจะเห็นคนโง่
หากเงยหน้ามองผม คุณจะเห็นพระเจ้า
หากมองตรงมาที่ผม คุณจะเห็นตัวคุณเอง
Charles Manson
3
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง โลกเสรีและทุนนิยมได้ครอบคลุมทั่วสังคมอเมริกัน…
2
ความร่ำรวย หรูหรา มีหน้ามีตาในสังคมหลอมรวมเป็น American Dream ที่เป็นค่านิยมหลักของสหรัฐอเมริกา…
1
แต่แล้วเมื่อเข้าสู่ช่วงทศวรรษ 1960 สภาวะของโลกกลับตึงเครียดสูงสุดจากสงครามเย็น…
รัฐบาลสหรัฐหันไปจริงจังกับการทำสงครามอุดมการณ์และเปิดสมรภูมิในเวียดนาม ซึ่งกลายเป็นจุดคลอนแคลนของ American Dream
โดยความคลอนแคลนนั้นก็เกิดอุดมการณ์ที่เรียกว่า “ซ้ายใหม่ (New Left)” ขึ้นมาต่อต้านสงครามเวียดนามและทุนนิยมอเมริกัน
5
อีกทั้งยังเกิดกลุ่มคนที่เรียกว่าบุปผาชนหรือฮิปปี้ที่หันหน้าออกจาก American Dream และตามหาอัตลักษณ์ใหม่ของตนเอง
การปฏิเสธทุนนิยมและความหรูหรา…
1
ดนตรีร็อคและบลูส์…
เห็ดเมา กัญชา และ LSD…
2
สิ่งเหล่านี้เป็นค่านิยมสำคัญของเหล่าฮิปปี้ที่กระจายตัวอยู่ทั่วสหรัฐอเมริกา…
1
ซึ่งบางกลุ่มสามารถขับเคลื่อนสังคมให้มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้จริง…
ในขณะที่บางกลุ่มกลับทำลายสังคมอย่างย่อยยับหรือแม้กระทั่งก่ออาชญากรรมอันน่าสะพรึงกลัว…
1
และในครั้งนี้ผมจะพาทุกท่านไปรู้จักกับคนกลุ่มหนึ่ง…
2
คนกลุ่มนี้ได้ปฏิเสธ American Dream หันหน้าเข้าสู่ซ้ายใหม่และบุปผาชนเพื่อตามหาตัวตนของตนเอง…
คนกลุ่มนี้มีชายผู้เป็นศูนย์รวมจิตใจและผู้นำในการสร้างตัวตนของพวกเขา…
4
ชายผู้มีวาทศิลป์ผสมพรสวรรค์ด้านดนตรี สามารถใช้เสียงเพลงและ LSD สร้างโลกอุดมคติให้กับสาวกผู้ติดตาม…
3
โดยโลกอุดมคติของพวกเขาคือการประกาศสงครามระหว่างคนผิวขาวกับคนผิวดำ…
ซึ่งสงครามของพวกเขา มันได้นำไปสู่อาชญากรรมสะเทือนขวัญที่สุดของสหรัฐเมริกาในยุค 1960…
และนี่ คือเรื่องราวของชายที่ชื่อว่า “ชาร์ล แมนสัน (Charles Manson)” ผู้นำของกลุ่ม Manson Family เจ้าของอาชญากรรมเขย่าฮอลลีวูด
โปรดนั่งลงเถิดครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง…
1
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 1934 ที่เมืองซินซินนาติ โอไฮโอของสหรัฐอเมริกา หญิงสาวอายุ 16 ชื่อว่า “แคทลีน แมดด็อก (Kathleen Maddox)” ให้กำเนิดทารกเพศชายคนหนึ่ง
โดยแคทลีนเป็นเด็กใจแตกที่หนีออกจากบ้านตอนอายุ 15 แล้วเกิดไปพลาดพลั้งมีลูก ซึ่งพ่อของเด็กเป็นใครมาจากไหนนั้นไม่มีใครรู้ แต่ที่เรารู้คือแคทลีนไม่ได้รักเด็กที่เกิดมาเลยซักนิดเดียว ไม่ใส่ใจถึงขนาดชื่อของเด็กก็ไม่ได้ตั้งให้ โดยเวลาจะเรียกก็เรียกแค่ว่า “No Name”
1
แต่หลังจากมีเด็กน้อย No Name ได้ไม่ถึงปี แคทลีนก็แต่งงานกับวิลเลียม แมนสัน (William Manson) อีกทั้งตัวของพี่ชายแคทลีนก็คิดว่าเด็กควรจะมีชื่อได้แล้ว เลยมาตั้งชื่อให้ว่า “ชาร์ล แมนสัน (Charles Manson)” โดยใช้นามสกุลของพ่อเลี้ยง
1
ถึงแม้จะเปลี่ยนจากเด็กชาย No Name เป็นเด็กชายชาร์ล แต่แคทลีนก็ยังเลี้ยงแบบตามมีตามเกิด อีกทั้งแคทลีนยังเป็นแอลกอฮอลิซึม ติดเหล้าขนาดหนัก มีการลักเล็กขโมยน้อยเพื่อเอาเงินมาซื้อเหล้ากิน ซึ่งทำให้แคทลีนต้องเข้าๆ ออกๆ คุกตะรางหลายครั้งในแต่ละเดือน
3
และมีอยู่ครั้งหนึ่งตอนชาร์ลอายุ 6 ขวบ แคทลีนเอาชาร์ลไปนั่งในบาร์พร้อมกระดกเบียร์ไปด้วย ทำให้มีบริกรหญิงคนหนึ่งสงสารชาร์ลเลยเสนอกับแคทลีนเล่นๆ ว่า
“เดี๋ยวชั้นเลี้ยงเบียร์คุณ 1 เหยือก แลกกับการที่คุณยกลูกของคุณให้ชั้น”
ซึ่งแคทลีนก็ตกลงอย่างไม่ลังเล ดื่มเบียร์เหยือกนั้นจนหมดแล้วเดินออกจากบาร์ทิ้งชาร์ลเอาไว้โดยไม่หันกลับมามองเลยซักนิดเดียว…
9
และเมื่อแคทลีนกลับถึงบ้าน พี่ชายก็ถามว่า “ชาร์ลหายไปไหน ทำไมไม่กลับมาด้วย?” แคทลีนก็ตอบว่า “เอาไปแลกกับเบียร์แล้ว” ทำให้พี่ชายซึ่งเป็นลุงของชาร์ลตกใจมาก ไปตามชาร์ลถึงบาร์แล้วพากลับบ้านมาในที่สุด
จากความไม่ใส่ใจใยดีของแคทลีน ทำให้ชาร์ลต้องสลับไปอยู่กับญาติคนนั้นทีคนนี้ที ไม่ได้มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ซึ่งญาติๆ ที่ชาร์ลไปอยู่ด้วยก็ไม่ได้ทำให้ชาร์ลได้รับความอบอุ่นขึ้นมาเลย (เผลอๆ อาจหนักกว่าเดิม)
1
อย่างตอนไปอยู่กับยายก็ถูกบังคับให้เคร่งศาสนาแบบสุดๆ…
3
ไปอยู่กับลุงก็โดนเยาะเย้ยถากถางว่าอ่อนแอปวกเปียกไม่สมชายชาตรี…
1
การไม่ได้รับความรักจากครอบครัวทำให้ชาร์ลเริ่มออกนอกลู่นอกทางลักเล็กขโมยน้อย จนถูกจับได้แล้วส่งเข้าไปในโรงเรียนดัดสันดานตอนอายุ 9 ขวบ
1
พอเข้าไปอยู่ในโรงเรียนก็ใช่ว่าจะดีขึ้นครับ ชาร์ลหนีออกจากโรงเรียนหลายครั้ง และก่อวีรกรรมเรื่อยๆ หนักสุดเลยคือขโมยรถยนตร์ ซึ่งชีวิตของชาร์ลก็วนเวียนอยู่กับการโดนจับเข้าโรงเรียนและหนีออกมาอยู่แบบนี้จนอายุได้ 19
ซึ่งในระหว่างนี้ ชาร์ลก็ได้เจอกับ "โรซารี วิลลิส (Rosalie Willis)" เด็กเสิร์ฟในบาร์ และก็เกิดปิ๊งกันจนแต่งงานในที่สุด
แต่พอแต่งงานใช่ว่าชาร์ลจะดีขึ้น เพราะคู่สร้างคู่สมนี้ก็ได้ร่วมกันก่อวีรกรรมขโมยรถแล้วพากันขับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่แคลิฟอเนียร์แบบหน้าตาเฉย...
ภาพจาก All That’s Interesting (แคทลีน แมดด็อก)
ภาพจาก Ciminal Profiling (ชาร์ล แมนสันตอนเด็ก)
ภาพจาก All That’s Interesting (ชาร์ล แมนสันกับโรซารี วิลลิส)
เมื่อทั้งสองคนมาตั้งรกรากที่แคลิฟอเนียร์ โรซารีก็ตั้งครรภ์ แต่ชาร์ลที่กำลังจะเป็นพ่อคนก็ยังไม่กลับใจหางานดีๆ ทำ ยังคงก่ออาชญากรรมทั้งขโมยและปล้น ซึ่งในวันหนึ่งก็ถูกจับและโดนตัดสินให้เข้าไปอยู่ในเรือนจำ 3 ปี!
1
คราวนี้ ชาร์ลที่อยู่ในเรือนจำได้ 1 ปี ก็ถูกโรซารีขอหย่าและหอบลูกหนีไป ซึ่งทำให้จิตใจของชาร์ลเป๋ไปพอสมควรเลยล่ะครับ
1
แต่พอออกจากเรือนจำในปี 1958 ชาร์ลก็แต่งงานใหม่กับหญิงโสเภณีชื่อ "เลโอนา สตีเวน (Leona Steven)" และมีลูกด้วยกัน 1 คน
ทุกท่านคิดว่าคราวนี้ชาร์ลจะกลับตัวหรือยังครับ?
คำตอบน่าจะอยู่ในใจอยู่แล้วว่า "ไม่!"
ชาร์ลยังคงหาเงินโดยการต้มตุ๋น ขโมย รวมถึงทำธุรกิจมืดเป็นนายหน้าลักลอบขนผู้หญิงข้ามพรมแดนไปขายตัว ซึ่งท้ายที่สุดชาร์ลก็ไม่รอดพ้นจากสายตาตำรวจ ถูกจับและยัดเข้าเรือนจำอีกครั้ง ทั้งที่เพิ่งออกมาได้ไม่ถึงปี!
และก็วนลูปเดิมครับ เมื่อเลโอนาขอหย่าและหอบลูกหนีไปอีก ซึ่งครั้งนี้ทำให้จิตใจของชาร์ลเริ่มเย็นชากับความรักของหนุ่มสาว เปลี่ยนแปลงบุคลิกของตัวเองไปอีกรูปแบบเลยทีเดียว
1
โดยระหว่างที่อยู่ในเรือนจำครั้งนี้ ชาร์ลได้รู้จักกับลัทธิที่ชื่อว่า "ไซแอนโทโลจี (Scientology)" จากเพื่อนนักโทษ
1
โดยไซแอนโทโลจีที่ว่านี้ตั้งขึ้นในปี 1952 ซึ่งมีความเชื่อว่าภายในตัวของมนุษย์ทุกคนมีมนุษย์ต่างดาวสิงอยู่ ต้องศึกษาแนวทางของลัทธิจึงจะสามารถปลดแอกตัวเองและใช้ความสามารถที่แท้จริงของมนุษย์ได้
ซึ่งลัทธินี้เริ่มฮิตในช่วงทศวรรษ 1960 (และในปัจจุบันก็ยังฮิตอยู่ โดยมีสมาชิกกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก และมีดาราเซเลปของฮอลลีวูดนับถือกันอยู่ไม่น้อยเลยล่ะครับ)
การรู้จักกับไซแอนโทโลจีทำให้ชาร์ลเริ่มสนใจในเรื่องของลัทธิ (Cult) ที่ไม่อิงกับศาสนาหลัก และนี่คงเป็นจุดเริ่มต้นที่ชาร์ลอยากจะสร้างลัทธิของตัวเองขึ้นมา...
อีกอย่างหนึ่งที่ชาร์ลเริ่มสนใจตอนอยู่ในเรือนจำคือดนตรี โดยสนใจถึงขนาดเริ่มฝึกกีต้าร์และหัดร้องเพลงแทบทุกวัน รวมถึงแต่งเพลงเอาไว้หลายสิบเพลง ซึ่งทำให้ชาร์ลรู้ว่า "ตัวเองชอบดนตรีและมีพรสวรรค์ทางนี้" ชาร์ลเลยเริ่มตั้งเป้าว่า "ออกจากเรือนจำครั้งนี้แหละจะไปเป็นศิลปินให้ได้!"
เหมือนจะดีใช่มั้ยล่ะครับ แต่เรื่องราวหลังจากนี้กลับเลวร้ายลงกว่าเดิมหลายเท่า...
3
ภาพจาก Rolling Stone (โบสถ์ใหญ่ของไซแอนโทโลจีที่อยู่ในเมืองฮอลลีวูดปัจจุบัน)
ภาพจาก Purple Clover (ชาร์ล แมนสัน ช่วงหลงไหลในดนตรี)
อย่างที่ผมได้เกริ่นไปตอนต้น ว่าในช่วงทศวรรษ 1960 สหรัฐอเมริกาได้เข้าสู่จุดพีคของสงครามเย็น โดยเฉพาะในเวียดนามที่สหรัฐฯ ลงไปเป็นผู้เล่นต่อต้านคอมมิวนิสต์ด้วยตัวเอง มีการเกณฑ์คนหนุ่มจำนวนมากไปเป็นทหารในสมรภูมินี้
แต่ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ที่เหล่าคนหนุ่มสาวได้เห็นภาพของสงครามเวียดนามและความสูญเสียของคนอเมริกัน พวกเขาก็เริ่มตั้งคำถามครับว่า “สหรัฐฯ ได้อะไรจากการรบในสงครามเวียดนาม?”
2
ซึ่งก็เกิดเป็นการประท้วงต่อต้านสงครามเวียดนามทั่วประเทศ และเมื่อยิ่งประท้วงก็ยิ่งอินมากขึ้น ประเด็นการประท้วงจากแค่เรื่องสังคมอเมริกัน ขยายไปเป็นประเด็นของสังคมโลก
คนหนุ่มสาวเหล่านี้ต่อต้านทุนนิยมและสังคมแบบอเมริกัน แต่ก็ไม่อยากหันหน้าเข้าสู่โลกของคอมมิวนิสต์แบบโซเวียต พวกเขาจึงสร้างแนวความคิดแบบใหม่ที่อยู่ตรงกลางขึ้นมาโดยเรียกว่า “ซ้ายใหม่ (New left)” นั่นเอง
1
ซึ่งซ้ายใหม่มองว่าทุนนิยมเป็นการทำลายความเป็นมนุษย์ ด้วยการบีบคั้นให้มนุษย์ต้องต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุ ทำให้มนุษย์กลายเป็นเครื่องจักรและทาสของวัตถุ
และยังลามไปถึงการต่อต้านวัฒนธรรมแบบเดิมๆ ทั้งเรื่องค่านิยมของบรรพบุรุษอเมริกันที่ถือว่าการทำงานหนัก ความก้าวหน้า และความร่ำรวยเป็นหัวใจของการใช้ชีวิต
2
แต่เหล่าหนุ่มสาวที่ต่อต้านในประเด็นทางวัฒนธรรมก็มีพวกที่สุดโต่งอยู่ ซึ่งเรียกว่า ฮิปปี้...
2
อธิบายง่ายๆ คือฮิปปี้รับแนวคิดแบบซ้ายใหม่ แต่จะเป็นซ้ายใหม่แบบรุนแรงจนถึงขั้นอินดี้ ต่อต้านวัฒนธรรมจนเรียกได้ว่าเบื่อหน่ายสังคม แต่งตัวเซอร์ๆ ไว้ผมยาว ห้อยลูกประคำ และสำคัญที่สุดคือต้องสูบกัญชา รวมถึงสารเสพติดอื่นๆ เช่น LSD
2
โดยชาร์ลได้ออกจากเรือนจำในปี 1967 ภายใต้สภาวะสังคมที่ดุเดือดแบบนี้นี่แหละครับ...
ภาพจาก Massolit (การประท้วงตามอุดมการณ์ซ้ายใหม่)
ภาพจาก Cutural Colectiva (แฟชั่นของฮิปปี้)
ภาพจาก Britanica (อีกเอกลักษณ์ที่สำคัญของฮิปปี้คือการเดินทางไปเรื่อยๆ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง)
หลังออกจากเรือนจำ ชาร์ลก็เดินทางไปซานฟรานซิสโก พร้อมเปลี่ยนลุคตัวเองให้ดูเหมือนนักบุญหรือศาสดามากขึ้น สะพายกีต้าร์พร้อมพก LSD ไปด้วย ซึ่งก็ไม่รู้อย่างชัดเจนเหมือนกันนะครับว่าในตอนนี้ชาร์ลต้องการเป็นศิลปินหรือต้องการสร้างลัทธิมากกว่ากัน
แต่การไปซานฟรานในครั้งนี้ ก็ทำให้ชาร์ลได้เจอ "แมรี บรันเนอร์ (Mary Brunner)" บรรณารักษ์ห้องสมุด ซึ่งชาร์ลก็ใช้วาทศิลป์ (และ LSD) หว่านล้อมจนแมรี่ลาออกจากงานมาติดตามชาร์ลกลายเป็นสาวกคนแรกในที่สุด
1
ทั้งสองคนได้ตามหาสาวกคนอื่นๆ ทั่วซานฟราน ซึ่งก็หาได้ไม่ยากเย็นเพราะมีเหล่าคนหนุ่มสาวที่เป็นฮิปปี้อยู่อย่างชุกชุมและต้องการหาความแปลกใหม่ให้กับชีวิตตัวเองอยู่แล้ว พอเจอชาร์ล แมนสันผู้ซึ่งมีคำพูดบาดลึกในใจ อีกทั้งยังมีเสียงเพลงและ LSD ให้เสพสมกันจนเต็มอิ่ม เลยทำให้เหล่าฮิปปี้สนใจได้ไม่ยาก
ซึ่งเพลงของชาร์ลนั้นชักจูงฮิปปี้ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ คนเหล่านี้แห่กันมาติดตามชาร์ลกันอย่างง่ายดาย และยังมองอีกว่า "ชายคนนี้เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา"
2
และพอมีผู้ติดตามระดับ 10-20 คนแล้ว ชาร์ลก็ได้ตั้งชื่อให้กลุ่มของตัวเองว่า "Manson Family" ซึ่งเปรียบเสมือนครอบครัวที่ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน
1
ซึ่งภายใน Manson Family นั้น เหล่าสาวกสามารถเสพกัญชา LSD และสารเสพติดอื่นๆ พร้อมกับมีเซ็กส์กันได้อย่างอิสระ...
คราวนี้ในปี 1968 Manson Family ก็ได้เดินทางไปแถบลอสแอนเจลิส ซึ่งจุดประสงค์คือชาร์ลคงต้องการเอาเพลงของตัวเองไปเสนอเพื่อออกอัลบั้มเป็นศิลปินนั่นเอง
ชาร์ลพร้อมสาวกก็ออกไปเล่นดนตรีร้องเพลงของตัวเองตามถนนในลอสแอนเจลิสเผื่อว่าจะมีแมวมองมาสนใจ
และเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญที่สาวกหญิง 2 คนของ Manson Family ไปมีความสัมพันธ์สวาทกับชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า "เดนนิส วิลสัน (Dennis Wilson)" มือกลองวง Beach Boy ที่กำลังมาแรงในช่วงนั้น
สาวกหญิงเลยชวนชาร์ลให้มาปาร์ตี้ที่บ้านเดนนิส แล้วทั้งสองคนก็ได้รู้จักกัน ซึ่งเมื่อชาร์ลโชว์สกิลด้านดนตรี ก็ทำให้เดนนิสทึ่งมากและเห็นว่าชาร์ลมีพรสวรรค์จริงๆ
คราวนี้แหละครับ เดนนิสเลยแนะนำให้ชาร์ลรู้จักกับคนดังในวงการดนตรี จนมีโอกาสเข้าไปช่วยวงระดับตำนานอย่าง The Beatles ทำเพลงออกมาเพลงหนึ่งชื่อ Helter Skelter
1
เหมือนประตูแห่งการเป็นศิลปินจะเปิดอ้าให้ชาร์ลเดินเข้าไปแล้ว แต่ทว่า ด้วยจิตใจ นิสัยส่วนตัว และ พฤติกรรมแปลกๆ ของ Manson Family มันได้ทำให้ประตูนั้นปิดลงต่อหน้าต่อตาชาร์ลในที่สุด...
ภาพจาก Tumblr (Manson Family)
ภาพจาก Alcatraz East (Manson Family)
ภาพจาก Biography (เดนนิส วิลสัน และ ชาร์ล แมนสัน)
หลังจากเดนนิสรู้จักกับชาร์ล ชีวิตก็ไม่รู้จักคำว่า "ความเป็นส่วนตัว" อีกเลย
1
เพราะชาร์ลมักเข้ามาอยู่กินในบ้านเดนนิสเหมือนกับเป็นบ้านตัวเอง และตอบแทนโดยให้สาวกสาวๆ ไปนอนกับเดนนิส อีกทั้งเดนนิสยังต้องจ่ายค่าอาหาร เหล้า รวมไปถึงสารเสพติดต่างๆ ให้กับ Manson Family ไปไม่น้อยเลยล่ะครับ
1
และจุดต่ำสุดของเดนนิสคือดันไปติดโรคซิฟิลิสจากสาวกของชาร์ลเข้า ทำให้เริ่มคิดได้ว่า "ควรไล่พวกนี้ออกไปจากบ้านได้แล้ว!"
4
ชาร์ลและเหล่าสาวกก็ต้องออกจากบ้านของเดนนิสแบบไม่ค่อยพอใจซักเท่าไหร่ มีการทำลายข้าวของต่างๆ ก่อนไปอีกด้วย
หลังออกจากบ้านเดนนิส Manson Family ก็ไปกบดานที่ฟาร์มปศุสัตว์นอกเมืองแทน โดยแลกกับการให้สาวกสาวๆ ไปนอนกับเจ้าของฟาร์มอีกตามเคย
ระหว่างที่อยู่ในฟาร์มปศุสัตว์ ชาร์ลก็ยังไม่ละความพยายามในการเป็นศิลปิน มีการเชิญโปรดิวเซอร์ที่ชื่อ "เทอรี่ เมลเชอร์ (Terry Melcher)" มาฟังเพลงที่ชาร์ลแต่ง
3
ซึ่งเทอรี่ก็บอกว่า "เพลงของชาร์ลน่าสนใจมาก ผมจะกลับไปคิดอีกที"
แต่พอเทอรี่กลับไปก็ไม่ได้สนใจใยดีที่จะเอาเพลงของชาร์ลมาทำต่อ เพราะเห็นถึงความแปลกประหลาดของชายคนนี้กับเหล่าสาวก ซึ่งการเฉยของเทอรี่ทำให้ชาร์ลโกรธแบบสุดๆ
และทำให้ชาร์ลได้ทบทวนเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะเพลง Helter Skelter ที่ได้ทำร่วมกับ The Beatles นั้น กลายเป็นผลงานที่เขาภาคภูมิใจไม่น้อยเลยล่ะครับ เขามักร้องและเล่นเพลงนี้ให้สาวกฟังอยู่เสมอ
คราวนี้ ไม่รู้อะไรดลใจเมื่อชาร์ลได้ตีความเพลง Helter Skelter ไปอีกทางหนึ่งว่า "เนื้อเพลงนี้มีสาร์นลับจากพระเจ้าที่บอกว่าในอนาคตคนผิวดำจะลุกขึ้นมาทำสงครามกับคนผิวขาว และคนผิวขาวจะสูญสิ้น ทางรอดเดียวคือต้องติดตามชาร์ลเท่านั้น เพราะพระเจ้าส่งเขามาให้เป็นพระผู้ช่วยคนผิวขาวให้รอดพ้นจากหายนะครั้งนี้!"
1
ซึ่งชาร์ลก็ทั้งเล่น ร้อง และพูดกรอกหูเหล่าสาวกทุกวี่ทุกวันเกี่ยวกับเพลง Helter Skelter และสงครามคนผิวดำ-ผิวขาว จนเหล่าสาวกไม่ได้มองชาร์ลเป็นแค่ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อีกต่อไป แต่มองไปถึงขั้นเป็นศาสดาและพระเจ้าผู้มาปลดปล่อยพวกเขาเลยทีเดียว...
2
ชาร์ลสามารถสั่งและบงการให้สาวกทำอะไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ โดยเฉพาะการใช้ความรุนแรง ใครที่ทำให้ชาร์ลไม่พอใจ เหล่าสาวกก็จะพากันไปจัดการรุมกระทืบจนสาหัส
2
และความหมกมุ่นในเพลง Helter Skelter ทำให้ชาร์ลตัดสินใจเปิดสงครามระหว่างคนผิวขาวและคนผิวดำโดยการสั่งให้เหล่าสาวกไปฆ่าคน...
1
สาวกของ Manson Family
เหยื่อรายแรกของ Manson Family คือชายที่ชื่อว่า "แกรี ฮิวแมน (Gary Hinman)" ครูสอนดนตรี และเป็นลูกค้า LSD ของชาร์ล แมนสัน แต่เบี้ยวไม่จ่ายเงิน ทำให้ชาร์ลเล็งว่าแกรีนี่แหละเหมาะที่จะเป็นตัวเปิดเพื่อเริ่มสงคราม
ว่าแล้ว ชาร์ลก็สั่งให้สาวกบุกเข้าไปในบ้านของแกรี และไม่พูดพร่ำทำเพลงจับแกรีทรมานโดยใช้มีดกรีดเฉือนไปตามร่างกาย ตัดหูทั้งสองข้างออก แล้วจ้วงแทงไม่ยั้ง พร้อมเอาเลือดของแกรีมาเขียนบนฝาผนังเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มที่ชื่อว่า "แบล็กแพนเธอร์ (Black Panthers)"
โดยกลุ่มแบล็กแพนเธอร์ที่ว่าเป็นกลุ่มคนผิวดำหัวรุนแรงที่กำลังเรียกร้องสิทธิคนผิวดำในสหรัฐฯ ซึ่งการเขียนสัญลักษณ์ของกลุ่มนี้ เพราะชาร์ลต้องการป้ายความผิดไปให้แบล็กแพนเธอร์ เพื่อสุมไฟให้คนผิวขาวโกรธแค้นคนผิวดำ
1
หลังฆ่าโหดแกรี ฮิวแมนแล้ว ชาร์ลก็เล็งเป้าหมายต่อไปคือเทอรี่ เมลเชอร์ โปรดิวเซอร์ที่ไม่สนใจเพลงของชาร์ลนั่นเอง
1
คราวนี้ สาวกของ Manson Family ก็ได้ไปสืบจนพบว่าบ้านเลขที่ 10050 Cielo Drive เป็นบ้านของเทอรี่ ชาร์ลเลยสั่งการสาวก 4 คน คือ เท็ก วัตสัน ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่ม พร้อมสาวกหญิงอีก 3 คน คือ ซูซาน แอทกินส์, แพทริเซีย เครนวินเกล, และลินดา คาซาเบียน ไปจัดการเทอรี่แบบที่จัดการแกรี
แต่เหมือน Manson Family จะไม่รู้ว่าบ้านหลังนั้น เทอรี่เพิ่งขายให้กับผู้กำกับชื่อดังคือ "โรมัน โปลันสกี้ (Roman Polanski)" ไป
2
และโรมันมีภรรยาที่เป็นดาราสาวดาวรุ่งชื่อว่า "ชารอน เทต (Sharon Tate)" ซึ่งกำลังท้องได้ 8 เดือน
5
โดยในวันที่สาวก Manson Family เริ่มภารกิจก็ตรงกับวันที่โรมันบินไปทำงานที่ต่างประเทศ ทิ้งชารอนให้อยู่บ้านกับเพื่อนอีก 2 คน และคนขับรถอีก 1 คน
1
ซึ่งพอสาวกทั้ง 4 คนมาถึงบ้านเป้าหมายก็พบว่าไม่มีเทอรี่อยู่ในนั้น แต่แทนที่ทั้ง 4 คนจะล้มเลิกภารกิจแล้วกลับไปตั้งหลักก่อน พวกเขาดันเดินหน้าสร้างฉากหฤโหดต่อโดยไม่สนใจว่าเหยื่อจะเป็นใคร...
2
ภาพจาก Curbed LA (10050 Cielo Drive)
ภาพจาก The Independent (โรมัน โปลันสกี้ และ ชารอน เทต)
เริ่มแรกนั้นเท็กได้จัดการกระหน่ำยิงคนขับรถที่อยู่ด้านนอก แล้วพาอีก 3 คน บุกเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว รุมกระหน่ำแทงเพื่อนของชารอนอีก 2 คนจนตาย ชารอนที่ท้อง 8 เดือนก็กลัวสุดขีด อ้อนวอนสุดชีวิตว่าอย่าทำอะไรเด็กในท้อง
2
แต่สาวกผู้เชื่อฟังแต่ศาสดาของพวกเขา ก็ไม่สนใจใช้มีดรุมแทงชารอนถึง 16 แผล และกรีดท้องชารอนจนเป็นแผลเหวอะหวะ ตัดเต้านมทิ้ง รัดคอ และใช้ไม้กระหน่ำตีไปที่ศีรษะจนเสียชีวิต
1
ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าสาวกทั้ง 4 คนแค้นอะไรชารอนนักหนา ทั้งที่ไม่ใช่เป้าหมายของตัวเอง เพราะมีการเอาเลือดของชารอนไปเขียนบนฝาผนังอีกว่า "Political Piggy" ที่แปลได้ประมาณว่า "หมูสกปรก"
2
หลังก่อฉากฆาตกรรมสุดโหด ทั้ง 4 คนก็หนีออกจากบ้านแล้วกลับไปรายงานผลงานตัวเองกับชาร์ล ซึ่งพอได้รู้แล้วก็ถูกอกถูกใจกับวีรกรรมครั้งนี้พอสมควร...
แน่นอนครับว่าในวันต่อมา ที่มีการพบศพ ข่าวก็ถูกตีแผ่และสั่นสะเทือนฮอลลีวูดแบบสุดๆ เพราะชารอน เทตในสมัยนั้นถือว่าเป็นดาราดาวรุ่งที่กำลังโด่งดังมาก
2
ส่วนด้าน Manson Family ก็ไม่ได้สนใจข่าวดังที่ถูกตีแผ่และไม่กลัวซักนิดว่าจะโดนจับ ชาร์ลยังสั่งให้สาวกก่อวีรกรรมอีกครั้งโดยบุกเข้าไปในบ้านนักธุรกิจชื่อว่า "เลโน (Leno)" ที่อยู่กับภรรยาชื่อ "โรสแมรี่ ลาเบียนกา (Rosemary LaBianca)"
1
โดย Manson Family จับทั้งสองคนมัดแล้วเอาปลอกหมอนคลุมศีรษะ แล้วใช้ดาบปลายปืนจ้วงแทงทั้งสองคน คนละ 10-20 แผลจนตาย
พร้อมกับใช้เลือดเขียนบนฝาผนังว่า "Death to Pigs" หรือ "ไปตายซะ หมูสกปรก" และเขียนข้อความ "Helter Shelter" ที่เหมือนเป็นการส่งสัญญาณถึงสงครามที่กำลังจะเริ่มขึ้น...
2
แต่การฆาตกรรมที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะกรณีชารอน เทต เหมือนไม่ได้วางแผนกลบร่องรอยของตัวเองดีพอ ทำให้ตำรวจพบหลักฐานทั้งมีดและรอยนิ้วมือซึ่งสาวไปถึงตัวของฆาตกรทั้ง 4 คน และนำกำลังจับทั้ง 4 คนได้สำเร็จ
2
ในตอนแรกตำรวจยังสาวไม่ถึงตัวของชาร์ล แต่ทว่า หนึ่งในสาวกที่ถูกจับก็ดันขี้โม้โอ้อวดอย่างภูมิใจว่ากลุ่มของตัวเองที่ชื่อ Manson Family เป็นคนบงการฆ่าดาราสาวคนนั้น พร้อมบรรยายการวางแผนและฉากฆาตกรรมแบบละเอียดยิบ!
คราวนี้แหละครับ ตำรวจเลยยกกำลังไปจับกุม Manson Family ในทันที...
2
ภาพจาก Los Angeles Times (เท็ก วัตสัน)
ภาพจาก CBC (ซูซาน แอทกินส์, แพทริเซีย เครนวินเกล, และลินดา คาซาเบียน)
ภาพจาก Medium (สถานที่ฆาตกรรมชารอน เทต)
ภาพจาก Listverse (Political Piggy)
ภาพจาก All That’s Interesting (Death to Pigs)
ภาพจาก Meanwhile (Helter Skelter)
การเข้าจับกุม Manson Family ในรังเป็นไปอย่างง่ายดายมาก ชาร์ลและสาวกไม่มีอาการขัดขืนเลย โดยมี 15 คน ที่ถูกตั้งข้อหาว่ามีส่วนรู้เห็นกับการฆาตกรรมที่เกิดขึ้น
ซึ่งก็มีการพิจารณาคดี โดยที่ตัวของชาร์ลและสาวกก็ไม่ได้มีความรู้สึกกังวลซักเท่าไหร่ อีกทั้งยังยิ้มเยาะภูมิใจกับวีรกรรมของตัวเองและเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดคือความประสงค์ของพระเจ้าและตัวของชาร์ลคือตัวแทนของความประสงค์นั้น
และในระหว่างอยู่ในศาล ชาร์ลก็ได้สักเครื่องหมายกากบาทบนหน้าผาก (ต่อมาจะกลายเป็นสวัสดิกะ) ซึ่งมีการอธิบายว่า
1
“เครื่องหมายบนหัวของผม คือตัวแทนของการปฏิเสธ ต่อต้านศาสนา สัญญาณของปีศาจ ความตาย หายนะ และความหวาดกลัว”
คราวนี้เหมือนเป็นเทรนด์ครับ เหล่าสาวกทั้งที่อยู่ในคุกและนอกคุกต่างก็สักกากบาทบนหน้าผาก หรือแม้กระทั่งคนที่ไม่ได้เป็นสาวกอย่างเหล่าฮิปปี้ก็ยังเลียนแบบชาร์ล
การขึ้นศาลในแต่ละครั้งมีความยากลำบากมาก เพราะเหล่าสาวกและคนที่เริ่มคลั่งไคล้ชาร์ลต่างมาชุมนุมกันหน้าศาล ก่อจราจล และถึงขั้นอาละวาดสร้างความวุ่นวายไม่หยุดหย่อน
แต่ในท้ายที่สุด ศาลก็ตัดสินประหารชีวิตทั้ง 15 คน แต่ในตอนนั้นกฎหมายของแคลิฟอเนียร์คือห้ามให้มีการประหารชีวิต โทษเลยเป็นจำคุกตลอดชีวิตแทน
1
หลังชาร์ลเข้าไปอยู่ในเรือนจำ อุดมการณ์ของ Manson Family ก็ไม่ได้จบลงตามไปด้วย มีเหล่าสาวกที่ยังคงศรัทธาในตัวของชาร์ลและเชื่อในคำทำนายของ Helter Skelter อยู่ โดยยังก่อความวุ่นวายเพื่อจุดไฟเรื่องประเด็นสีผิวอยู่ประปราย
รวมถึงคนอีกจำนวนไม่น้อยที่เห็นชาร์ลและ Manson Family เป็นไอดอล พากันสร้างหลักความเชื่อแปลกๆ เกิดเป็นลัทธิต่างๆ ทั่วทั้งสหรัฐฯ ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา
1
อีกทั้งชาร์ลที่อยู่ในเรือนจำ ก็สร้างตัวตนและบุคลิกเหมือนเป็นผู้วิเศษจริงๆ ทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างสบาย เพราะเหล่านักโทษต่างเลื่อมใสในตัวของชาร์ล
1
มากกว่านั้น ยังมีคนจากข้างนอกเขียนจดหมายไปหาชาร์ลแบบไม่ขาดสาย ซึ่งน่าประหลาดมากเมื่อเนื้อความในจดหมายต่างพากันชื่นชมในตัวชาร์ลหรือถึงขั้นสารภาพรักกันเลยทีเดียว…
ภาพจาก Rolling Stone (การจับกุมชาร์ล แมนสัน)
La Tercera (การสักเครื่องหมายบนหน้าผากของชาร์ล แมนสัน)
ภาพจาก You Must Remember This (เหล่าสาวกที่ทำเครื่องหมายตามชาร์ล แมนสัน)
ภาพจาก AP images blog (การพิจารณาคดีที่เห็นได้ว่าชาร์ล แมนสันไม่ได้มีความกังวลเลยซักนิดเดียว)
ในช่วง 1960-1970 ถือเป็นยุคทองของซ้ายใหม่และฮิปปี้ที่มีแนวคิดต่อต้านสังคมอเมริกันแบบเดิมๆ เพราะภาวะของสงครามเย็นและสงครามเวียดนาม ที่แม้ชาร์ลและ Manson Family จะมีแนวคิดสุดโต่งขนาดไหนหรือก่ออาชญากรรมร้ายแรงเพียงใด แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่เห็นว่านี่คือความถูกต้อง
1
แต่พอเข้าสู่ทศวรรษ 1980 กระแสของสงครามเย็นได้เริ่มผ่อนลง ซ้ายใหม่ได้รับชัยชนะในการเคลื่อนไหวทางสังคม และทำให้กระแสของฮิปปี้เริ่มซาลงไป
เหล่าคนที่เห็นด้วย คล้อยตาม หรือหลงไหลใน Manson Family ก็ลดลงตามไปด้วยเช่นเดียวกัน แม้กระทั่งเหล่าสาวกก็เริ่มตาสว่างและเห็นว่าสิ่งที่พวกเขาเคยเชื่อเคยศรัทธานั้นมันไม่จริงเลยซักนิดเดียว
พวกเขาต่างมองกลับไปว่า “สิ่งที่ Manson Family ได้ทำ เป็นเพียงอาชญากรรมอันโหดเหี้ยมที่ไร้ซึ่งเหตุผล”
และในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2017 ชาร์ล แมนสัน ก็เสียชีวิตลงอย่างสงบในเรือนจำด้วยวัย 83 ปี…
1
แต่อย่างไรก็ตาม ภาพจำของชาร์ลไม่ใช่แค่เพียงเป็นอาชญากร แต่กลายเป็นภาพจำในแง่ของไอคอนที่ต่อต้านวัฒนธรรมยุค 1960 อีกด้วย…
มีการเอาภาพของชาร์ลมาสกรีนลงบนโปสเตอร์และเสื้อยืดออกวางจำหน่ายอยู่จำนวนไม่น้อย ท่ามกลางความสูญเสียและความโศกเศร้าของผู้เกี่ยวข้องกับเหยื่อในโศกนาฏกรรม…
1
การที่ชายคนนี้ถูกมองออกเป็น 2 แบบซึ่งแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว เป็นปรากฎการณ์ที่น่าแปลกประหลาดในสังคมอเมริกันช่วงหนึ่งเลยทีเดียว…
1
โดยปรากฏการณ์ที่ว่าอาจเกิดขึ้นจากสภาพของการเมืองระหว่างประเทศ ที่ทำให้ผู้คนในสังคมต่อต้านอัตลักษณ์เดิมๆ ถึงขนาดสามารถมองข้ามอาชญากรรมอันร้ายแรงที่เกิดขึ้น…
2
แต่ในอีกด้านหนึ่ง โศกนาฏกรรมนี้ก็ยังคงสร้างบาดแผลให้กับผู้เกี่ยวข้องและสังคมอเมริกันโดยรวมไปอีกยาวนานด้วยเช่นเดียวกัน…
และนี่ คือเรื่องราว “แมนสัน (Manson Family)” อาชญากรรมเขย่าฮอลลีวูด
ภาพจาก Los Angeles Magazines
References
Bugliosi, Vincent. Helter Skelter: The True Story of the Manson Murders. New York : W. W. Norton & Company, 2001.
Lake, Dianne. Member of the Family: My Story of Charles Manson, Life Inside His Cult, and the Darkness That Ended the Sixties. New York : William Morrow, 2017.
O’Neill, Tom. Chaos: Charles Manson, the CIA, and the Secret History of the Sixties. Boston : Little Brown and Company, 2019.
1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา