Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Jitta Wealth
•
ติดตาม
4 มิ.ย. 2022 เวลา 02:50 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ความผิดพลาดครั้งใหญ่ 4 เซียนหุ้นระดับโลก
“Pain + Reflection = Progress”
Ray Dalio
ใครเพิ่งเริ่มลงทุนช่วงนี้อาจจะรู้สึกโชคร้าย เพราะโดนความผันผวนจากตลาดหุ้นรับน้องติดต่อกันหลายเดือน หรือใครที่ลงทุนมานาน อาจจะรู้สึกเหนื่อยกับการลงทุนในช่วงนี้ เพราะข่าวร้ายประดังเข้ามาติดต่อกันจนไม่หวาดไม่ไหว
ทีมงาน #JittaWealth ขอส่งกำลังใจให้นักลงทุนอดทนจนผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ เพราะเมื่อคุณมองย้อนกลับมาจะได้รู้สึกขอบคุณตัวเองที่อดทนจนผ่านมาได้ครับ
ช่วงนี้นักลงทุนเห็นพอร์ตติดลบกันเยอะ เราเลยรวบรวมเรื่องราวความผิดพลาดของเซียนหุ้นระดับโลกมาให้คุณได้อ่านกัน เพื่อเป็นกำลังใจว่า ถึงแม้พวกเขาเหล่านี้จะลงทุนผิดพลาด แต่ก็ยังประสบความสำเร็จจากการลงทุนได้ในท้ายที่สุดครับ
1
📌ขาดทุนในกิจการที่แย่ของ Warren Buffett
แม้จะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก แต่ตลอดชีวิตปู่ #WarrenBuffett ก็เคยลงทุนผิดพลาดหลายๆ ครั้ง แต่ครั้งที่ Buffett บอกว่า เจ็บหนักที่สุดก็คือ การซื้อหุ้น #DexterShoe ในปี 2536 ครับ
ในดีลนี้ ปู่ซื้อหุ้นของบริษัทผู้ผลิตรองเท้าเจ้าตลาดสหรัฐฯ โดยการนำหุ้นของ #BerkshireHathaway สัดส่วน 1.6% ไปแลกหุ้นของ Dexter Shoe คิดเป็นมูลค่าตอนนั้นคือ 433 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะนั้น Dexter Shoe เป็นเจ้าตลาดรองเท้าในสหรัฐฯ และปู่ Buffett ก็เพิ่งได้กำไรจากการลงทุนในบริษัทผู้ผลิตรองเท้าอีกเจ้าอย่าง #HHBrown มาหมาดๆ จึงมีความมั่นใจอย่างเต็มที่
1
สุดท้ายเรื่องทั้งหมดกลับไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ Dextoe Shoe ที่เคยมีความแข็งแกร่งทางธุรกิจ กลับโดนบริษัทนำเข้ารองเท้าราคาถูกจากต่างประเทศ เข้ามาตีตลาดจนแตกยับเยิน ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Dexter Shoe ตกลงเรื่อยๆ ตามผลประกอบการ
ปู่ Buffett จึง #ขาดทุนยับเยิน จากการลงทุนครั้งนี้ ที่สำคัญคือ มูลค่าการขาดทุนของดีลนี้ #ประเมินค่าไม่ได้ เพราะปู่ใช้หุ้นบริษัท Berkshire Hathaway ที่มูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ ไปแลกซื้อมาครับ
ปัจจุบันหุ้น Berkshire Hathaway สัดส่วน 1.6% จะมีมูลค่าอยู่ที่ราว 11,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามราคาตลาด และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ถือเป็นการขาดทุนแบบทบต้นครับ 😅
ปู่ Buffett คร่ำครวญถึงดีลนี้หลายครั้ง และเคยออกมายอมรับว่า “ผมได้ทิ้งหุ้น 1.6% ของบริษัทที่ยอดเยี่ยมเพื่อซื้อบริษัทที่ไร้ค่า ผมคิดว่าการซื้อ Dexter Shoe เป็นการลงทุนที่แย่ที่สุดในชีวิตผม”
จริงๆ แล้วหุ้นที่ปู่พลาดขาดทุนยังมีอีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็น #IBM #USAir #SalomonBrothers #Tesco หรือหุ้นพลังงานอย่าง #ConocoPhillips และ #EnergyFutureHoldings รวมถึงหุ้นบริษัทอื่นๆ นับไม่ถ้วน
และมีอีกหลายดีลที่ปู่ #ตกรถ หรือ #ขายหมู เช่น การไม่ยอมซื้อหุ้น #Google ทั้งที่บริษัทลูกใช้บริการ Google Ads ประจำ การซื้อหุ้น #Amazon ช้าไป หรือล่าสุดคือ การขายหุ้น #Apple ออกมาบางส่วนในปี 2560
จะเห็นว่านักลงทุนในตำนานอย่าง Buffett ก็เคยลงทุนผิดพลาดจนขาดทุนเหมือนคนส่วนใหญ่ แต่สุดท้ายปู่ก็เลือกเรียนรู้จากความผิดพลาด และยืนหยัดลงทุนตามหลักการที่ตัวเองเชื่อมั่นจนประสบความสำเร็จในที่สุดครับ
1
📌ตกรถเพราะไม่ชอบ CEO ของ Charlie Munger
1
คู่หูของปู่ Buffett อย่าง #CharlieMunger ก็เคยลงทุนพลาดเช่นกัน
ในปี 2520 ปู่ Munger ได้ซื้อหุ้นของบริษัท #BelridgeOil จำนวน 300 หุ้นที่หุ้นละ 115 ดอลลาร์สหรัฐ เพราะมองจากพื้นฐานธุรกิจแล้ว หุ้นมีมูลค่าเกิน 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ หมายความว่าหุ้นบริษัทนี้ มีราคาถูกมาก
หลังซื้อหุ้นรอบแรก ไม่กี่วันต่อมามีคนมาเสนอขายหุ้น Belridge Oil ให้ปู่เพิ่มอีก 1,500 หุ้นที่ราคาหุ้นละ 115 ดอลลาร์สหรัฐเท่าเดิม แต่รอบนี้ปู่ไม่ลงทุนเพิ่มอีก เพราะไม่พอใจพฤติกรรมผู้บริหารที่ชอบดื่มสุราจนมึนเมา
2 ปีต่อมา CEO ของ Belridge Oil ต้องการขายบริษัทจึงนำบริษัทไปประมูล สุดท้ายบริษัท #Shell ชนะการประมูลด้วยข้อเสนอที่จะซื้อหุ้น Belridge Oil ที่ราคาหุ้นละ 3,665 ดอลลาร์สหรัฐ
เท่ากับว่าเงินลงทุนของปู่ Munger ที่ต้นทุนรวม 34,500 ดอลลาร์สหรัฐจะมีมูลค่า 1.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐทันที หรือพูดง่ายๆ คือปู่ได้กำไรเกือบ 31 เด้งในระยะเวลาแค่ 2 ปีเท่านั้น
1
หลังปู่ Munger ได้กำไรมหาศาล เขาก็เอาเงินที่ได้มาซื้อหุ้นของ Berkshire Hathaway และนั่งเป็นรองประธานกรรมการบริษัทเคียงข้างเพื่อนรักอย่าง Buffett เรื่อยมา
ต่อมาในภายหลัง ปู่ Munger ก็ออกมายอมรับว่าการไม่ยอมซื้อหุ้น Belridge Oil เพิ่มอีก 1,500 หุ้น ทั้งๆ ที่เป็นหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมากที่สุดในชีวิตเป็นเรื่องที่กวนใจเขามาตลอด และบอกว่า
ผมลืมคิดไปว่าแม้ผู้บริหารจะติดเหล้า
ไม่ได้แปลว่าบ่อน้ำมันจะติดเหล้าตามไปด้วย
Charlie Munger
ลองคิดเล่นๆ แบบ #รู้งี้ ว่าถ้าปู่ Munger ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 1,500 หุ้น ปู่จะได้เงินมาเพิ่มอีกราว 5.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และถ้านำเงินทั้งหมดไปซื้อหุ้น Berkshire Hathaway ที่ราคาเฉลี่ย 260 ดอลลาร์สหรัฐ
ในวันนี้ปู่ก็จะมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐและจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ตามราคาหุ้น Berkshire Hathaway ครับ
นี่จึงเป็นการ #ตกรถ ที่ ‘ประเมินค่าไม่ได้’ ของปู่ Charlie Munger ครับ
📌ขายหมู 2,700 เด้งของ Peter Lynch
การขายหุ้นที่ทำกำไรทิ้งและถือหุ้นที่ขาดทุนเอาไว้ ก็เหมือนกับการเด็ดดอกไม้ในสวนของคุณทิ้งและรดน้ำให้วัชพืช
Peter Lynch
ถ้าคุณเคยอ่านหนังสือ One Up on Wall Street หรือในชื่อไทยคือ เหนือกว่าวอลสตรีท ที่เขียนโดย Peter Lynch คุณต้องเจอวลีนี้แน่ๆ
เพราะตัว Lynch เองเรียนรู้เรื่องการขายหุ้นเร็วเกินไปอย่างเจ็บปวดผ่านการลงทุนของตัวเอง หรือ #ขายหมู นั่นเอง
บริษัท #HomeDepot ทำธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ช่างและวัสดุก่อสร้างในสหรัฐฯ ในปี 2522 Home Depot ได้จดทะเบียนในตลาดหุ้น #Nasdaq ทั้งที่ยังไม่มีรายได้และขาดทุน
แต่ในปี 2523-2525 Home Depot มีรายได้และกำไรเติบโตติดจรวด รายได้เพิ่มจาก 7 เป็น 51 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนกำไรสุทธิได้พลิกจากขาดทุนสุทธิราว 900,000 ดอลลาร์สหรัฐ มาเป็นกำไรสุทธิ 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อรายได้และกำไรเติบโตแบบนี้ มีหรือที่เซียนหุ้นเติบโตอย่าง Lynch จะพลาด เขาเผยว่าได้ซื้อหุ้น Home Depot ในปี 2525 สมัยที่บริษัทยังมีแค่ 4 สาขา ซึ่ง Lynch ไม่ได้เปิดเผยราคาที่เขาซื้อ แต่ราคาหุ้นเฉลี่ยในปีนั้นอยู่ที่ 0.12 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น
ผ่านไปปีเดียว ราคาหุ้น Home Depot พุ่งขึ้นไปเป็น 0.70 ดอลลาร์สหรัฐ เราไม่มีข้อมูลว่า Lynch ขายหุ้นไปที่ราคาเท่าไหร่ แต่เขาเคยบอกว่าได้ขายหุ้นไปตอนที่ราคาขึ้นมา 3 เท่า หมายความว่าเขาได้กำไรจากการลงทุนครั้งนี้ไป 2 เด้ง
ทีนี้เราลองมาคิดเล่นๆ ว่าถ้า Lynch ถือหุ้น Home Depot ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2533 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่เขาบริหารกองทุน #FidelityMagellan ราคาหุ้นจะอยู่ที่ 2.83 ดอลลาร์สหรัฐ และ Lynch จะได้กำไรจากการลงทุนครั้งนี้เกือบ 23 เด้ง
ตั้งแต่เปิดปี 2565 มา ราคาหุ้น Home Depot เฉลี่ยจะอยู่ที่ 328 ดอลลาร์สหรัฐ ถ้าสมมติว่า Lynch ถือหุ้นมาจนถึงปัจจุบัน เขาจะได้กำไรไปแล้ว 2,732 เด้งจากการลงทุนเป็นเวลา 40 ปีครับ 😅
แต่ Peter Lynch ก็เป็นมนุษย์ที่ไม่รู้อนาคตไม่ต่างจากคุณ คิดในอีกมุมหนึ่งเขาอาจนำกำไร 2 เด้งที่ได้ไปลงทุนหุ้นบริษัทอื่นที่เห็นว่าทำผลตอบแทนได้ดีกว่าในช่วงเวลานั้นก็เป็นได้ครับ
📌ขาดทุนจนบริษัทเกือบเจ๊งของ Ray Dalio
ในปี 2525 #RayDalio ได้นำเงินกองทุนที่ตัวเองตั้งขึ้นในชื่อ #BridgewaterAssociates ไปลงทุนครั้งใหญ่ เพราะเห็นว่าช่วงนั้นธนาคารของสหรัฐฯ ปล่อยเงินกู้ให้กลุ่มประเทศละตินอเมริกาเป็นมูลค่ารวมกันกว่า 327,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน รัฐบาลเม็กซิโกประกาศว่า ไม่สามารถชำระคืนหนี้เงินกู้ราว 80,000 ล้านดอลลาร์ได้ ซึ่งในจำนวนนี้มีหนี้ของธนาคารในสหรัฐฯ อยู่ประมาณ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เม็กซิโกไม่มีทางเลือกต้องขอผ่อนผันการชำระหนี้ และเมื่อข่าวนี้ออกมา ราคาน้ำมันดิบร่วงรุนแรงทันที ส่วนค่าเงินเปโซของเม็กซิโกก็อ่อนค่ารุนแรง
เมื่อเห็นแบบนี้ ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจมหภาคอย่าง Dalio เห็นโอกาส เขามองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะต้องตกแรงแน่นอน จึงเลือกลงทุนแบบ All-In ตามที่วิเคราะห์ โดยนำเงินเกือบทั้งหมดของกองทุนเข้าไปเก็งกำไร
แต่เกมพลิก เพราะในช่วงเดียวกัน Fed ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงต่อเนื่อง ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นขาขึ้น โดยดัชนี #S&P500 วิ่งจาก 100 กว่าจุดในช่วงกลางปี 2525 ไปแตะ 1,500 จุดในปี 2530
Dalio จึงขาดทุนหนัก เขาเสียเงินลงทุนเกือบทั้งหมดของกองทุนที่เขาตั้งขึ้นมา และที่สำคัญคือ มีเงินลงทุนของลูกค้าหลายๆ รายอยู่ในนั้นด้วย
1
แม้จะไม่ได้เปิดเผยการขาดทุน แต่ Dalio ก็บอกกับหลายคนว่า “การขาดทุนครั้งนี้เหมือนมีคนเอาไม้เบสบอลมาฟาดหัวผม และทำให้ผมต้องยืมเงินจากพ่อมา 4,000 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อมาจ่ายค่าน้ำค่าไฟที่บ้าน”
การขาดทุนหนักทำให้เขาต้องปลดพนักงานของกองทุนออก เพื่อลดค่าใช้จ่าย จนสุดท้ายกองทุนเหลือพนักงานแค่คนเดียวก็คือตัว Dalio เอง แต่ต่อมาเขาบอกว่าความผิดพลาดครั้งนี้ทำให้เขาถ่อมตัวและเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้นมาก
แม้จะล้มลุกคลุกคลานในตอนเริ่มต้น แต่ทุกวันนี้กองทุน Bridgewater Associates ของ Dalio เป็นกองทุน #HedgeFund ที่บริหารสินทรัพย์มากที่สุดในโลกที่ 223,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และตัวเขาเองก็มีความมั่งคั่งสุทธิอยู่ที่ 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐครับ
💡ลงทุนผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา
จากความผิดพลาดของเซียนหุ้นทั้ง 4 คนที่เรายกมา ซึ่งมีครบรสทั้งการขาดทุน ตกรถ และขายหมู แต่นักลงทุนเหล่านี้ก็เรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเองจนกลับมาประสบความสำเร็จในการลงทุนได้
การลงทุนผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นได้ แต่ที่สำคัญคือ คุณทำยังไงต่อหลังจากผิดพลาด จะยอมรับผิดกับตัวเองและเรียนรู้จากมัน หรือจะเลือกมองข้ามแต่มีโอกาสทำผิดซ้ำอีกครั้งในอนาคต
คุณสามารถใช้บทเรียนของนักลงทุนเหล่านี้เป็นแบบอย่างในการลงทุน หรือแม้กระทั่งการใช้ชีวิตและการทำงานก็ได้เหมือนกันครับ
แม้ตลาดหุ้นช่วงนี้จะซึมเหมือนหมีจำศีล ทำพอร์ตติดลบกันกระจาย ทีมงาน Jitta Wealth หวังว่า เรื่องราวความผิดพลาดในชีวิตของนักลงทุนทั้ง 4 คนจะเป็นต้นแบบหรือเป็นกำลังใจให้กับทุกคนครับ
สุดท้าย เราอยากให้คุณประสบความสำเร็จในการลงทุนเหมือนนักลงทุนทั้ง 4 คนที่เราหยิบยกมาเล่าเป็นบทความประจำสัปดาห์นี้ครับ
สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง 😎
การลงทุน
การเงิน
หุ้น
12 บันทึก
7
5
12
7
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย