5 มิ.ย. 2022 เวลา 06:08 • ปรัชญา
ที่จริงแล้ว เมื่อเราอยู่กับโลกมันก็เป็นเรื่องราวของความมืด มืดด้วยอารมณ์นึกคิดนานาชนิดที่ปกปิดจิตเราอยู่ แล้วเราก็สำคัญผิด..หลงคิด หลงทำอะไรมากมาย ทั้งที่เป็นสาระ ไม่เป็นสาระให้แก่จิตของเราเลย เราก็ไม่เคยสังเกตตัวเราเอง ทีกายที่เหนื่อยล้า ทั้งที่ไม่ได้ไปออกแรงทำอะไร อยู่ๆก็เบื่อ..เบื่อเรื่องนี้ไปทำเรื่องนั้น เบื่อในความจำเจของอารมณ์นึกคิด จำเจในสิ่งทียึดทับถมจิตของตัวเราเอง
มันจึงต้องมีการสำรวจ ตรวจสอบตัวเราเองว่า สิ่งเหล่านี้ที่เราเกิดขึ้นมาเป็นเพราะอะไร เหตุอะไรบ้าง ที่เราจะขวนขวายช่วยเหลือจิตของเราเอง ให้สลัดเรื่องราวที่ทำให้จิตเราไม่มีความสุข ซึ่งปกติจิตเรา มันแยกไม่ออกในเรื่องอารมณ์ทิฐิความคิดเห็นต่างๆ ที่เราสะสมมาไว้ ในเรือนกาย
มันเหมือนว่า ถ้าเราไม่อยากมีอารมณ์ เราก็อย่าไปนึกถึง นึกเมื่อไหร่มันก็มา สมมุติ เรานึกถึงคนที่ทำให้เราโกรธโมโห แค่นึกชื่อนั้นมา ..อารมณ์นึกคิดนั้นก็มาเอง เป็นอัตโนมัติ มันก็เหมือนเราไปเรียกร้อง กรรม เรียกร้องไฟ มาเผาตัวเราเอง
แล้ววันๆหนึ่ง เราเอาไฟมาเผาตัวเองมากน้อย แค่ไหน บ้านหรือกายที่เราอาศัยนี้ เมื่อไฟเผา มันจะไม่มีขี้เถ้่า ที่มองไม่เห็นเลยหรือ ขี้เถ้าเหล่านี้ ก็สะสมในเรือนกาย ..นานไป แก่เฒ่า ก็ไปจับอวัยวะภายใน เป็นโรคนั้นโรคนี้ ..ก็ด้วย น้ำเลือดน้ำหนองหล่อเลี้ยงกาย ก็เป็นแต่สีดำๆ จะไม่เจ็บป่วยแก่เฒ่าชราได้อย่างไร
ฉะนั้นก็ควรทำความรู้จักอารมณ์ของเรา สิ่งไหนที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ เราก็กระทำขึ้น เรื่องราวที่เรามองไม่เห็นกัน ก็เรื่องราวสร้างบุญกุศล ที่ให้มีกายเป็นบุญ จิตอยู่ในเรือนกายที่มีบุญ บุญนั้นก็หล่อเลี้ยงจิต ช่วยบรรเทาไฟต่างๆ ชำระสะสาง สละสิ่งที่ยึดถือให้จิตเรามีกรรมนั้นออกไป กายเราเบา จิตเบา ก็มีความสุข ไปตามเหตุที่เรากระทำขึ้นเอง รับสุขหรือทุกข์ที่ปรากฏในกายเราเอง
โฆษณา